สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 129 สารภาพ
ตอนที่ 129 สารภาพ
หลินชวนฮวาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา นังเด็กสารเลวนั่นคงไม่มีวันยอมปล่อยพวกนางไปแน่ หากนี่เป็นโอกาสที่ตนจะได้ต่อสู้เพื่อลูกชาย เหตุใดนางจึงจะไม่เต็มใจเล่า? แต่การกระทําเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรจากการสารภาพผิดแม้แต่น้อย
ในที่สุดนางจึงกัดนิ้วและกดลายนิ้วมือลงบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างแรง!
แต่ตอนนั้นเองที่หลินชวนฮวานึกบางอย่างได้จึงรีบเงยหน้าถาม “หากนางสัญญาว่าจะปล่อยเราสองคนไป แล้วพ่อของเจ้าเล่า?”
เฉินเฉิงเยี่ยอดทนพลางนึกในใจ เขาทําลายชีวิตเราถึงเพียงนี้ยังจะนึกถึงเขาอีก!”
“แม่! ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? แม้หญิงนั้นจะต้องการปล่อยเขาไป แต่ท่านผู้พิพากษาไม่มีทางเห็นด้วย! ฆาตกรผู้นั้นจะต้องตาย ส่วนลูกและภรรยาของเขาจะได้มีชีวิตที่ดี!”
หลินชวนฮวาน้ำตาคลอพลางมองลูกชาย “เฉิงเยี่ย…. เขาเป็นพ่อของเจ้านะ! หากเป็นไปได้ เจ้าพอจะวิงวอนนางแทนพ่อได้หรือไม่? แต่หากเจ้าเกลียดชัง
เมื่อได้ยินคําพูดของผู้เป็นแม่ เฉินเฉิงเยี่ยนิ่งเงียบก่อนจะสะบัดมือนางออก!
“ช่างมีเมตตายิ่งนัก แม้ในเวลาเช่นนี้ก็ยังคิดถึงฆาตกรทุกลมหายใจ! แม่จะอ้อนวอนอย่างไร? อีกอย่างท่านผู้พิพากษาไม่ได้ใจดีและโง่เขลาเหมือนหยุนเถียนเถียน!
แม้หลินชวนฮวาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่พอใจของลูกชาย แต่ยังคงรู้สึกเป็นห่วงเย่วชิวไฉ! เงินทั้งหมดของนางถูกยึดไปตั้งแต่ครั้งที่โดนจับกุม! เช่นนั้นแม้ทั้งสองจะหนีไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถลงหลักปักฐานได้ที่ไหน?
หลินชวนฮวาทรุดลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง แต่เฉินเฉิงเยียกลับไม่ช่วยพยุง ยิ่งไปกว่านั้นเขาหยิบเอาหลักฐานการก่ออาชญากรรมที่ได้รับการประทับลายนิ้วมือแล้วมาไว้ในมือ เพื่อรอส่งมอบให้หยุนเถียนเถียนในวันพรุ่งนี้
หยุนเถียนเถียนเองก็เฝ้ารอรุ่งสางอย่างใจจดใจจ่อ นางนั่งอยู่กับเฉินเฉินตลอดทั้งคืน แต่ไม่ว่าจะปลอบโยนเด็กน้อยมากเพียงใด เขายังคงเสียใจและไม่ยอมพูดจาแม้เพียงครึ่งคํา
เฉินเฉินเป็นเพียงเด็กเจ็ดขวบ แน่นอนว่าไม่อาจยอมรับเรื่องราวทั้งหมดได้
ไก่ขันเพื่อเตือนว่าเช้าวันใหม่กําลังจะมาถึง!
เฉินเฉินลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าพี่สาวอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดทั้งคืนด้วยความห่วงใย เช่นนี้เด็กชายจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้น
หยุนเคอมองดูเฉินเฉินด้วยความสงสารจับใจ
ทั้งข้าและหยุนเถียนเถียนต่างถูกข่มเหงจากแม่เลี้ยง แตเด็กน้อยผู้นี้กลับถูกแม่ผู้ให้กําเนิดวางแผนสังหาร!”
“ไม่รู้เลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนี้จะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าวางแผนลอบวางเพลิงตนเพราะความโกรธ!”
หยุนเถียนเถียนไม่ได้พูดอะไร เพราะจากสภาพจิตใจของเฉินเฉินในตอนนี้การร้องไห้คงเป็นการระบายที่ดีที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยร้องไห้ปาดน้ำตาด้วยความเสียใจ หยุนเถียนเถียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดตาม
หยุนเคอมองหญิงสาวด้วยความขบขัน ร่างกายของนางแข็งทื่อ ใบหน้าเผยความสงสารออกและเสื้อของนางเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกของเด็กน้อย!
เมื่อรู้สึกตัว หยุนเถียนเถียนเริ่มรู้สึกรังเกียจจึงผลักเด็กชายออกทันที
ทว่าเฉินเฉินรู้สึกเหนื่อยล้าจากการร้องไห้จึงผล็อยหลับไปบนไหล่ของหยุนเถียนเถียนอย่างช่วยไม่ได้
หยุนเถียนเถียนทําอะไรไม่ถูกก่อนจะวางเด็กน้อยลงบนเตียง เนื่องจากนางไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนจึงทําได้เพียงอดทนใส่เสื้อผ้าสกปรกนี้ต่อไป
“หยุนเคอ ช่วยเฝ้าเข้าแทนข้าได้หรือไม่? ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของป้าจี้ หากเขาตื่นแล้วร้องหาข้า ก็แค่บอกกล่าวกับเขาดี ๆ แล้วกัน”
หยุนเถียนเถียนเดินจากไปทันที ขณะที่หยุนเคอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่านางมีความมั่นใจมากจากไหน เหตุใดจึงไว้ใจข้านัก??
เด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงมีร่างกายผอมบางเพราะขาดสารอาหารมานานหลายปี
“แม้เด็กน้อยจะได้รับการดูแลจากพี่สาว แต่เขาก็ยังคงต้องหิวโหยอยู่ดี ข้าเคยได้ยินมาว่าในอดีตเฉินเฉินทําร้ายเถียนเถียนสารพัด แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับกลายเป็นพี่น้องที่พึ่งพาอาศัยกัน เด็กน้อยผู้นี้ช่างน่าสงสารที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่คงที่เช่นนี้”
เมื่อหยุนเถียนเถียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไม่ได้ไปยังบ้านของหยุนเคอในทันที แต่เดินทางไปยังห้องโถงบรรพบุรุษแทน!
หลินชวนฮวามองดูผู้คนที่เดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง ขณะที่เฉินเฉิงเยี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะคิดว่าหญิงผู้นี้จะลืมสัญญาที่ตกลงกันไว้
“ทําไมเล่า? ไหนดูซิ… นักปราชญ์ของเรามีอะไรมาฝากข้าหรือไม่? แสดงให้ข้าดู!”
เฉินเฉิงเยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนําม้วนกระดาษออกจากแขนและส่งให้นาง
หยุนเทียนเถียนเปิดอ่านที่ละหน้าอย่างละเอียด
เฉินเฉิงเยี่ยตื่นตระหนกยิ่งที่หญิงตรงหน้าอ่านหนังสือออก โชคดีที่เขาต้องการที่จะมีชีวิตรอดจึงเขียนคําสารภาพโดยไม่ได้ปกปิดหรือบิดเบือนใด!
ส่วนหลินชวนฮวาเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เฉินเฉิงเยี่ยรู้ดีว่าหญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หยุนเถียนเถียนคนเดิมต่อไป แต่เขาก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้!
หยุนเถียนเถียนยิ้มหวานทันทีเมื่ออ่านจบ “ครานี่เจ้าไม่ได้หลอกข้า! เอาล่ะ เนื่องจากเงินในมือของพวกเจ้าถูกริบไป ข้าจะให้เงินเพื่อใช้สร้างบ้านให้สักหลัง ข้าสัญญาว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่มีเงื่อนไขว่าเฉินผิงอันต้องไม่รู้เรื่องนี้! และข้าหวังว่าเจ้าจะยังคงมีความสามารถในการหลอกลวงเฉินผิงอันอยู่!”
หยุนเถียนเถียนหยิบเงินออกจากกระเป๋าก่อนจะโยนให้ทั้งสองและเดินจากไป
หลินชวนฮวาหันมาถามเฉินเฉิงเยี่ยทันที “แม่ไม่ได้เข้าใจผิดไปใช้ไหม? นังเด็กขี้ครอกนั่น… รู้หนังสือจริง ๆ หรือ?”
เฉินเฉิงเยี่ยรู้ดีว่าหากหญิงผู้นี้กล้าเปิดเผยความลับเรื่องการรู้หนังสือต่อหน้าเขา แสดงว่านางต้องมีแผนการซ่อนอยู่!
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา “แม่เป็นหญิงที่ฉลาดมาโดยตลอด เหตุใดจึงไม่รู้ว่านางเปลี่ยนไปมากตั้งแต่กลับมาจากบ้านของนายน้อยหลี่? นางไม่ใช่เถียนเถียนคนเดิมอีกต่อไป!”
“แต่เพื่อให้ทุกคนยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเธออย่างเป็นธรรมชาติ นางจึงยอมรับการกดขี่ของเราก่อนและ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง แม่… เราทุกคนประมาทเกินไป ดังนั้นตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มันสายไปแล้วทุกสิ่ง!”
* หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงบอกว่านางไม่ใช่คนเดิมแล้ว?”
เฉินเฉิงเยี่ยแสยะยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้ามั่นใจว่านางไม่ใช่คนเดิมแน่!”
หลินชวนฮวารู้สึกหวาดกลัวและถามขึ้นทันที “เจ้าไม่ได้หมายความว่า… หญิงผู้นั้นถูกผีเข้าหรือเป็นสัตว์ประหลาดหรอกใช่ไหม?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามเราต้องชดใช้!”
ทันใดนั้นดวงตาของหลินชวนฮวาก็เปล่งประกายทันที “หากเจ้าบอกคนในหมู่บ้านว่านางถูกผีสิง พวกเขาก็จะเผานางทั้งเป็น เราใช้สิ่งนี้เพื่อข่มขู่หยุนเถียนเถียนให้ปล่อยพ่อของเจ้าออกมาดีไหม?”
เฉินเฉิงเยี่ยส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ยังพูดถึงฆาตกรผู้นั้นอยู่
“แม่ช่วยคิดสักหน่อยได้หรือไม่ หากเป็นก่อนหน้านี้ทุกคนต้องเชื่อแน่ แต่ตอนนี้ยังคิดว่าจะมีใครเชื่อคําพูดของท่านอีกหรือ?”