สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 997 วันสบายๆ (ฉบับจิ้งคง)
บทที่ 997 วันสบายๆ (ฉบับจิ้งคง)
……….
เด็กสามคนเล่นกันจนเหนื่อย
เซียวฉงนอนหลับซบอกอันกั๋วกงเป็นคนแรก เสี่ยวเซียวเซวียนที่ถูกซ่างกวานเยี่ยนอุ้มก็ง่วงไม่ไหว หัวโล้นน้อยสัปหงกเหมือนไก่จิกข้าว
ส่วนเซียวเยียนนั้นยังอยากเล่นประทัดอีกสักสองสามดอก แต่น่าเสียดายใช้แรงไปจนหมดแล้ว จึงลากร่างน้อยอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองมาหยุดอยู่ข้างกู้เจียว
คราวนี้นางเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ กู้เจียวจึงอุ้มนางขึ้นมา
อันกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พาเด็กๆ กลับไปนอนก่อนเถิด ฝ่าบาทเองก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว”
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า มองดูเซียวฉงที่หลับปุ๋ยในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู ใช้ผ้าคลุมห่อร่างเขาไว้แน่น “ฤดูหนาวพื้นเย็นเป็นน้ำแข็ง ควรจะกลับกันได้แล้ว”
อันที่จริงยามปกติสองแฝดนั้นหนังหนานัก ต่อให้ตากฝนตากลมก็ไม่เคยป่วย มีแต่เสี่ยวเซียวเซวียนเท่านั้นที่ร่างกายอ่อนแอ ต้องคอยระวังอยู่ตลอด
“ฝ่าบาท ให้ข้าอุ้มเถิด” อู๋ซื่อสี่รับเด็กน้อยจากอกของซ่างกวานเยี่ยน ตั้งใจว่าจะส่งกลับตำหนักของเซียวเหิงและกู้เจียว
ซ่างกวานชิ่งที่เมามายพลันวางกาเหล้าลง เดินสาวเท้ายาวมาหาทั้งสองคน “มา มา ข้าเอง เจ้ากลับไปกับท่านแม่ข้าเถิด”
ซ่างกวานเยี่ยนมองลูกชายตนเองอย่างสงสัย กังวลว่าเขาที่เมาแอ๋ขนาดนี้จะทำเด็กหลุดมือ
ซ่างกวานชิ่งนั้นเหมือนดั่งเกิดมาในร่างเทพสุรา เมาเร็วก็สร่างเร็ว ไม่อย่างนั้นในงานแต่งงานของเซียวเหิงกับกู้เจียว เขาจะมอมญาติพี่น้องทั้งโต๊ะจนเมาเละเทะขนาดนั้นได้อย่างไร
“วางใจเถิด ข้าไม่ล้มหรอก ข้าไม่มีลูกของตัวเอง ยังหวังว่าจะให้เจ้าเด็กคนนี้เลี้ยงดูข้าตอนแก่อยู่เลย!”
ซ่างกวานเยี่ยนมองเขาตาถลึง “ปีหน้าเจ้าต้องเลือกพระสนมให้ข้าแล้ว!”
ซ่างกวานชิ่งขยี้จมูกอย่างไม่พอใจ
ดื่มเยอะก็ปากเปราะ เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยเสียทุกครา
เขาหัวเราะพลางเอ่ย “ได้ ได้ ได้ เลือกก็เลือก ข้าเลือกก็ได้! ใต้เท้าท่านแม่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น! ข้าน่ะเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว!”
ซ่างกวานเยี่ยนได้ยินก็รู้ว่าเขากำลังประชดนาง จึงส่ายหน้าอย่างจนใจก่อนจะเอ่ย “ข้าคงต้องใช้ไม้ฟาดหัวเจ้าให้สลบ แล้วทิ้งเจ้าไว้ที่ลำธารบนเขาสักลูก ดูซิว่าเจ้าจะโชคดีอย่างน้องชายเจ้าหรือไม่ พอตื่นขึ้นมาก็มีลูกสะใภ้มาเก็บไป”
ซ่างกวานชิ่ง… ท่านแม่ ท่านล้อเล่นใช่หรือไม่
ซ่างกวานชิ่งซ้ายอุ้มเซียวฉง ขวาอุ้มเสี่ยวเซียวเซวียน พาทั้งสองกลับไปส่งที่ตำหนักเจาหยาง
กู้เจียวอุ้มเซียวเยียน เดินมาส่งอันกั๋วกงถึงประตูวง
ยามนี้อันกั๋วกงสามารถเดินเหินได้ดั่งใจหมาย เขามองกู้เจียวและเด็กน้อยที่นอนเกยบนบ่าของนาง ก่อนจะทอดถอนใจ “เจ้าไม่ต้องไปส่งหรอก ต้องฝ่าลมหนาวเดินไปตั้งไกล เยียนเอ๋อร์หนาวจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เซียวเยียนลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง “ท่านตา ข้าไม่หนาวหรอก”
อันกั๋วกงหัวเราะออกมา
เซียวเยียนเป็นเด็กที่แข็งแรงที่สุดในบรรดาสามคน ทั้งยังแรงดีที่สุดด้วย ตั้งแต่เล็กจนโตนางแทบไม่ป่วยเลย
แต่เขาก็ไม่กล้าวางใจ
“ส่งเท่านี้ก็พอ ข้าไปก่อนล่ะ”
“ท่านตา ลาก่อนเจ้าค่ะ” เซียวเยียนยื่นมือน้อยโบกให้เขาในอ้อมกอดของแม่
อันกั๋วกงยิ้มบาง หันหลังกลับขึ้นรถม้า
กู้เจียวก้มมองเจ้าเด็กน้อยในอ้อมกอด “เอาละ พวกเราก็กลับ…”
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าตำหนัก เซียวเยียนก็ตาปิดลง ลมหายใจเป็นจังหวะ ผล็อยหลับไปในทันที
ฝืนจนถึงตอนนี้ได้ก็เก่งมากแล้ว
กู้เจียวยกยิ้ม เจ้าเด็กน้อยช่างตลกเสียจริง
กู้เจียวอุ้มเซียวเยียนกลับตำหนัก
อีกฟากหนึ่ง ซ่างกวานเยี่ยนเองก็กลับมาถึงตำหนักบรรทมของตัวเอง
นางนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางกำนัลเดินเข้ามาถอดเครื่องหัวให้นาง
นางมองตนเองในกระจกทองแดง นวดคลึงดวงตาที่อ่อนล้า
อู๋ซื่อสี่เข้ามาหาอย่างเป็นห่วงก่อนจะเอ่ย “ฝ่าบาท พระองค์เหนื่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างกวานเยี่ยนหัวเราะเอ่ย “อายุมากแล้วไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ เราจำได้ว่าตอนอยู่ที่สุสานกษัตริย์ ชิ่งเอ๋อร์มักหาวิธีการหลอกล่อให้ข้าตื่นอยู่เสมอ เผลอครู่เดียวก็เช้าวันปีใหม่แล้ว”
อู๋ซื่อสี่รีบตอบ “พระองค์เหตุใดถึงได้ตรัสเช่นนั้น พระองค์เพิ่งจะพระชนม์เท่าใดเอง”
แม้จะเลยวัยสี่สิบแล้ว แต่ฝ่าบาทยังพลานามัยแข็งแรง มิได้ดูแก่ลงเลยสักนิด กลับกันยังดูสดใสยิ่งนัก สองตาแม้จะเหนื่อยล้าแค่ก็ยังสดใส
ซ่างกวานเยี่ยนหัวเราะ ในฐานะกษัตริย์ผู้กุมอำนาจ นางนั้นมิได้ใส่ใจรูปร่างหน้าตาของตนเองว่าเป็นอย่างไร
อู๋ซื่อสี่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
“มีอะไรอีกรึ” นางเห็นสีหน้าของอู๋ซื่อสี่จากกระจกทองแดง
อู๋ซื่อสี่ยิ้มเจื่อน เหลือบตามองนางกำนัลที่กำลังเช็ดเครื่องสำอางให้ซ่างกวานเยี่ยน ยื่นมือเข้ามาพลางเอ่ย “ให้ข้าช่วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างกวานเยี่ยนยกมือขึ้นช้าๆ
นางกำนัลรู้งาน ก่อนจะออกจากห้องไป
อู๋ซื่อสี่ดึงปิ่นมุกบนเส้นผมของซ่างกวานเยี่ยนพลางยิ้มเอ่ย “เยี่ยนซานจวิน… ส่งคนมาถวายของขวัญปีใหม่อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะทอดพระเนตรหรือไม่”
อันที่จริงตั้งแต่ปีที่ซ่างกวานเยี่ยนขึ้นครองบัลลังก์ เยี่ยนซานจวินก็ถวายฎีกาขอถอดยศสละตำแหน่งของตัวเอง ฎีกานอนอยู่ในตำหนักมานานหลายปี แต่ซ่างกวานเยี่ยนก็ไม่ยอมโปรดเสียที
ส่วนสาเหตุที่ไม่ยอมโปรดนั้น คนนอกไม่มีทางรู้ได้เลย อู๋ซื่อซี่เป็นคนสนิทของซ่างกวานเยี่ยน อย่างน้อยก็ต้องรู้อะไรบ้าง
เยี่ยนซานจวินผู้นี้นั้นไม่ใช่ราชนิกูลแห่งต้าเยี่ยน เขาคือลูกของไทเฮาพระองค์ก่อนกับชาวทูเจวี๋ย ส่วนไทเฮาพระองค์ก่อนก็มิใช่พระมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพราะเหตุนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซ่างกวานเยี่ยนเลย
ความรู้สึกของเยี่ยนซานจวิน สองปีแรกเขายังไม่เข้าใจนัก คิดว่าเป็นเหมือนอาหลานที่โตด้วยกันมากับฝ่าบาท มักจะส่งจดหมายและของขวัญมาให้เป็นประจำ
จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง…
เขาบังเอิญเห็นเยี่ยนซานจวินตอนมาเยี่ยมฝ่าบาทที่วังหลวง
เยี่ยนซานจวินตรึงฝ่าบาทไว้กับโต๊ะทรงอักษร จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฝ่าบาทพลางเอ่ย “ซ่างกวานเยี่ยน ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว หากได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ใช่เสด็จอาของเจ้าอีกต่อไป”
แม่เจ้า เขาหวังว่าตัวเองจะแต่หูฟาดตาลาย เหตุใดถึงต้องมาพบเจอเหตุการณ์นี้ กลัวเหลือเกินว่าจะถูกฆ่าปิดปาก
โชคดีที่ฝ่าบาทเมตตา ไม่ได้ฆ่าเขาทิ้งเพราะเหตุนี้
หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ผลักเยี่ยนซานจวินออก ส่วนผลักออกเพราะรำคาญหรือเพราะฝ่าบาทมิได้มีใจให้เยี่ยนซานจวินนั้น เขาเองก็ไม่รู้
“ไม่ต้องหรอก เก็บไว้ในห้องเก็บของ” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
อู๋ซื่อสี่อ้าปากพะงาบ “เอ่อ… คือ…”
ซ่างกวานเยี่ยนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาผ่านกระจกสำริด “คืออะไรอีก บอกให้เจ้าทำอะไรก็ทำเช่นนั้น”
อู๋ซื่อสี่กำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอด ซ่างกวานชิ่งก็เข้ามาพอดี
อู๋ซื่อสี่เหมือนรอดชีวิตปาฏิหาริย์
ซ่างกวานชิ่งเดินเข้ามา “ข้าขอคุยกับท่านแม่ข้าสักหน่อย เจ้าไปต้มน้ำแกงสร่างเหล้าให้ข้าสักถ้วยซิ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋ซื่อสี่รีบถอยออกไป
ไม่มีใครแกะเครื่องหัวให้นางแล้ว ซ่างกวานเยี่ยนจึงต้องแกะเอง
ซ่างกวานชิ่งใช้เท้าลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างกายนาง เหลียวมองนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ข้าช่างงามยิ่งนัก! หญิงอื่นเทียบไม่ได้แม้แต่นิด!”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ต้องให้เจ้าบอกด้วยรึ”
ซ่างกวานชิ่งเบ้ปาก ใช้ได้ ท่านรับมุกเก่งเหมือนกันนะเนี่ย
“พวกฉงเอ๋อร์หลับแล้วหรือ” ซ่างกวานเยี่ยนปลดดอกไม้มุกบนศีรษะ
ซ่างกวานชิ่งขานตอบ
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “แล้วเจ้ามาตำหนักข้ากลางดึกเช่นนี้มีเรื่องอะไร เมาจนเดินเข้าผิดตำหนักบรรทมแล้วรึ”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยตามตรง “ข้าได้ยินมาว่าเยี่ยนซานจวินให้ของขวัญปีใหม่ท่านอีกแล้ว ข้าอยากเห็น”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “อยากเห็นก็ไปดูเอง”
ซ่างกวานเยี่ยนที่กำลังถอดต่างหูชะงักไปในทันที มองลูกชายของตัวในกระจกทองแดง ซ่างกวานชิงกำลังมองรองเท้าขุนนางคู่ใหม่ของตัวเองอย่างชื่นชม
นางไม่ได้ถามว่าซ่างกวานชิ่งรู้ได้อย่างไร ซ่างกวานชิ่งดูเหมือนไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วไหวพริบเฉียบแหลม ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจปิดบังเขาได้
“ท่านกลัวว่าข้าจะไม่พอใจหากมีพ่อเลี้ยงใช่หรือไม่ ไม่เป็นไรหรอก ข้าโตขนาดนี้แล้ว จะมีพ่อเลี้ยงหรือไม่ก็ไม่มีผลอันใดกับข้าหรอก อีกอย่าง…”
เขานิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “เยี่ยนซานจวินดีกับข้าไม่น้อย เรื่องบางเรื่องเขาไม่ยอมให้ข้าบอกท่าน ข้าไตร่ตรองดูแล้วก็ตัดสินใจว่าควรบอกอยู่ดี ข้ามิได้บังคับให้ท่านรับความรู้สึกของใคร แต่แค่อยากให้ท่านรู้ความจริงทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิจารณาทางเลือกของตัวเองอีกครั้ง”
“ตอนข้ายังเด็ก มักจะชอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกสุสานกษัตริย์ ถึงจะมีองครักตามติด แต่ข้าก็จะชอบไปที่อันตรายอยู่เสมอ หลายต่อหลายครั้งที่เยี่ยนซานจวินช่วยข้าให้รอดชีวิตมาได้”
“เขาสามสี่วันก็ออกจากเมืองหลวงที คนนอกต่างพากันคิดว่าเขานั้นชอบท่องเที่ยวเริงสำราญ แต่ความจริงแล้วเขามาหา แต่เขาไม่อาจบอกใครได้ เพราะกลัวว่าหากเสด็จปู่รู้เข้า จะสงสัยว่าท่านสมคบคิดกับเขา”
เขาล้วงกริชไม้ออกมาจากอก
บนนั้นมีรอยฟันมากมาย เป็นรอยฟันของหญิงท้องแก่ใกล้คลอดที่ภูเขาผี
“ตอนข้าอายุเจ็ดขวบ เขามอบสิ่งนี้ให้กับข้า”
“แล้วก็ ตอนที่ท่านจัดการไท่จื่อ ข่าวทั้งหลายจากจวนไท่จื่อนั้น ก็เป็นเขาที่ตั้งใจเผยให้คนในวังของท่านรู้”
“เพราะอย่างนั้นหากท่านกลัวว่าข้าจะไม่ยอมรับเขา ท่านก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”
…
วันต่อมา เซียวเหิงชดใช้กรรมที่แบกจิ้งคงขึ้นหลัง เขาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งแผ่นหลังและบั้นเอว
เจ้าเด็กนั่นตัวหนักเกินไปแล้ว!
ตอนเด็กยังตัวกระจิ๋วเดียว ดูเหมือนตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกันไปเป็นปีด้วยซ้ำ เหตุใดโตขึ้นแล้วถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้
อายุสิบสาม แต่ตัวสูงกว่ากู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่อายุสิบห้าอีก!
กู้เจียวหยัดตัวลุกขึ้น มองเขาพลางเอ่ยหยอก “องครักษ์ตั้งมากมาย แต่เจ้าก็ดึงดันจะแบกเอง เจ็บใช่ไหมล่ะ”
“ไม่เจ็บ!” เซียวเหิงชักมือที่กุมเอวออกในทันที ลุกขึ้นนั่งไม่ยอมเสียหน้า
กู้เจียวเม้มปากที่ยกยิ้ม ค่อยๆ เลิกผ้าห่มข้างหลังออก ศีรษะน้อยๆ ทั้งสามจึงได้เผยออกมา
ทั้งสามคนมองเขาตาปริบๆ
เซียวเหิงตกใจ ได้ยินกู้เจียวเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์ “ได้ยินหรือไม่ เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่าไม่เจ็บ วันนี้ไปปีนเขาได้”
เซียวเหิง “…!!”