สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 979 แอบเชยชม (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
บทที่ 979 แอบเชยชม (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
องค์หญิงซิ่งหยางตกใจจนเหงื่อออกไปทั่วร่าง
ความรู้สึกถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
หญิงชราก็อายุหกเจ็ดสิบแล้ว เส้นผมขาวหงอก ริ้วรอยเหี่ยวย่น การแต่งกายของนางดูแล้วเหมือนชาวตงอี๋ แถมเสื้อผ้ายังมีรอยปะชุน น่าจะเป็นชาวบ้านละแวกนี้
เซวียนผิงโหวยังจ้องตากับหญิงชราไม่ลดละ เอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยางด้วยสีหน้าราบเรียบ “พวกเราเข้ามาในเขตดินแดนของชาวตงอี๋แล้ว ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว”
องค์หญิงซิ่นหยางรับคำก่อนจะถามต่อ “เจ้าจะทำเช่นไร”
เซวียนผิงโหว “หาโอกาสค่อยลงมือ”
หากคนที่ปรากฏตัวขึ้นคือทหารนายหนึ่ง เซวียวผิงโหวคงฆ่าคนปิดปากอย่างเลือดเย็น แต่อีกฝ่ายดันเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเสียนี่
นักรบแคว้นเจาไม่ฆ่าราษฎรแคว้นศัตรู
เซวียนผิงโหวบังร่างขององค์หญิงซิ่นหยางไว้ข้างหลัง คว้ามือนางพลางเดินเข้าไปหาหญิงชรา
“แม่เฒ่า” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “พวกข้าคือทหารที่ผ่านทางมา กำลังจะตามรอยพวกคนแคว้นเจา ท่านเคยเห็นพวกเขาหรือไม่”
ภาษาของเผ่าตงอี๋และแคว้นเจานั้นคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่สำเนียงแตกต่างกันเล็กน้อย เขาเอ่ยสำเนียงตงอี๋อย่างคล่องแคล่ว จนองค์หญิงซิ่นหยางที่อยู่ข้างหลังได้ยินแล้วยังตกใจ
องค์หญิงซิ่นหยางรู้ภาษาแคว้นเยี่ยนและแคว้นเหลียงนิดหน่อย แต่นั่นเป็นภาษาเขียน หากให้นางแปลตัวอักษรนั้นย่อมได้ แต่หากให้พูดคุยจริงๆ นั้น สำเนียงของนางไม่ค่อยชัดเจนนัก
เซียวเหิงมีพรสวรรค์ด้านภาษามาตั้งแต่เด็ก องค์หญิงซิ่นหยางคิดว่าเป็นเพราะได้ความเก่งกาจของตัวเอง แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว น่าจะได้รับถ่ายทอดมากจากเซียวจี่เสียมากกว่า
หญิงชรายังคงจ้องมองตาเขม็งไม่เปลี่ยนแปลง นางใช้น้ำเสียงแหบพร่ามีอายุนั้นตอบกลับช้าๆ “อ๋อ ไม่เห็นเลย”
“แม่เฒ่า ท่านอาศัยอยู่แถวนี้หรือ ในบ้านมีใครอีกบ้าง” เซวียนผิงโหวถามต่อ
“ไม่มีใคร มีข้าคนเดียว” หญิงชราพูดจาเนิบช้าเสียจนรู้สึกว่านางนั้นเหนื่อยอ่อน ตอบโต้ช้าเสียเหลือเกิน
แต่พอนึกถึงอายุอานามของนางแล้วก็มิใช่เรื่องแปลก
องค์หญิงซิ่นหยางแอบเอียงศีรษะเพียงแอบสำรวจนางจากด้านหลังของเซวียนผิงโหว
เซวียนผิงโหวเหลียวขวับกลับมา ก็เห็นเส้นผมสีดำสลวย มุมปากของเขาจึงยิ้มขึ้นอย่างนึกขำ
“แม่เฒ่า” เขาถามหญิงชราอีกครั้ง “นี่ก็ค่ำมืดแล้ว พวกข้าขอค้างที่บ้านท่านสักคืนได้หรือไม่”
“ได้” หญิงชราตอบกลับอย่างเชื่องช้า สาวไม้เท่าหันหลังเดินไป
องค์หญิงซิ่นหยางมองแผ่นหลังค่อมโก่งของหญิงชราค่อยๆ ไกลออกไป ก่อนจะเอ่ยถามเขา “พวกเราจะไปค้างที่บ้านของนางจริงๆ หรือ”
เซวียนผิงโหวมองไปรอบกาย “ที่นี่ไม่มีที่อื่นให้อาศัยได้แล้ว ไปบ้านนาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องแข็งตาย แล้วก็ถือโอกาสสืบข่าวทหารตงอี๋สักหน่อย”
องค์หญิงซิ่นหยางก็นึกถึงเหตุผลนี้
ใครจะไปคาดคิดกันว่าพวกเขาจะจับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในดินแดนของชาวตงอี๋ได้ พวกเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่นัก แถมเซียวจี่ยังบาดเจ็บสาหัสอีก หากเทียบกับต้องล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บ สู้หาที่พักฟื้นย่อมดีกว่า
เมื่อคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง นางเอ่ยขึ้น “เจ้าว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางเห็นหรือไม่”
เซวียนผิงโหวครุ่นคิดพลางเอ่ย “ไม่แน่ใจ”
องค์หญิงซิ่นหยางทอดถอนใจ “ช่างเถิด เห็นแล้วอย่างไรเล่า จะให้ลงไม้ลงมือกับคนแก่ไม่มีทางสู้หรือ พวกเราตามไปเถิด จับตาคอยดูนางไว้ อย่าให้นางแพร่งพรายเป็นพอ”
ทั้งสองคนตามหญิงชราเข้าไปในกระท่อมฟางเก่าโทรม
หญิงชราพักอยู่ค่อนข้างไกล เดินมาทางตะวันออกกว่าร้อยก้าวแล้วเพิ่งจะมีบ้านเรือนประปราย
เซวียนผิงโหวเห็นองค์หญิงซิ่นหยางสีหน้าประหลาดใจ จึงกระซิบอธิบาย “ที่นี่คือตงอี๋ แม่เฒ่าตัวคนเดียวไม่มีลูกไม่มีสามีจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน พวกนางถูกหาว่าเป็นร่างแปลงของสิ่งอัปมงคล”
องค์หญิงซิ่นหยางเข้าใจในทันใด “เช่นนี้นี่เอง ดูท่าแล้วนางคงไม่ได้หลอกพวกเรา บ้านของนางมีนางเพียงแค่คนเดียว”
หญิงชราอายุมากแล้ว เดินเหินไม่สะดวกนัก อาหารการกินก็ใช่ว่าจะมีกินทุกวัน ภายในเรือนไม่ได้สะอาดสะอ้านนัก
นางชี้ไปที่ห้องเล็กที่ฝุ่นเขรอะเต็มไปหมด พลางเอ่ยกับทั้งสองคน “คนนี้พวกเจ้านอนที่นี่ ของกิน อยู่ในครัว”
ว่าจบนางก็กลับไปยังห้องของตัวเอง ไม่สนใจคนแปลกหน้าทั้งสองอีกต่อไป
เซียวจี่บาดเจ็บสาหัส หลังจากเข้ามาในห้องเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้าซีดเผือดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ฝุ่นจับ
เพิ่งออกมากจากถ้ำหินก็เจอเรื่องราวมากมาย จวบจนตอนนี้นางเพิ่งได้มีโอกาสสำรวจมองเขาอย่างละเอียด
หากไม่เห็นคงไม่รู้ แต่พอเห็นแล้วก็พบว่าอาการของเขาร้ายแรงนัก
มิน่าเล่าเขาถึงไม่ยอมให้นางจุดตะบันไฟในถ้ำ หากนางรู้ก่อนหน้าว่าสีหน้าย่ำแย่ถึงเพียงนี้ นางจะให้เขาพักเอาแรงอยู่กับที่ก่อน แล้วตนเองจะไปสำรวจเส้นทางเอง
แต่พอมาคิดแล้ว หากตัวเองเป็นคนออกไปจริง คงถูกชาวตงอี๋จับได้ตั้งแต่หน้าปากถ้ำ
เหตุใดเขาถึงได้… คิดแทนนางได้อย่างรอบคอบเช่นนี้
องค์หญิงซิ่นหยางประทับใจจนเผยออกมาทางใบหน้า ลืมไปแล้วฝีปากของเขาทำเอานางโมโหปานใดยามอยู่ในถ้ำหินนั้น นางยกมือขึ้นลูบหน้าผากของเขา “ร้อนมาก!”
เซียวจี่ดึงมือนางออกแล้วกำไว้กลางฝ่ามือแน่น ไม่เอ่ยคำใด
ภายในห้องกลับสู่ความเงียบ
องค์หญิงซิ่นหยางสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือของเขา เขากำมือนางไม่ยอมคลาย นิ้วแม่มือคลึงหลังฝ่ามือของนางโดยไม่รู้ตัว
ประหนึ่งคำปลอบโยนอันไร้เสียง
…
องค์หญิงซิ่นหยางเก็บกวาดห้อง หอบผ้ารองและฟูกออกมาจากตู้ เจ้าสองสิ่งนี้ดูท่าแล้วสะอาดดี เพียงแต่ชื้นเล็กน้อยก็เท่านั้น
องค์หญิงซิ่นหยางไปของยืมกระถางไฟมาจากหญิงชรา นางนั่งย่อตัวลงใช้ตะบันไฟของตัวเองจุดไฟ
แต่ว่าจุดอยู่นานสองนานก็ไม่ติดเสียที แถมยังทำเอาหน้าตัวเองลายพร้อยเป็นแมวพราง
เซียวจี่หน้าซีดเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองนางอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าเพิ่งเคยทำครั้งแรกใช่หรือไม่”
“แล้วอย่างไรเล่า” องค์หญิงซิ่นหยางพึมพำ “ข้าเห็นเจียวเจียวจุดครู่เดียวไฟก็ติดแล้ว แล้วข้าต้องทำอย่างไร”
เซียวจี่หัวเราะ ทว่าเจ็บปวดเหลือเกิน แผลจะปริเอาเพราะแรงสะเทือน
เขาสงบสติอารมณ์ แม้ปากจะไม่หัวเราะ แต่ในรอยยิ้มแววตาแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้ว
เขาเอ่ย “ข้าเอง”
“เจ้านั่งลงเดี๋ยวนี้” องค์หญิงซิ่นหยางสั่งเสียงเย็น
เซียวจี่ฟังคำภรรยานั่งลงที่เดิมแต่โดยดี
องค์หญิงซิ่นหยางจุดไฟต่อ สุดท้ายก็จุดไฟติดเสียที่แต่แลกมาด้วยผมหน้าม้าบางของตัวเองที่ถูกไหม้
นางผึ่งฟูกที่อับชื้น
จากนั้นก็ทำฟูกไหม้
เดิมทีหญิงชราไม่อยากรบกวนทั้งสอง แต่นางน่าจะกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม่นางผู้นี้คงเผาบ้านนางจนไม่เหลือแล้ว
นางเข้ามาช่วยทั้งสองผึ่งฟูกด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทั้งยังหอบฟูกใหม่มาให้ เมื่อผึ่งเสร็จแล้วถึงจะกล้าส่งต่อให้องค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางปูเตียง ช่วยเซียวจี่ถอดชุดเกราะออก จากนั้นจึงพยุงเขาให้นอนลงบนฟูกเนื้ออุ่น
“ข้าไปหยิบของกินมาให้” นางห่มผ้าให้เซียวจี่ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปยังห้องครัว
หญิงชราชีวิตลำบากยากเข็ญ ในห้องครัวนอกจากผักดองกับแผ่นแป้งแล้วก็ไม่มีอาหารอื่น
ส่วนแผ่นแป้งนั่นก็แข็งโป๊ก แทบกัดไม่เข้า
องค์หญิงซิ่นหยางมองน้ำในโอ่งน้ำ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง
หญิงชราถักเชือกป่านอยู่ในบ้านของตัวเอง นางอายุมากแล้ว ปลูกพืชผักไม่ไหว ล่าสัตว์ไม่ได้ จึงทำได้เพียงอาศัยงานฝีมือเลี้ยงชีวิต
นางคิดว่าสองคนนั้นคงกินข้าวแล้ว คนหนึ่งรูปร่างผอมบาง ดูท่าเลือกกินไม่น้อย คงไม่กินอาหารเย็นชืดพวกนั้นหรอกกระมัง
นางมาช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว แล้วก็เป็นไปตามคาด ขณะที่นางกำลังจะอุ่นอาหารให้พวกเขาทั้งสอง ห้องครัวก็ควันโขมงเสียแล้ว
เปาบุ้นจิ้นน้อยหน้าดำ องค์หญิงซิ่นหยางยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างกระอักกระอ่วน
หญิงชรามองนางอย่างหมดคำจะพูด
องค์หญิงซิ่นหยางแสร้งทำเป็นเสียงสงบนิ่ง “ข้าเคยทำกับข้าวที่บ้านนะ ครัวท่านต่างหากที่ใช้การไม่ได้”
หญิงชรา “…”
องค์หญิงซิ่นหยางถอดกำไลทองยื่นให้หญิงชราเป็นค่าชดเชย
หญิงชราเข้าไปในห้องเก็บของแล้วหยิบไส้กรอกเนื้อออกมาตุ๋นไส้แผ่นแป้งให้พวกเขา
องค์หญิงซิ่นหยางมองน้ำแกงเนื้อตรงหน้า เอ่ยบ่นหญิงชรา “ท่านซ่อนของอร่อยไว้สินะ”
หญิงชราเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เซียวจี่หัวเราะจนแทบหยุดไม่ได้ ปากแผลถึงกับกระตุกร้าวด้วยความเจ็บปวด
ปีนี้แถบตะวันออกอากาศแปลกประหลาดนัก จะสิ้นเดือนหนึ่งอยู่แล้วยังหิมะตกหนัก
หิมะขาวโปรยปรายดุจขนห่าน ต่างจากวิวทิวทัศน์ยามหิมะตกของเมืองหลวงนัก หิมะในหุบเขาเช่นนี้ชวนให้รู้สึกสงบเหลือเกิน
องค์หญิงซิ่นหยางช่วงหญิงชราเก็บเสื้อผ้าและเชือกฟากที่ตากอยู่ด้านนอก
“แม่เฒ่า คนในบ้านท่านไปไหนกันหมดหรือ” นางถาม
นางเพียงแค่ถามไปอย่างนั้น เดิมนึกว่าหญิงชราคงไม่ตอบ ใครจะรู้ว่าหลังจากอีกฝ่ายเงียบไป น้ำเสียงสูงวัยอันแหบพร่านั้นก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ตายแล้ว ถูกจับไปออกบรบ ตายหมดแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยามองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของหญิงชรา ไม่เคยอะไรต่อ
“นางเห็นแล้ว”
กลางดึก ทั้งสองคนนอนอยู่บนฟูก องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับเซียวจี่
“หืม” เซียวจี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงได้เอ่ยเรื่องนี้
องค์หญิงซิ่นหยางทอดมองเพดานอันมืดมิดภายในห้อง ก่อนจะเอ่ยเสียงเลื่อนลอย “นางเห็นพวกเราฆ่าทหารตงอี๋ นางไม่บอกพวกเรา เพราะนางเองก็เกลียดทหารตงอี๋ คนในครอบครัวนองถูกจับไปเกณฑ์ทหาร ตายในสงครามทั้งหมด”
ความโหดร้ายของสงครามที่มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะแบกรับได้
เซียวจี่เองก็ไม่ชอบออกรบ แต่นั่นเป็นหน้าที่ของเขา หากเขาไม่ออกรบ คนที่เสื่อมเสียคือชนรุ่นหลังของตระกูลเขา
ทหารตงอี๋เองก็เช่นกัน
ทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง
แต่การจับเกณฑ์ไปเป็นทหารเช่นนี้ เขานั้นคัดค้านมาโดยตลอด กษัตริย์ตงอี๋สมควรตาย อำนาจกษัตริย์ของตงอี๋ต้องล่มสลาย
เขากุมมือนาง ท่ามกลางความมืดนี้เขาปลอบโยนและมอบกำลังใจในแก่นางแม้มิได้เอ่ยคำใด
อารมณ์ขององค์หญิงซิ่นหยางค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง
“เซียวจี่ เจ้าหลับหรือยัง”
นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
คำตอบที่นางได้รับคือลมหายใจสม่ำเสมอ
นั่นสินะ บาดเจ็บสาหัสเสียขนาดนั้น แถมยังตัวร้อนอีก คงง่วงตั้งนานแล้ว
ทว่าองค์หญิงซิ่นหยางกลับนอนไม่หลับ นางใช้ท่อนแขนพยุงตัวขึ้น อาศัยแสงสะท้อนของหิมะที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา จ้องมองใบหน้าของเขายามหลับใหล
ยี่สิบปีราวกับหนึ่งวัน ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“เซียวจี่”
นางเรียกเขาอีกครั้ง
เซียวจี่หลับลึกมาก
นางจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ความคิดบ้าบิ่นแวบขึ้นมาในหัว
ใบหน้าของนางแดงก่ำ ก่อนจะมุดหน้าลง
นี่นางผีเข้าหรืออย่างไร
เหตุใดนางถึงเป็นแบบนี้
แต่ว่า…
นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ปรายตาของเขาอย่างเขินอาย หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้านคลั่ง
ถึงอย่างไร… เขาก็หลับอยู่ ไม่รู้หรอก
องค์หญิงซิ่นหยางผู้แสนสง่าและเชี่ยวชาญตำราวิชาก็รวบรวมความกล้าในที่สุด ดวงหน้าแดงก่ำขยับเข้าไปใกล้เขา ดางตาเป็นประกายนั้นหยุดอยู่บนริมฝีปากบางของเขา
นางสูดหายใจลึก ทำเรื่องที่กล้าหาญที่สุดในชีวิต นางพลิกตัวขึ้น ริมฝีปากจรดแผ่วเบาบนแก้มของเขา
ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น “ฉินเฟิงหวั่น เจ้ารวบรวมความกล้าตั้งนาน เพื่อสิ่งนี้หรอกรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางสะดุ้งตัวโยน