สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 136 อสูรร้ายหยุนเคอ
สามีข้า…คือพรานป่า ตอนที่ 136 อสูรร้ายหยุนเคอ
หยุนเถียนเถียนพยายามข่มความอายก่อนจะกล่าวถามเสียงแข็ง “รับผิดชอบงั้นหรือ?”
หยุนเคอยืนตัวแข็งทือและไม่กล้าหันกลับไปคุยกับนางเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแต่งตัวหรือยังเช่นนี้เขาจึงยืนหันหลังและตะโกนโต้ตอบ
“แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ข้าก็ทําลายชื่อเสียงของเจ้าข้าจะรับผิดชอบโดยการแต่งงานหลังจากที่เจ้าพร้อม!”
*พร้อม?”
“ใช่! ในยุคนี้หากสตรีใดมีอายุพร้อมที่จะแต่งงานก็สามารถออกเรือนได้”
แต่เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่ห่างไกล ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ทั้งยังมีหญิงบางคนที่ยังไม่ พร้อม แต่กลับแต่งงานและมีลูกอีกด้วย
“สังคมนี้ยุคโบราณนี้มันอะไรกัน ยอมให้เด็กวัยมัธยมเช่นนี้แต่งงานได้อย่างไร?!?
“ไม่จําเป็นในเมื่อเราต่างรู้ดีว่ามันเป็นอุบัติเหตุก็ไม่จําเป็นเลย!”
หยุนเถียนเถียนกล่าวออกอย่างไม่แยแส แม้นางจะไม่เคยมีประสบการณ์ความรักระหว่างชายหญิงมาก่อนก็ตาม
แต่ต้องขอบคุณรายการทีวีที่น่าเบื่อในยุคปัจจุบันเหล่านั้นที่ทําให้นางรู้ถึงสิ่งที่ควรทํา
ในชีวิตนี้หยุนเถียนเถียนจะไม่ต้องการอะไรมากมายนอกจากหาเงินได้มากขึ้นและมีความสุขแต่นางก็มีความดิ้นรั้นในตัวแบบไม่มีใครเหมือน!
หากจะแต่งงานก็ต้องรักกันสิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อลูกหลานในอนาคตหากไม่ได้รักกันก็ไม่ควรแต่งงาน!
ซึ่งในยุคนี้หยุนเสียนเถียนกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย!
สามภรรยาสี่นางสนม! หากหญิงใดไม่มีลูกชายก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ!สิ่งเหล่านี้ทําให้หยุนเสียนเถียนเกิดอคติต่อการแต่งงาน!
หยุนเคอรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยเมื่อได้เข้าใจในทุกความรู้ สึกของหญิงผู้นี้นางยังมั่นใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เขารับผิดชอบ เป็นไปได้ไหมว่านางจะกําลังสนใจชายอื่นอยู่?
ใบหน้าของหยุนเถียนเถียนแดงกําด้วยความเขินอายพลางวิ่งกลับไปยังห้องนอนโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ําก่อนจะล้มตัวลงนอนและเอาผ้าห่มคลุมหัวไว้มิดชิด
หยุนเคอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเริ่มเคลื่อนย้าย ถังน้ําออกไปนอกประตู และกลับไปยังห้องนอนแต่ก็ไม่อาจข่มตาหลับได้
เพราะทุกครั้งที่หลับตาลง ภาพของหยุนเถียนเถียนก็ลอยเข้ามาในจินตนาการของเขาทันทีเขาไม่สามารถหยุดฟุ้งซ่านได้เลยจริง ๆ !
หยุนเคออดอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับหญิงใดมาก่อน แต่กลับหลงในภวังค์ของหยุนเถียนเถียนเสียได้
หลังจากพลิกตัวไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจนในที่สุดหยุนเคอก็ผล็อยหลับไปแต่ภาพของหญิงสาวยังคงลอยเข้ามาในความฝันของเขาอยู่ดี ซึ่งมันทําให้เขารู้ สึกร้อนรุ่มราวกับมีความสุขไม่น้อย!
ในฝันนั้น หยุนเถียนเถียนมองมาที่เขาด้วยแววตาเปล่งประกาย พลางหยอดคําหวานออกมาจากปากอย่างนุ่มนวลซึ่งเป็นท่าทีที่หยุนเคอไม่เคยเห็นมาก่อนและทําให้เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เช้าวันต่อมา หยุนเคอลืมตามองเพดานห้องตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กําลังทําอาหารอยู่ด้านนอก
เนื่องจากไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวอย่างไร หยุนเคอจึงนอนลงอย่างเกียจคร้านและปฏิเสธที่จะลุกขึ้น
“พี่ใหญ่หยุน! พี่ใหญ่หยุน! ลุกขึ้นมาทานอาหารได้แล้ววันนี้พวกเราต้องไปในเมืองกันหนา!”
หยุนเคอถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงอันแข็งที่อของหยุนเถียนเถียนซึ่งแตกต่างจากที่เกิดขึ้นในฝันอย่างสิ้นเชิง! เห็น ได้ชัดว่าน้ําเสียงของหญิงสาวจริงจังเกินไป!แล้วเหตุใดเขา จึงได้ยินเสียงหวานยั่วยวนในฝันได้เล่า?
หญิงผู้นี้มีมนต์สะกดราวกับแม่มดและภูตผี นางสามารถควบคุมความคิดของหยุนเคอได้อย่างง่ายดายและยังสามารถพังทลายกําแพงแห่งความแข็งกระด้างของเขาอีกด้วย
“มาแล้ว!”
เสียงแหบแห้งของชายหนุ่มดังออกมาจากห้องหยุนเถียนเถียนรู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับหยุนเคอแต่เมื่อนึกถึงนิสัยของเขาจึงทําให้หญิงสาวเลือกที่จะไม่เข้า
สองพี่น้องนั่งเงียบ ๆ รอหยุนเคอที่โต๊ะอาหาร
เมื่อรู้แล้วว่าไม่อาจหลบหน้าอีกฝ่ายได้หยุนเคอจึงลุกขึ้น แต่ในขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่ากลางลําตัวของตน เองเปียกชื้น..
หยุนเคอหน้าแดงด้วยความเขินอายเขาลงมือตบหน้าตัว เองอย่างรุนแรง!
“ไม่เอาหน่า กําลังคิดบ้าๆอะไรอยู่?หญิงผู้นี้อายุแค่สิบสี่
ตอนนั้นหยุนเถียนเถียนยังคงเรียกเขาด้วยความร้อนใจเมื่อได้ยินเสียงนั้นหยุนเคอจึงเปิดประตูและเดินออกมา
ใบหน้าของหยุนเคอเย็นชาและไร้อารมณ์ราวกับความรู้สึกทั้งหมดของเขาถูกคุมขังไว้อย่างมิดชิด
“กินข้าวกัน!”
หยุนเทียนเถียนกล่าวพลางมองดูหยุนเคอ สิ่งเหล่านี้ทําให้นางนึกถึงภาพอันน่าละอายเมื่อคืนที่ผ่านมา ใบหน้า ขาวพลันร้อนผ่าวเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
หยุนเคอรับรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวรู้สึกเขินอายเมื่อเห็นใบหูอันแดงก่ําของนาง ดูเหมือนว่าการปกปิดความรู้สึกของหยุนเถียนเถียนจะยังไม่ชํานาญพอ
เฉินเฉินยังคงจดจ่ออยู่กับการทานอาหาร และในตอนที่พี่สาวของเขากําลังปรุงอาหาร เด็กน้อยก็กําลังขะมักเม้นอยู่กับการอ่านหนังสือจึงทันไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรในบ้านสักนิด
หลังกินเสร็จแล้ว หยุนเถียนเถียนก้มศีรษะลงเก็บถ้วยชามบนโต๊ะและนางไม่สบตาหยุนเคอเลยแม้สักวินาที
“เร็วเข้า เกวียนวัวไม่ได้จอดรอเราเพียงผู้เดียว!”
หยุนเคอพยายามอย่างมากเพื่อเริ่มต้นการสนทนาซึ่งทําให้หยุนเถียนเถียนสามารถควบคุมสติได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เรื่องทั้งหมดก็ควรจะจบลง
“ขากลับ ข้าคงต้องขอเหมาลําเกวียนของลุงเฉินเสียแล้ว!เรามีของมากมายที่ต้องซื้อ แล้วเนื้อตากแห้งที่จะเอาเข้าไปขายในเมืองเล่า? พี่คงเอาไปคนเดียวไม่ได้หรอกใช่ไหม?”
หยุนเคอมองหญิงสาวผู้ชาญฉลาดด้วยความสับสนก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นครั้ง แรกในรอบหลายปีที่เขาหัวเราะอย่างมีความสุข!
แม้หยุนเถียนเถียนจะรู้สึกแปลกใจที่ชายผู้นี้หัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาก็ดังเข้ามาในหูของนางและมันทําให้หยุนเถียนเถียนหัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล!
“นําไปให้ชิมเพียงเล็กน้อยก็พอ รสชาติของ เนื้อนั้นยอดเยี่ยม นายน้อยหลี่ต้องชื่นชอบแน่! เมื่อถึงเวลาก็ เพียงขอให้เขาไปรับสินค้าที่บ้านของเราด้วยตนเอง ซึ่งแน่ นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ!”
หยุนเทียนเถียนแทบจะทิ้งศีรษะตัวเองตรงนี้พร้อมกับคร่ําครวญในใจ “ดูสิ! นี่เขาบ้าหรือโง่กันแน่? ไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะยอมไปยังหน้าประตูบ้านของเจ้าเพื่อรับสินค้าด้วยตนเองสักหน่อยไม่กลัวหรืออย่างไรว่านายน้อยหลี่จะไม่มา ตามนัด?”
ในตอนแรก นายน้อยหลี่วางแผนที่จะทําการซื้อขายของเก่าเพราะเขาคิดว่าความสามารถและการค้าขายทางด้านนี้จะช่วยทําเงินได้ดีแต่เมื่อได้รู้จักกับหยุนเถียน เถียนแผนการของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!
ตระกูลหลีไม่เพียงแต่ประกอบธุรกิจขายของเก่า ร้านอาหาร หรือขายเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังลงทุนกับสิ่งต่างๆ อีกมากมาย! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของนายน้อยหลีแล้ว แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับ ธุรกิจขายของเก่าของครอบครัวได้
ขณะที่หยุนเถียนเถียนกําลังครุ่นคิด นางก็จัดเก็บโต๊ะอาหารจนเสร็จเรียบร้อย หยุนเคอมองหญิงสาวด้วยความงุนงงพลางยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จึงลุกขึ้นทําความสะ อาดถ้วยชามด้วยตนเอง
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสามคนนั่งพักสักครู่แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมเพื่อเตรียมเดินทางเข้าเมือง