สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 982 จริงใจ (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
บทที่ 982 จริงใจ (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสออกไป ภายในห้องก็เงียบงันอยู่สามวินาทีเต็มๆ !
เซียวจี่เงียบเพราะตีให้ตายเขาก็ไม่คิดว่าฉินเฟิงหวั่นจะเอ่ยถ้อยคำเทือกนี้ออกมาได้ ฉินเฟิงหวั่นเป็นกระต่ายขาวดุจหิมะ พอแหย่ก็จะหนี เขาหยอกเย้าฉินเฟิงหวั่นจนชินแล้ว พอเห็นฉินเฟิงหวั่นไม่พูดแบบทุกที เลือดลมก็พลันพลุ่งพล่าน ในขณะเดียวกันเขาก็มึนงงด้วย
ที่องค์หญิงซิ่นหยางเงียบไปเพราะนางก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเอ่ยคำนั้นออกไปเช่นกัน นางเอ่ยแล้วก็นึกเสียใจขึ้นมา นี่มันเรื่องไหนกับเรื่องไหนกันนี่
นางโดนของรึ
หรือว่าอยู่กับคนผู้นี้มานาน นางจึงติดนิสัยเขามา
ยามนี้นางจึงรู้จักกระอักกระอ่วนใจที่สุด
เห็นนางกระอักกระอ่วน เซียวจี่กลับหายแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้อยคำที่เอ่ยออกไป น้ำที่สาดออกไป คืนนี้ไม่ทำศึกสักสามร้อยยกคงจบเรื่องได้ยาก ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง ตนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่จะได้เห็นตะวันในวันรุ่งขึ้นหรือไม่ยังไม่ต้องพูดถึง นางคงตกใจหนักแน่กระมัง
“ข้าต้องการเจ้าก็ให้เลยรึ ฉินเฟิงหวั่น เจ้ากลายเป็นคนเชื่อฟังตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ใช้ร่างกายไม่ได้ ก็ใช้วาจาเอาเปรียบแทน
ไม่รอให้องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยขึ้น เขาก็เอ่ยต่ออีก “แต่บนโลกนี้มีเรื่องง่ายดายเพียงนั้นที่ไหนกัน เจ้าต้องการข้าก็ต้องให้รึ ข้าไม่ให้หรอกนะ”
เจ้าให้ไม่ได้ต่างหากกระมัง!
บาดเจ็บขนาดนี้ ทั่วทั้งร่างมีส่วนใดบ้างยังทรมานได้อีก!
องค์หญิงซิ่นหยางก็รู้ว่าเขารังแกตนที่หนังหน้าบาง จึงได้กล้าใช้วาจาเอาเปรียบกันคราแล้วคราเล่า นางน่าจะผลักเขาลงเตียงไปเลย ไม่ให้เขาพูดมาก เป็นบุรุษก็เอาจริงไปเลยสิ!
แต่มาคิดดูอีกที เรื่องพรรค์นี้สุดท้ายตนก็ทำไม่ได้อยู่ดี
นางโมโหตัวเองและโมโหเขาด้วย หน้าทะมึนขึ้นมา เหลือบตาถลึงใส่เขา ก่อนจะกระชับเข็มขัดในมือให้แน่นขึ้นอย่างแรง
เซียวจี่โดนดึงไปโดยไม่ทันตั้งตัว ก็สูดปากอีกหน ครานี้เจ็บจริงๆ
ด้านนอก สตรีอาภรณ์แดงที่รอเซียวจี่อยู่นานแล้วยังไม่ออกมาเสียทีก็เอ่ยขึ้น “หลางจวิน[1] อาภรณ์มีปัญหาหรือ ให้พวกเราเข้าไปปรนนิบัติหรือไม่”
“หลางจวิน” ได้ยินคำเรียกนี้ องค์หญิงซิ่นหยางยิ่งหน้าทะมึนกว่าเดิม
เซียวจี่มองนางด้วยแววตาขบคิด เอ่ยเจือความลำพองอยู่หลายส่วน “ฉินเฟิงหวั่น เรื่องนี้เจ้าก็หึงหวงด้วยรึ ที่เผ่าตงอี๋น่ะหลังจวินเป็นเพียงคำเรียกสำหรับคุณชายที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ไม่ได้มีความนัยที่มีเลศนัยใดๆ เลย”
“หลางจวิน ข้าเข้าไปนะเจ้าคะ” สตรีอาภรณ์แดงเอ่ย
องค์หญิงซิ่นหยางจัดการสีหน้าได้ทัน ถอยไปด้านข้างเงียบๆ
เซียวจี่สวมผ้าคลุมหน้าหันกลับมา บังนางไว้ด้านหลังได้พอดิบพอดี ซ้ำยังอาศัยแขนเสื้อกว้างบดบังนิ้วที่เกาะเกี่ยวนิ้วของนางไว้อย่างแนบเนียนด้วย
นิ้วองค์หญิงซิ่นหยางคล้ายมีไฟฟ้าแล่นวาบ ชาดิกไปหมด
นางชักมือกลับไปด้านหลัง
ใต้ผ้าคลุมหน้า เซียวจี่หยักยกมุมปากขึ้น
ครั้นสตรีอาภรณ์แดงเข้ามาในห้องก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ประหลาดมาก แต่มันอย่างไรนางก็อธิบายไม่ถูก ก็แค่…รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นส่วนเกิน
นางส่ายหน้า ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ตรวจสอบชุดมงคลของเซียวจี่
ชุดมงคลของสามีเทพธิดาก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่แตกต่างกันในด้านเนื้อผ้ากับรูปแบบ ไม่ใช่ผ้าไหมต่วนชั้นดี แต่เป็นผ้าไหมแดงกับผ้าเงือก
นี่ยิ่งต้องพิจารณาถึงรูปร่างของบุรุษด้วย เพราะหากไม่ทันระวังจะยิ่งทำให้ดูเตี้ย อ้วนและบวม
เซียวจี่ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขารูปร่างสูงใหญ่ สูงโปร่งแข็งแรง ไหล่กว้างเอวสอบ ขาก็เรียวยาว
รูปร่างนี้ถูกคลุมกระสอบก็ยังน่ามอง
สตรีอาภรณ์แดงก็ตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน หากมิได้มีกฎอยู่ นางอยากจะปลดผ้าคลุมของหลางจวินออก ชื่นชมโฉมหน้าของเขาด้วยซ้ำ
“จะมองไปถึงเมื่อใด” เซียวจี่เอ่ยอย่างรำคาญ
สตรีอาภรณ์แดงพลันได้สติ ก้มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วนพลางเอ่ย “เดิมทีช่างวัดตัวหลางจวินผิด ตัดใหญ่ไปสองชุ่น ไม่คิดว่าจะพอดีตัว ข้าจะถอดชุดมงคลให้หลางจวินเองเจ้าค่ะ”
เซียวจี่เอ่ยโดยไม่เกรงใจ “เจ้าแตะต้องตัวข้า เทพธิดาพวกเจ้ารู้หรือไม่”
สตรีอาภรณ์แดงสะอึกไป
รับใช้เจ้าคือหน้าที่ของพวกเรานะ แต่ถูกเจ้าเอ่ยเช่นนี้ จู่ๆ ก็ชักไม่กล้าขึ้นมาแล้ว
เซียวจี่เอ่ยนิ่งๆ “เจ้าออกไป เดี๋ยวคนของข้าจะเอาชุดมงคลให้เจ้าเอง”
สตรีอาภรณ์แดงขานรับ ก่อนหันหลังถอยออกไป
นางพึมพำเงียบๆ หลางจวินชาติกำเนิดต่ำต้อย เดิมทีนางไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่มาดของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งยิ่งนัก
หลังจากเอาชุดมงคลกลับไป นางก็หอบชุดมงคลไปที่ตำหนักในของเทพธิดา
เทพธิดาจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อตงอี๋ทุกวัน วันนี้ก็ไม่ละเว้น
สตรีอาภรณ์แดงไม่กล้ารบกวนนาง รอจนกระทั่งหนึ่งชั่วยามแล้วเทพธิดาจึงออกมาจากในห้องภาวนา
เทพธิดาผู้บริสุทธิ์และสูงส่งอยู่ในอาภรณ์ขาวตลอดร่าง เอวคอดบาง ใบหน้าสวมผ้าคลุมสีขาวผืนบาง เผยดวงตาเย่อหยิ่งเย็นชาออกมา
สตรีอาภรณ์แดงคำนับให้นาง “เทพธิดา”
เทพธิดาปรายตามองนางนิ่งๆ ถาม “หงหลวน เจ้ามารอข้าที่นี่มีธุระอะไรรึ”
หงหลวนเอ่ย “ทางหลางจวินลองชุดมงคลแล้วเจ้าค่ะ ขนาดพอดีตัวเลย”
“เช่นนั้นก็ดี” เทพธิดาอารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
อันที่จริงงานมงคลของเทพธิดาก็เป็นหน้าที่หนึ่งเช่นกัน นางต้องให้กำเนิดผู้สืบทอดที่เหมาะสมแก่ตำหนักเทพธิดา มันก็เท่านั้น
นางเห็นหงหลวนยังนิ่งอยู่ จึงอดถามไม่ได้ “ไยยังไม่ไปอีก”
“คือว่า…” หงหลวนครุ่นคิด สุดท้ายก็เอ่ยไปตามตรง “เทพธิดา ข้ารู้ว่าการแต่งงานนี้ไม่ใช่ความปรารถนาของท่าน หากท่านไม่แต่งงานให้ทัน อาจจะกลายเป็นสตรีของกษัตริย์ แต่การแต่งงานครานี้ท่านอาจจะเลือกถูกต้องแล้วก็ได้ หลางจวิน…ดีมากเลยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เทพธิดามาหยุดหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด มองชุดมงคลมงกุฎหงส์ที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างๆ
หงหลวนมาหยุดข้างกายนาง เอ่ย “เทพธิดา ท่านจะชอบหลางจวินแน่นอนเจ้าค่ะ”
“น้อยนักที่เจ้าจะชมบุรุษ” เทพธิดาเอ่ย
หงหลวนเอ่ยตามตรง “เพราะหลางจวินเขา…คู่ควรกับคำชมนี้เจ้าค่ะ”
เทพธิดาหันกลับมามองนางแวบหนึ่ง “ข้าอยากจะรู้นึกว่าเขาหน้าตาเช่นไร นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าชื่นชมเช่นนี้ ช่างเถิด พาเขามาพบข้า”
“เจ้าค่ะ!”
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อต่อมา หงหลวนก็มาปรากฏหน้าห้องของเซียวจี่
เซียวจี่ลงกลอนประตูไว้ นางเข้ามาไม่ได้ จึงรายงานขึ้นหน้าห้องแทน
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว กระซิบ “ดึกปานนี้แล้ว เหตุใดเทพธิดาต้องเรียกเจ้าไปพบด้วย นางพบพิรุธอะไรหรือไม่”
เซียวจี่พิจารณาอย่างละเอียด ไม่ได้คิดว่าตนเผยพิรุธตรงไหน หากจะบอกให้ได้ว่ามี นั่นก็คงเป็นอาการบาดเจ็บทั่วร่างของตน คงมีกลิ่นยาทาแผลและกลิ่นคาวเลือดอยู่ไม่มากก็น้อย
แต่ตำหนักเทพธิดาเต็มไปด้วยกลิ่นธูป กลิ่นหอมเข้มข้นกลบกลิ่นอายของเขามิดตั้งแต่แรกแล้ว
เซียวจี่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็นไร ข้าจะไปพบนางก่อน ถือโอกาสหายาถอนพิษของเซียวหมิงด้วย”
พิษที่เซียวหมิงโดนมาจากตำหนักเทพธิดา
“เจ้าระวังตัวด้วย” องค์หญิงซิ่นหยางกำชับ
เซียวจี่เห็นท่าทางเป็นห่วงสุดแสนของนาง ก็เกิดความคิดอยากจะหยอกนางขึ้นมาอย่างประหลาด “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของข้า หรือห่วงว่าข้าจะรั้งอยู่ค้างแรมในห้องสตรีอื่นกันแน่เล่า”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่เอ่ยคำใด
เซียวจี่เลิกคิ้ว เท้าโต๊ะลุกขึ้นมา “อ่า ก็จริง อย่างไรเจ้าก็ไม่ใส่ใจนี่นะ”
เขาเอ่ยจบ ก็แสร้งทำเป็นเดินไปนอกประตู เดินไปพลางส่ายหน้าทอดถอนใจไปด้วย
องค์หญิงซิ่นหยางรู้ทั้งรู้ว่าเขาแกล้งทำ ก็ยังทนไม่ไหวยื่นมือไปดึงแขนเสื้อเขาไว้อยู่ดี
เซียวจี่หันหน้ามาน้อยๆ สีหน้าฉงนมองนาง
แววตานางวูบไหว แต่ไม่ได้มองเขา กลับจ้องพื้นเบื้องหน้าที่เงาวับเหมือนใหม่แทน เอ่ยเสียงแผ่ว “ห้ามค้างคืนในห้องสตรีอื่น”
เซียวจี่ถาม “ห้ามแค่คืนนี้ หรือว่าต่อไปก็ห้ามด้วย”
องค์หญิงซิ่นหยางกระแอมในลำคอ เอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ต่อไป…ก็ห้ามด้วย”
เซียวจี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
คำขอร้องนี้เกินไปยิ่งนัก ตอนนั้นคนที่บอกว่าไม่สนใจเขาก็เป็นนาง ยามนี้คนที่สนใจเขาก็ยังเป็นนางอีก
ตบหน้าจนถึงขนาดนี้ แม้แต่นางเองก็อับอายสุดแสนแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางเดิมนึกว่าเขาจะอาศัยจังหวะนี้เอ่ยกับนางว่า ‘ขอเหตุผลให้ข้าสักข้อสิ’ หรือไม่ก็ ‘ฉินเฟิงหวั่นเจ้าถือดีอะไรมาคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำเช่นนี้’ ไหนเลยจะรู้ว่านางเดาผิดทั้งหมด
เขาหันกลับมา ยกมือที่มีข้อต่อชัดขึ้น เชยคางนางแผ่วเบา
จากนั้นก็โน้มตัวลง ปิดริมฝีปากนางไว้อย่างแรงท่ามกลางสายตาฉงนของนาง
จุมพิตที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้นางชะงักงันไป ขนตายาวของนางสั่นระริกอย่างไร้เดียงสา หัวใจเต้นแรงขึ้น ลมหายใจกระชั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความต้องการอันเผด็จการของเขา
เมื่อเขาปล่อย สมองนางก็วิงเวียน ใบหน้าแดงเห่อขึ้น
เขามองนางนิ่งๆ สีหน้าแจ่มชัดยิ่ง “ฉินเฟิงหวั่น ยึดครองข้าไว้คนเดียวมีราคาที่ต้องจ่ายนะ ข้าอาจจะทำในสิ่งที่เกินกว่านี้กับเจ้า ไม่ใช่คำพูดคำจาที่ออกจากปากเฉยๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางนิ่งอึ้งไป
เซียวจี่ไม่ได้รีบร้อนบีบให้นางมอบคำตอบให้ตน
ระหว่างพวกเขาความจริงแล้วก็ยังไม่มีความหฤหรรษ์ของมัจฉาแหวกธาราที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นจริงเป็นจัง สองคืนนั้นล้วนเป็นนางที่โดนยา นางทอดกายให้เขาภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น
ไม่ใช่ความยินยอมพร้อมใจจากนาง
นางเกลียดชังเขา ผลักไสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาสามารถอดทนไม่ทำเรื่องล่วงเกินนางได้
แต่นางดันเริ่มยอมรับเขา ใกล้ชิดเขาเสียนี่
เขาไม่ใช่นักบุญที่ไหน ที่จะสามารถควบคุมความอยากชิมนิดชิมหน่อยก็หยุดของตัวเองได้ทุกครา
หรือว่านางจะต้องกินยาทุกครั้ง
เซียวจี่ไปพบเทพธิดา
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งในห้องจมอยู่ในความคิด
[1] หลางจวิน คำที่ภรรยาใช้เรียกสามีของตน