สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 993 จิ้งคงกับหลิ่วเซี้ยง (ฉบับจิ้งคง)
บทที่ 993 จิ้งคงกับหลิ่วเซี้ยง (ฉบับจิ้งคง)
……….
เซวียนหยวนซียังไม่รู้ว่าตนเองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกว้านจวินโหว การจลาจลในตะวันตกเฉียงใต้สงบลงแล้ว เขากำลังเตรียมตัวเดินทางกลับ
ก่อนจากไป เขามาถึงซือหม่าโพ ขี่อยู่บนหลังของเสี่ยวสืออียืนอยู่บนเนินเขาสูง ทอดมองสีขาวโพลนอันไกลสุดลูกหูลูกตา
กัวหม่างควบม้าตามเขาไป
เมื่อเห็นเขาเงียบอยู่นาน กัวหม่างพลันคาดเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
หลังจากที่ได้รู้จักกันมาหลายวัน กัวหม่างรู้สึกประทับใจเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าลูกชายของเขา เขามีความเลือดร้อนและบ้าบิ่นของเด็กหนุ่ม แต่กลับมิได้หุนหันพลันแล่นและยังมีความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม เขาเป็นคนกล้าหาญ มีไหวพริบและมีจิตใจที่มั่นคง
กัวหม่างสะท้อนใจ เด็กหนุ่มผู้นี้ราวกับเกิดมาเพื่อสนามรบ
ลมหนาวโหมกระหน่ำ กัวหม่างรู้สึกหนาวเล็กน้อย เขามองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ ริมฝีปากแตกแห้ง ดวงตาแน่วแน่ ในที่สุดก็เอ่ยถามออกมา “ใต้เท้า ท่านกำลังมองอะไรอยู่”
เซวียนหยวนซีเอ่ย “มองบ้านเมืองของแคว้นเยี่ยน”
กัวหม่างคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม “แล้วท่าน… เห็นอะไรหรือ”
เซวียนหยวนซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แคว้นเหลียงรนหาทียิ่งนัก”
กัวหม่างงุนงง เหตุใดจู่ๆ ก็เอ่ยถึงแคว้นเหลียง เปลี่ยนหัวข้อเร็วไปหน่อยไหม!
เซวียนหยวนซีไม่ลังเลที่จะตอบคำถามของเขา “ชุดเกราะและอาวุธของกบฏมาจากไหน เงินที่ใช้เลี้ยงกองทัพมาจากไหน โจวฉงเย่ว์ เป็นแค่นักรบ เขาจะเก่งกาจขนาดนั้นได้อย่างไร”
สีหน้าของกัวหม่างเปลี่ยนไป “ท่านหมายความว่า… ความวุ่นวายในตะวันตกเฉียงใต้ มีแคว้นเหลียงปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ”
ใบไม้แห้งปลิวตกลงบนฝ่ามือของเซวียนหยวนซีอย่างแผ่วเบา
เซวียนหยวนซี กำมือแน่น ดวงตาเย็นชาเอ่ย “แคว้นเหลียง”
เขาปล่อยมือ ใบไม้แห้งกรอบกลายเป็นผุยผงนั้นถูกเขาโปรยลงบนหิมะ
…
ความวุ่นวายในตะวันตกเฉียงใต้สิ้นสุดลง เซวียนหยวนซีออกเดินทางกลับเมืองหลวง
“ถนนยังปิดอยู่ เหตุใดท่านไม่รอสักสองสามวันค่อยกลับเล่า” กัวหม่างแนะนำอย่างเป็นห่วง
“ไม่จำเป็น”
เขาต้องรีบกลับไปหาเจียวเจียวในวันปีใหม่
เขาพลิกตัวขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว เสื้อคลุมสีแดงของชุดเกราะสีเงินกระพือปลิวตามสายลมลู่แผ่นหลัง สง่างามและหล่อเหลายิ่งนัก
กัวหม่างมองอย่างตกตะลึง
เด็กคนนี้หน้าตาดีเกินไปแล้ว…
แน่นอน เขายังโหดเหี้ยมไร้เมตตาเมื่อฆ่าศัตรู
ยากที่จะจินตนาการว่าชายหนุ่มรูปงามแสนสง่าเช่นนี้จะเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่ทำให้กบฏทั้งปวงหวาดกลัวในสนามรบเมื่อไม่กี่วันก่อน
“แม่ทัพกัว ลาก่อน” เด็กชายเอ่ย ตบที่คอของม้าศึก พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหลืออีกสิบสามวัน เสี่ยวซืออี ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ราชาม้าตัวเต็มวัยยืนขึ้นและยกกีบหน้าของมัน เกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย อ้าปากกว้างราวกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ข้ามาแล้ว!
ม้าทั้งหลายในค่ายทหารถูกมันชนจนหงายหลัง!
เจ้าม้าวิ่งควบไปข้างหน้าท่ามกลางหิมะและสามลมอันไร้สิ้นสุดดุจดั่งลูกศรที่หลุดจากสายธนู
…
ชายคนหนึ่ง นกอินทรีหนึ่งตัว และม้าหนึ่งตัว ท้าทายหิมะและสายลมอันหนาวเหน็บ เดินทางผ่านภูเขาและสันเขาในอันหนาวเย็น วิ่งผ่านบ้านเมืองและผ่านป่าทึบ
ในที่สุดก็มาถึงเมืองเซิ่งตูในวันส่งท้ายปีเก่า
ในเมืองเซิ่งตูหิมะตกหนักเช่นกัน แต่ไม่มีลมในวันนี้ หิมะก้อนโตตกลงมาอย่างเงียบๆ ไม่มีคนเดินถนน ร้านค้าต่างก็ปิด
ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าที่เร่งรีบและเสียงนกอินทรีที่ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าตลอดถนน
เซวียนหยวนซี ไม่ได้เจอเจียวเจียวมาหนึ่งปีแล้ว เขาคิดถึงนางมากจนใจเจ็บ แทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปหานาง
“เสี่ยวสืออี!” เขาดึงบังเหียนแน่น
ม้าราชาเติบโตมาพร้อมกับเด็กหนุ่มบนหลังม้า รู้ใจกันมานาน จึงเพิ่มความเร็วที่เร็วอยู่แล้วขึ้นไปอีก
ที่จริงม้าราชาก็อยากกลับไปเร็วๆ เหมือนกัน
ลูกมนุษย์จะว่าดีก็ดี ทว่าหากออกไปเที่ยวเมื่อใดก็ลำบากมันเสียทุกที
ครั้งนี้ออกท่องไปไกลถึงหนึ่งปี เจ้าม้าเบื่อเขาจะแย่แล้ว
มันอยากกลับไปเดินเล่นกับเจียวเจียว
…
ปีนี้ กู้เจียวและเซียวเหิงพาลูกๆ ไปฉลองปีใหม่ที่แคว้นเยี่ยน
ประการหนึ่งคือไปเยี่ยมอันกั๋วกงและซ่างกวนเยี่ยน และประการที่สอง สถานการณ์ในแคว้นเยี่ยนตึงเครียด เซวียนหยวนฉีอยู่ที่ชายแดนมาสองปีแล้วและไม่เคยกลับไปยังเมืองหลวง
กู้เจียวอาจจะต้องไปรบ
แม่สามีและลูกสะใภ้เดินเล่นในสวนหลวงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังมาจากด้านหลังพุ่มไม้ข้างหน้าเป็นครั้งคราว
ไร้เดียงสาและไร้กังวล
ดวงตาของซ่างกวานเยี่ยนฉายแววอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู
ยิ่งเป็นฮ่องเต้นานเท่าไหร่ กลิ่นอายแห่งอำนาจก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ขันทีไม่ค่อยเห็นด้านที่อ่อนโยนของนาง
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างรู้สึกขอบคุณ “จลาจลทางตะวันตกเฉียงใต้ครานี้ จิ้งคงสร้างความดีความชอบไว้มาก เจ้ารู้ไหม เขาขอไปตะวันตกเฉียงใต้ด้วยตัวเอง เขาบอกว่าถ้าเขาไม่ไป เจ้าจะไป”
กู้เจียวชะงักไป
ซ่างกวานเยี่ยนถอนหายใจ “เขาบอกว่าวันหน้าเขาจะไม่ให้เจ้าต้องออกรบอีก เขาจะออกรบเองทุกศึก ทั้งยังไม่ให้ข้าและผู้บัญชาการบอกข่าวทหารใดๆ กับเจ้า ให้บอกเขาก็พอแล้ว เขาจะชนะศึกแน่นอน เขาสัญญา”
หัวใจของกู้เจียวเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรง
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงสิ่งที่จิ้งคงเอ่ยกับนางเมื่อเขามาถึงบ้านครั้งแรก
“เจียวเจียว เจ้าเก่งมาก!”
“ข้าต้องเก่งขึ้นอีก! เก่งกว่าเจียวเจียว! เจียวเจียวไม่ต้องเก่งขนาดนั้น!”
นางไม่เข้าใจ
เสี่ยวจิ้งคงอายุสามขวบเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่ใสซื่อจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง “เจียวเจียวเหนื่อยไหม อาจารย์บอกว่าคนที่เก่งต้องทนทุกข์มากมาย จะต้องทนต่อไป ทนทุกข์อย่างหนักหนาในวันหน้า”
เพราะคนเก่งต้องขึ้นเขา! ขึ้นเขาลำบาก ลงเขาถึงจะสบาย!
“เจียวเจียว รอข้าโตก่อนนะ พอข้าโตขึ้น ข้าจะแบกเจ้าขึ้นเขา!”
ถ้าคนเก่งต้องขึ้นเขา เขาจะแบกเจียวเจียวขึ้นเขา!
เจียวเจียวไม่ต้องเดิน ความลำบากของเจียวเจียว เขาจะรับไว้เอง!
อันที่จริง ตอนนั้น กู้เจียวไม่ค่อยเข้าใจคำว่า ขึ้นเขา ลงเขา ที่ออกมาจากปากของเจ้าข้าวเหนียวอายุสามขวบนัก จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจในภายหลัง
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเข้าร่วมกองทัพเมื่ออายุสิบสอง
เขาละทิ้งการเรียนเพื่อเข้าสู่เส้นทางนักรบ ไม่ใช่เพราะความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เขาหมดศรัทธาในการสอบขุนนาง แต่เป็นเพราะเขาต้องการออกไปสู้รบแทนนาง
หัวใจมอบแก่แผ่นดิน ชีวินมอบให้แก่ประชาราษฎร์ สืบทอดความรู้จากปราชญ์ สร้างสันติภาพชั่วนิรันดร์
นางยังไม่ทันสอนสิ่งเหล่านี้ให้เขา ความคิดของเขาช่างใสซื่อนัก
เขาแค่อยากมอบโลกอันสงบสุขให้แก่นาง
“เขาไม่ได้บอกข้าเมื่อเขาจากไป” นางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
“ถ้าเขาบอก เจ้าจะไม่ปล่อยเขาไป” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยพลางมองกู้เจียว “สงครามทางตะวันตกเฉียงใต้สงบลงแล้ว จิ้งคงกำลังจะกลับมา เขาจะต้องดีใจมากที่ได้พบเจ้า”
กู้เจียวพยักหน้า
นางคิดถึงจิ้งคง คิดถึงมากๆ
นับตั้งแต่สงครามแคว้นจิ้น ทั้งหกแคว้นก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาหลายปี แต่เมื่อไม่นานมานี้ ความสมดุลที่ละเอียดอ่อนนี้ก็ถูกทำลาย
ข้อเสนอของซ่างกวานเยี่ยนในการสร้างการขนส่งทางน้ำของทั้งหกแคว้นถูกคัดค้านจากทุกแคว้น
เหตุผลนั้นแปลกประหลาด บางคนบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการทำลายฮวงจุ้ยของแคว้น หรือบางคนบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ประชาชนต้องลำบากและสิ้นเปลืองทรัพยากร
แต่ในท้ายที่สุด เหตุผลก็คือเกาะที่ชื่อว่าเป่าซาน
เกาะเป่าซานตั้งอยู่ในแคว้นจิ้น เป็นดินแดนของจิ้น เดิมทีหลังจากที่จิ้นพ่ายแพ้ ก็ยกเมืองหลายเมืองเพื่อแลกกับสันติภาพ รวมถึงเกาะเป่าซานนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เกาะเป่าซานเป็นเกาะร้าง ในตอนนั้นไม่มีใครสนใจ แคว้นเยี่ยนจึงรับไป
ใครจะไปคิดว่าต่อมาผู้บุกเบิกจะค้นพบทองคำบนเกาะ แคว้นอื่นๆ ก็ไม่พอใจ คิดว่าแคว้นเยี่ยนจงใจปกปิดแหล่งแร่ทองคำ ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเป็นเกาะร้าง
ตอนนี้ทุกแคว้นต้องการมีส่วนร่วม
แต่เป็นไปไม่ได้
ซ่างกวานเยี่ยนจะไม่ยอม
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในหกแคว้น ยังมีสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือเผ่าทูเจวี๋ย
เผ่าทูเจวี๋ยเปลี่ยนไปแล้ว
เผ่าทูเจวี๋ยเดิมทีแยกตัวออกจากจิ้น มีทั้งหมดสิบสามเผ่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เผ่าต่างๆ ปกครองตนเองและมีความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามรวมเผ่าทั้งสิบสามเข้าด้วยกัน เพียงแต่ไม่มีใครมีความสามารถนั้น
แต่เมื่อสามปีก่อน เผ่าทูเจวี๋ยที่อ่อนแอที่สุดในอดีตกลับผงาดขึ้นและกลืนกินเผ่าอื่นๆ ทีละเผ่า
ใช้เวลาไม่ถึงสามปีในการรวมเผ่าทั้งสิบสามของเผ่าทูเจวี๋ยที่แตกแยกกันมานานหลายร้อยปี
สองเดือนก่อน เผ่าทูเจวี๋ยได้ก่อตั้งแคว้นและตั้งชื่อว่าเว่ย
ฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ยยังไม่ได้ประกาศตนเป็นฮ่องเต้ เพียงแต่เรียกตนเองว่ากษัตริย์
“อาจจะรอให้ทูตจากหกแคว้นไปถึงที่นั่น และเป็นสักขีพยานในพิธีบรมราชาภิเษกของเขา จึงจะได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยพลางหยิบพระราชกฤษฎีกาออกมาจากแขนเสื้อ “พระราชหัตถเลขาของกษัตริย์เว่ย เชิญราชวงศ์ต่างๆ ไปร่วมพิธีราชาภิเษกของพระองค์”
กู้เจียวรับมา นางอ่านอักษรของจิ้นไม่ออก จึงถาม “ท่านแม่ตั้งใจจะไปไหม”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ชิ่งเอ๋อร์บอกว่าเขาอยากไป แต่ข้ายังกังวลอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะมีคนไปเป็นเพื่อนเขา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือน้าของเจ้า”
กู้เจียวพยักหน้า ปัญหานี้ไม่ใหญ่ นางไปได้ เซวียนหยวนฉีไปก็ได้
“นอกจากนี้ ข้ายังมีเรื่องจะเตือนเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
“เรื่องอะไร” กู้เจียวถาม
ซ่างกวานเยี่ยนขมวดคิ้วและเอ่ย “มีข่าวลือว่า กษัตริย์เว่ยพระองค์นี้สามารถก้าวขึ้นมาจากบุตรชายของหัวหน้าเผ่าที่อ่อนแอที่สุดได้ ก็เพราะเขามีเสนาบดีที่เฉลียวฉลาดอยู่ข้างกาย”
กู้เจียวถามโดยไม่รู้ตัว “แซ่อะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “หลิ่ว”