สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 987 จบบริบูรณ์ (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
บทที่ 987 จบบริบูรณ์ (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
อวี้จิ่นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในค่ายทหาร จึงรีบร้อนมาหา นางเห็นท่านโหวยืนอยู่หน้ากระโจม กลับไม่เห็นองค์หญิงของตน ก็อดถามขึ้นด้วยความกังวลไม่ได้ “ท่านโหว องค์หญิงเล่าเจ้าคะ”
เซียวจี่มองม่านที่โดนสะบัดเสียงดัง ก่อนจะแสร้งทำเป็นทอดถอนใจพลางเอ่ย “ข้าแต่งงานกับเทพธิดา มัวแต่ลักพาตัวเทพธิดากลับมา จนลืมองค์หญิงของเจ้าไว้ที่ตำหนักเทพธิดาแล้ว”
“วะ…ว่าอย่างไรนะ”
อวี้จิ่นเหมือนโดนสายฟ้าฟาด ปากอ้าตาค้างมองเซียวจี่ ฟ้ามืดมากแล้ว เมื่อครู่นางวิตกเกินไป ไม่ได้สนใจชุดแดงบนร่างเซียวจี่
มันแตกต่างจากชุดมงคลของเจ้าบ่าวแคว้นเจาเล็กน้อย แต่เมื่อเขาอธิบายเช่นนี้ ก็กระจ่างแจ้งแล้ว
นางก็ว่าอยู่ว่าท่านโหวตนชอบสวมอาภรณ์สีฉูดฉาดพราวเสน่ห์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
เสียงกระทืบเท้าเบาๆ อย่างกระฟัดกระเฟียดดังภายในกระโจม!
เซียวจี่ขยิบตาให้อวี้จิ่น “วางใจเถิด เทพธิดากับกษัตริย์ตงอี๋อยู่ในมือพวกเรา พวกเขาไม่กล้าทำอะไรองค์หญิงหรอก พวกเราตั้งท่าคอยทีเอาไว้ พวกเขารอไม่ไหวย่อมมาทำข้อตกลงกับพวกเราเอง”
อวี้จิ่นนิ่งอึ้ง ก่อนจะกระจ่างแจ้งทุกอย่าง
องค์หญิงตนช่างเขลาจริง ๆ โดนท่านโหวแกล้งให้อีกแล้ว
อวี้จิ่นทนดูไม่ได้แล้ว คนฉลาดเฉลียวเย็นชาดุจน้ำแข็งแท้ๆ มาอยู่ในมือหมาป่าเฒ่าอย่างท่านโหว ก็โดนกินเสียเกลี้ยงเลย
“เช่นนั้น บ่าวต้องเตรียมอะไรบ้างเจ้าคะ” นางก็เอาอย่างไม่ดีมาแล้ว
ใช้ได้นี่ อวี้จิ่น
เซียวจี่รอยยิ้มเต็มดวงตา ทว่าปากกลับเอ่ยน้ำเสียงไม่แยแส “เตรียมน้ำร้อนเถิด เดี๋ยวให้เทพธิดาอาบน้ำอาบท่า ค่อยไปทำอะไรกินที่ห้องครัว เทพธิดาไม่กินเผ็ด ใส่พริกน้อยๆ ล่ะ”
ในกระโจมไม่ใช่เสียงกระทืบเท้าแล้ว แต่เป็นเสียงทุบโต๊ะแทน!
อวี้จิ่นทนไม่ไหว: ท่านโหวท่านอย่าทำเกินไปเลย
“รู้แล้ว ไปเถิด” เซียวจี่กลั้นยิ้ม หันหลังเดินเข้าไปในกระโจม
ภายในกระโจมถูกอวี้จิ่นเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันแล้ว นางเพิ่มเครื่องเรือนจำนวนหนึ่ง เปลี่ยนเครื่องนอนที่นุ่มนิ่มอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม
องค์หญิงซิ่นหยางขณะนี้กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งที่ปูเบาะผ้าฝ้ายรองไว้ ตั้งแต่ศีรษะจดเท้าแผ่กลิ่นอายที่อยากจะฆ่าเซียวจี่ออกมา
ชุดมงคลของตงอี๋มีกระเป๋าซึ่งซ่อนอยู่ในรอยจีบทั้งสองด้าน
เซียวจี่สอดสองมือเข้ากระเป๋า เดินมานั่งข้างกายองค์หญิงซิ่นหยางอย่างคุณชายเจ้าสำราญ “เทพธิดา เดินทางเหน็ดเหนื่อย ลำบากแล้ว”
ข้าถูกขังไว้ที่ตำหนักเทพธิดา เจ้ากลับเอาแต่ห่วงเทพธิดา!
หากข้ามีวรยุทธ์อย่างหลงอี เจ้าได้ตายแน่!
เซียวจี่แทบจะกลั้นไม่ไหวแล้ว กดมุมปากที่อยากหยักยกลงไป เคราะห์ดีที่นางสวมผ้าคลุมหน้าไว้จึงมองไม่เห็น
เขาลุกขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในกระโจม คล้ายจุดเทียน องค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกว่าพื้นสว่างขึ้น
เซียวจี่เอ่ยเสียงเบา “เมื่อครู่ตอนกราบไหว้ฟ้าดิน ฮูหยินจริงใจเพียงนั้น กลับเป็นข้าที่ทำลวกๆ ข้ารู้สึกผิด วันหน้าจะไม่ทำฮูหยินเสียใจแน่นอน”
เรียก ฮู หยิน แล้ว ด้วย!
เจ้าไม่เคยเรียกข้าเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ!
ความสุขุมใจเย็นหลายสิบปีขององค์หญิงซิ่นหยางพังทลายลงแล้ว ณ ขณะนี้ ในที่สุดนางก็กลายเป็นนกน้อยกราดเกรี้ยวขนพอง
นางยกมือขึ้น หมายจะเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นเฉลยให้เขาดู และบอกเขาว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปนางจะไม่ไปมาหาสู่กับเขาไปจนตายเลย
ไหนเลยจะรู้เพิ่งจะยกมือไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของเซียวจี่คว้าไว้เบาๆ เสียก่อน
เซียวจี่เอ่ย “ผ้าคลุมหน้าในคืนแต่งงาน ควรให้สามีเป็นคนถอด”
“ท่านโหว น้ำร้อนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงรายงานของอวี้จิ่นดังขึ้นหน้ากระโจม
“เอาเข้ามา” เซียวจี่เอ่ย
อวี้จิ่นยกน้ำร้อนกะละมังหนึ่งเข้ามา แล้วหันไปหยิบขนมกล่องหนึ่งมา “อาหารยังไม่เสร็จง่ายๆ ท่านโหวกับ…อะแฮ่ม พวกท่านทั้งสองรองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ”
หลังนางจากไป องค์หญิงซิ่นหยางก็โกรธเกรี้ยวต่อ
แต่ทันใดนั้น สิ่งแปลกปลอมบางอย่างก็สะท้อนสู่นัยน์ตานาง
คล้ายคุ้นตาทีเดียว แต่ก็นึกไม่ออก
ไม่รอให้นางนึกอะไรออก ผ้าคลุมหน้าก็ถูกเลิกขึ้น
สิ่งที่สะท้อนสู่ม่านตาคือใบหน้าหล่อเหลาน่าหลงใหลดวงหนึ่ง ราวกับคืนวันแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน เด็กหนุ่มที่สวมชุดมงคลคนนั้น ใช้หยกหรูอี้เลิกผ้าคลุมหน้านางออก
ใบหน้าเขามีช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ประหนึ่งกาลเวลาตกตะกอน ทว่าความวาดหวังและความปรีดาในแววตากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
เขาอมยิ้มมองนาง เจือความบริสุทธิ์และงดงามที่ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา แน่นอนว่ามีความสุขุมของผู้ใหญ่และเผด็จการเพิ่มขึ้นมาด้วย
องค์หญิงซิ่นหยางชะงัก
มีชั่วขณะหนึ่ง ที่นางรู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน
ทั้งสองมีมาดที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กาลเวลาคล้ายลืมเลือนทั้งสองไป นางยังคงงดงามดั่งวันวาน เขาก็ยังอ่อนโยนหล่อเหลาเหมือนเก่า
“เจ้า…”
นางอ้าปาก พบว่าลำคอตนเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว
นางก้มหน้าลงมองของในมือเขาอีกครา
มิน่าจึงได้คุ้นตา ที่แท้ก็เป็นหยกหรูอี้
ต่อให้นางโง่กว่านี้ ยามนี้ก็กระจ่างแล้ว เมื่อครู่หลังจากที่เขาเลิกผ้าคลุมหน้านางแล้ว ก็ไร้สีหน้าตกตะลึงใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าเขารู้ว่าใต้ผ้าคลุมหน้าคือนาง
คนผู้นี้ แกล้งนางมาตลอดทางอย่างนั้นหรือ
นางรู้สึกว่าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก อยากจะโกรธเคืองเขามาก แต่นางเห็นแววตาเขาดุจเดียวกับเมื่อตอนนั้นเลย ซ้ำยังเห็นหยกหรูอี้ในมือเขา รวมถึง…เทียนมังกรกับวิหคเพลิงบนโต๊ะที่ไม่รู้ว่าถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ดวงใจอดสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้
“เตรียมพวกนี้…ตั้งแต่เมื่อใดกัน” นางถามเสียงแผ่ว
“เจ้าหมายถึงนี่น่ะหรือ” เซียวจี่ยิ้มมองหยกหรูอี้ในมือพลางเอ่ย “ระหว่างทาง ตอนใกล้จะถึงค่ายทหารแล้ว จอดในตำบลพักหนึ่ง”
รถม้าได้จอดด้วยหรือ
นางมัวแต่โมโห ไม่ได้สนใจรายละเอียดนี้เลย!
จงใจให้นางเป็นเทพธิดามาตลอดทาง ก็เพื่อสิ่งนี้น่ะหรือ
มาคิดๆ ดูแล้วก็ถูก หากตอนนั้นเขาบอกแต่แรกว่ารู้แล้วว่าเป็นนาง ต่อหน้าหลงอีกับเจินเอ๋อร์ นางหน้าบางนัก ไม่มีทางสวมผ้าคลุมหน้าแสร้งเป็นเจ้าสาวต่อแน่
เดิมนึกว่าทุกอย่างจบลงหลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ นั่นคือโอกาสทองในการลงมือที่นางนัดแนะกับหลงอี
เมื่อถึงที่นั่นนางก็ไม่ได้วาดหวังอะไรอีก
ทว่าบุรุษคนนี้คิดแผนนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งยั่วโมโหนาง ทั้งอาศัยจังหวะที่นางไม่ทันสังเกตหาเทียนมังกรวิหคเพลิงกับหยกหรูอี้มาได้
สิ่งที่เซียวจี่หามาไม่ได้มีเพียงเทียนกับหยกหรูอี้เท่านั้น ยังมีสุราเหอจิ้นที่พวกเขาเคยไม่ได้ดื่มกันด้วย เขาเทสุราสองจอก ยื่นจอกหนึ่งให้นาง “สุราของชายแดนสู้สุราบ่มในวังหลวงไม่ได้ คงต้องให้เจ้ากล้ำกลืนดื่มแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางหลุบตาลงมองเงาสะท้อนในจอกสุรา “เจ้าจำข้าได้อย่างไร”
เซียวจี่หัวเราะ “เจ้ากราบไหว้เสียขนาดนั้น กลัวว่าข้าจะจำไม่ได้อีกหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าแดงเห่อ อยากบอกว่าตอนนั้นเจ้าก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันมิใช่หรือไร
ทั้งสองคล้องแขนกัน แหงนหน้าดื่มสุราเหอจิ้นที่มาช้าไปยี่สิบกว่าปี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราหรือว่ากระถางถ่านในกระโจมกันแน่ ข้างแก้มนางจึงแดงก่ำ
เซียวจี่จ้องมองนางอย่างลุ่มลึก “ฉินเฟิงหวั่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุราเหอจิ้นหมายความเช่นไร”
“หืม” องค์หญิงซิ่นหยางถูกเขาถามจนชะงักไป
เขาไม่หวังว่านางจะตอบ พูดเองเออเอง “ดื่มสุราเหอจิ้นแล้ว ร่วมเตียงกันชั่วชีวิต ร่วมฝังกันในวันตาย”
คล้องจองกันทีเดียว
องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มเจื่อนๆ “เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเลยเล่า”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
องค์หญิงซิ่นหยางวางจอกสุราลงข้างจอกของเขา แม้แต่จอกสุรายังอยู่เป็นคู่สอง เข้ากับบรรยากาศยิ่งนัก
“แล้วทำอะไรต่อ” นางเรียกความกล้าถามขึ้น
เซียวจี่มองนาง “ทำอะไรต่ออะไรรึ”
“หลังจากร่ำสุราเหอจิ้นแล้ว…ควรทำอะไรต่อ”
“ก็ย่อมเข้าหอน่ะสิ…” เซียวจี่เอ่ยพลางมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าเอาแต่พอดีเถิดนะ ไม่ดูเสียบ้างว่านี่มันสถานการณ์แบบใด ร่วมร่ำสุราเหอจิ้นกับเจ้าก็ให้ท้ายเจ้ามากแล้ว เจ้ายังคิดจะเข้าหอกับข้าอีกรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางกวาดตามองแผลเขา “อ้อ”
เซียวจี่ขมวดคิ้วเอ่ย “ใช่ว่าข้าไม่ไหว แต่เข้าหอในค่ายทหารมันผิดกฎ อีกอย่าง เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นหูหนวกกันหรือ”
คนที่มีวรยุทธ์โสตประสาทเหนือคนธรรมดานัก องค์หญิงซิ่นหยางนึกถึงความเคลื่อนไหวของเรื่องพรรค์นี้อาจจะถูกคนได้ยินได้ ก็ไม่กล้าคิดเข้าหอแล้ว
หลังจากอาบน้ำอาบท่า ทั้งคู่ก็มานอนบนเตียงอ่อนนุ่ม
“แผลเจ้า…” นางเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรแล้ว” เขาเอ่ย “แต่เข้าหอไม่ได้”
องค์หญิงซิ่นหยางหลบตาลง “อ้อ”
เซียวจี่ยิ้มจางๆ “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าผิดหวังมากหรือ”
“ไม่นี่” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย
นางนอนหงายอยู่ข้างกายเขา ดึงผ้าห่มขึ้นมา
เซียวจี่เอ่ย “ไม่ก็ดี เจ้าอย่ามาเอาเปรียบผู้อื่นกลางดึกกลางดื่นล่ะ”
“ข้าหนาว” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย
เซียวจี่ “อยากให้ข้ากอดเจ้าก็บอกมาตรงๆ ”
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าแดงเห่อ “เจ้ากอดข้าหน่อย”
เซียวจี่ “…”
เขามององค์หญิงซิ่นหยางที่หน้าแดงเห่ออยู่ข้างๆ อย่างคาดไม่ถึง คิดในใจว่า คงไม่ได้ซื้อสุรามาผิดกระมัง บอกกับร้านแล้วว่าขอสุราฤทธิ์น้อยที่สุด
หรือร้านจะให้ฤทธิ์แรงที่สุดกับเขามา
องค์หญิงซิ่นหยางมีเปลวเพลิงแผดเผาหัวใจ
พอสุราเข้าปากก็ใจกล้าขึ้น นางคออ่อน อย่างดีที่สุดก็คอแข็งกว่ากู้เจียวเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ไม่มาก
สุราหนึ่งจอกลงท้องไป การกระทำที่สะเพร่าเลินเล่อในอดีตวาบผ่านหัวนางไป
นางยิ่งคิดถึงคืนวันแต่งงานในตอนนั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนติดค้างเขา และยิ่งเสียดายความงดงามที่พวกนางพลาดมันไปในหลายปีมานี้
ชีวิตคนเราจะมียี่สิบปีอีกสักเท่าใดกันเชียว
เสียเวลาไปหนึ่งคืน ก็หายไปหนึ่งคืน
นางเหมือนถูกเปิดเส้นลมปราณหยินและหยาง ความตระหนักต่างๆ ในอดีตถูกพังทลายลง
เซียวจี่ไม่เข้าหอกับนางใช่ว่ากำลังใช้กลยุทธ์ถอยเพื่อโจมตีกับนาง แต่ไม่คิดจะต้องการนางที่นี่จริงๆ
ประการแรกคือแผลของเขา ประการที่สองนางบอบบางเหมือนกิ่งทองใบหยก เป็นครั้งแรกที่นางเต็มใจ เขาไม่อยากทำลวกๆ
ทว่าคนบางคนคืนนี้ดื่มจนมึนแล้ว ถูไถบนตัวเขาไม่หยุด
เขามองสตรีบางคนที่ซุกซนอยู่ในอ้อมอก สูดหายใจลึก “ฉินเฟิงหวั่น นี่เจ้าจะทำอะไรอีก”
มือขององค์หญิงซิ่นหยางสอดเข้าไปในอาภรณ์เขา “ข้าไม่ได้ทำอะไร แค่ลูบเฉยๆ ”
เซียวจี่ “…”
“ฉินเฟิงหวั่น เจ้าเมาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจนปัญญา
เขาคว้ามือนางออกมา
องค์หญิงซิ่นหยางออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว “ข้านอนไม่หลับ ข้าร้อน”
เซียวจี่เลือดลมพลุ่งพล่าน ดึงนางมาอยู่บนร่างตน คว้าท้ายทอยนางมาจูบอย่างเผด็จการและบีบบังคับ
กลิ่นสุราอวลอึงอยู่ระหว่างริมฝีปาก เขาลิ้มรสความงามของนาง มือลูบไล้เอวคอดไวต่อสัมผัสของนางโดยไม่รู้ตัว
ทว่าไม่ได้กระทำการอุกอาจใดๆ
เขาข่มกลั้นไว้
ไม่รู้ว่าจูบอยู่นานเท่าใด จู่ๆ ร่างนางก็กระตุกเกร็ง สมองขาวโพลนไปหมด
เซียวจี่ชะงักงัน
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าแดงปล่อยริมฝีปากเขา ซุกหน้ากับอกเขา แน่นิ่งไม่ขยับ
เซียวจี่ตกใจยิ่งนัก “ฉินเฟิงหวั่น ข้าแค่จูบเจ้า นึกไม่ถึงว่าเจ้า…นึกไม่ถึงว่าเจ้า…”
องค์หญิงซิ่นหยางอายจะตายอยู่แล้ว
นั่นสิ แค่จูบเท่านั้น ไยนางจึงได้…
เซียวจี่กอดนางไว้ พึมพำอย่างนิ่งอึ้ง “คืนนี้เจ้าไม่ได้กินยาเสียหน่อย เหตุใดจึงไวต่อความรู้สึกกว่าตอนกินยาอีกเล่า”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีหน้าพบใครแล้ว
เมื่อครู่นี้ ชั่วขณะหนึ่งนางสร่างแล้ว สมองแจ่มชัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เพราะว่าสติแจ่มชัดนี่ล่ะ นางจึงยิ่งอยากตาย
น่าขายหน้ายิ่งนัก…
เซียวจี่สงบใจลงพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “หากเจ้าต้องการจริงๆ ข้าก็ให้ได้…”
“หุบปาก!” องค์หญิงซิ่นหยางไม่อนุญาตให้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ลงมาจากตัวเขา ดึงผ้าห่มมาคลุมหัว ตัดสินใจว่าชั่วชีวิตนี้จะมุดอยู่ข้างในไม่พบใครอีกแล้ว
เซียวจี่กลับเลิกผ้าห่มเดินออกไปข้างนอก
องค์หญิงซิ่นหยางไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาก็ออกไป ทว่าจากการกระทำต่างๆ ที่เขาควบคุมไว้ในคืนนี้ คงอยากให้นางสงบจิตสงบใจคนเดียว
นอกกระโจม เสียงเคลื่อนไหวรวมตัวของเหล่าทหารลอยมา เสียงเสียดสีของเกือกม้าและชุดเกราะดังมาไม่ขาดสาย
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้ามึนงง
นางก็แค่…อันนั้นครั้งเดียวเองมิใช่หรือ
ถึงกับฝึกทหารกลางดึกกลางดื่นให้นางสงบจิตสงบใจเลยรึ
หนึ่งเค่อต่อมา เสียงฝึกทหารก็ค่อยๆ สงบลง สมองนางดังวิ้งๆ พลันแยกแยะไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ครู่ต่อมา ม่านกระโจมก็ถูกเลิกขึ้น เงาร่างเหนื่อยหอบสาวเท้าเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว
เขามัดม่านให้แน่นหนา ก่อนจะสาวเท้าราวกับดาวตกมาหยุดข้างเตียง
เปลื้องผ้าถอดเข็มขัดออก
องค์หญิงซิ่นหยางได้ยินเสียงสวบสาบด้านหลัง จึงพลิกตัวมาอย่างงุนงง มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้า…ทำอะไรน่ะ”
“เข้าหอ” เขาเอ่ย
องค์หญิงซิ่นหยางมองเขาด้วยความตกใจ “แต่ไหนเจ้าบอกว่า…ผิดกฎมิใช่หรือ”
เขาแก้เข็มขัด “ข้าก็คือกฎ”
“เช่นนั้น…พวกเขา…”
“ออกไปแล้ว”
ดังนั้นดึกดื่นค่อนคืนเจ้าปลุกคนตื่นไม่ใช่เพื่อฝึกทหาร แต่ไล่พวกเขาออกไปหมดเลยน่ะหรือ!
นี่มันดีไปกว่าให้พวกเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในกระโจมเท่าใดกัน
รุ่งเช้าทั่วทั้งชายแดนต่างรู้กันหมดว่าอู่โหวขั้นหนึ่งแห่งแคว้นเจาเพื่อเข้าหอกับภรรยา ตะเพิดทหารสามกองออกจากค่ายกลางดึกกลางดื่นแน่!
องค์หญิงซิ่นหยาง ไม่สู้ให้ข้าตายไปเลยดีกว่า
…
…
…
ค่ำคืนนี้ เขาอ่อนโยนสุดแสน
ราวกับทะนุถนอมของล้ำค่าที่สุดในโลก มอบความดีงามในคืนเข้าหอนี้ให้แก่นาง