สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 969 ขึ้นเกาะ
บทที่ 969 ขึ้นเกาะ
……….
แผ่นน้ำแข็งช่วงปลายเดือนสิงหาคมเพิ่งผ่านช่วงที่ร้อนที่สุดของปีไปแล้ว ชั้นน้ำแข็งในบางจุดไม่หนามากนัก ดังนั้น เจ้าหมาป่าจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
แม้เจ้าจ่าฝูงจะอายุน้อยกว่าเพื่อน แต่มันมีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากหมาป่าทั่วไป มันตอบสนองได้ไวมาก
เมื่อใดก็ตามที่น้ำแข็งใต้เท้าของมันเริ่มบางลง มันจะสามารถตรวจจับและตอบสนองได้ทันเวลา ไม่ว่าจะเปลี่ยนเส้นทางหรือวิ่งช้าลงก็ตาม
เหลี่ยวเฉินและเซียวเหิงรับหน้าที่เป็นสารถีรถเลื่อน อีกทั้งคอยให้สัญญาณเพื่อควบคุมทิศทางการเลี้ยวของรถ
ทั้งกู้เจียวและนักบวชต่างก็ลองขับรถเลื่อนนี้แล้ว
กู้เจียวขับรถเร็วเกินจนรถเลื่อนแทบจะเหินขึ้นฟ้า จึงถูกปัดตก อดรับหน้าที่สารถี
ขณะที่นักบวชชิงเฟิงเป็นคนไม่สันทัดเรื่องทิศทาง ระหว่างที่พวกเขาพักสายตากันครู่หนึ่ง รู้ตัวอีกทีนักบวชชิงเฟิงดันพาพวกเขากลับมายังจุดเริ่มต้นไปเสียได้
ส่วนเฟิงอู๋ซิวเป็นคนเมารถง่าย อาเจียนอยู่ตลอดเวลา จะให้ไปขับคงไม่รอด
ช่วงปลายเดือนสิงหา พายุหิมะลูกแรกของปีก็มาเยือน พวกเขาไม่สามารถหาที่หลบหิมะได้ และต้องเคลื่อนตัวไปข้างหน้าท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก
แม้พายุไม่แรง แต่พวกเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความยากลำบากในการเดินทาง
เซียวเหิงและกู้เจียวอดคิดถึงเซวียนผิงโหวไม่ได้เลย
ขนาดพวกเขาได้ฝูงหมาป่ามาช่วยยังรู้สึกว่าลำบากมาก ไม่รู้ว่าเซวียนผิงโหวลำพังรอดมาได้อย่างไรในสภาพอากาศที่โหดร้ายแบบนั้น
เมื่อใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ พายุหิมะสงบลงแล้ว พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความหนาวที่ทวีคูณกว่าเดิม ฝูงหมาป่าเองก็หมดแรงกันแล้ว ไม่มีตัวไหนคิดจะขยับแม้แต่ก้าวเดียว
“ไหวไหม” เซียวเหิงถามกู้เจียวที่อยู่ในอ้อมอก
“อื้อ ยังไหว” กู้เจียวพบว่าริมฝีปากของตัวเองเริ่มอ้าไม่ไหวแล้ว
ส่วนเฟิงอู๋ซิวนั้นมีพี่ชายคอยปกป้อง แม้จะหนาวมาก แต่ยังดีที่ไม่แข็งตายกัน
ตอนนี้เหลี่ยวเฉินคือคนที่รับหน้าที่คนขับ
เขายืนอยู่ที่ด้านหลังของรถเลื่อน สวมชุดคลุมหนังที่ทั้งหนาและอุ่น รวมถึงสวมหมวกหนังที่ช่วยปิดใบหู ขนตายาวของเขาปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำค้างแข็ง
“นี่” ริมฝีปากของเขาถูกแช่แข็งเป็นที่เรียบร้อย “พื่อ (พ่อ) คือ (คน) กื่อ (เก่ง) มือ (มา) ชื่อ (ช่วย) ทือ (ที)”
เขาสวมถุงมือ แต่ถุงมือกลับแข็งจนสุดถึงบังเหียน นิ้วของเขาไร้ความรู้สึกไปแล้ว
แม้นักบวชชิงเฟิงอยากฆ่าอีกฝ่ายใจจะขาด แต่เขาหาได้ต้องการฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายลำบากไม่
เขาขยับร่างกายที่เกือบจะแข็งทื่อ แล้วเดินไปช่วยเคาะน้ำแข็งที่อยู่บนถุงมือออก อีกทั้งใช้กำลังภายในช่วยส่งพลังงานความอบอุ่น
เป็นวิธีเดียวกันกับที่เขาใช้ให้อู๋เฟิงซิว
ขณะเดียวกัน กู้เจียวและเซียวเหิงก็ช่วยกันหยิบฟืนและสร้างกองไฟในหิมะ
“ไฟมาแล้ว ไฟมาแล้ว!” เฟิงอู๋ซิวรีบยื่นมือเข้าไปอังไฟ
เซียวเหิงนำอาหารแห้งออกมา กู้เจียวเอาอาหารแห้งมาเสียบไม้ แล้ววางบนเตา จากนั้นเซียวเหิงหยิบถังปลาที่ตกได้นำไปป้อนให้เหล่าหมาป่า
กู้เจียวเอามือเท้าคาง แล้วเอ่ยกับเขา “ตอนอยู่บ้านไม่เห็นจะเลี้ยงหมาเลี้ยงไก่แบบนี้เลย”
“ฮัดชิ่ว!” เสียงจามมาจากเฟิงอู๋ซิว
กู้เจียวจึงยื่นมืออังที่หน้าผากของเขา
“ข้าไม่เป็นไร คันจมูกนิดหน่อยเท่านั้น หรือว่าจะตรงนี้…” เฟิงอู๋ซิวทำท่าดม หันซ้าย หันขวา แล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียว
“อะไรของเจ้าน่ะ” กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาประหลาด
เฟิงอู๋ซิวถามนาง “เจ้าซ่อนของกินไว้ใช่ไหม”
“ข้าเปล่านะ” กู้เจียวปฏิเสธ
“พริก” จากนั้นอู๋เฟิงซิวก็จามออกมาอีกครั้ง “ข้ามักจะจาม เวลาได้ ได้กลิ่น… ฮัดเช้ย!… พริก…ฮัดเช้ย!”
กู้เจียวก้มลงมองกระเป๋าตัวเอง แล้วก็เห็นว่ามีเนื้ออบแห้งโผล่เล็ดลอดออกมาจากกระเป๋า
จากนั้นก็รีบเก็บกลับเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แค่นี้จะไปพอยาไส้อะไร” เหลี่ยวเฉินมองไปที่หมั่นโถวแห้งๆ บนกองไฟ ก่อนจะไปที่แผ่นน้ำแข็งใกล้ๆ เจาะรูน้ำแข็ง จับปลาตัวอ้วนๆ ได้สองสามตัว หลังจากฆ่าแล้วจึงนำกลับมาที่กองไฟ
เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามนักบวชชิงเฟิง ก่อนจะยื่นปลาให้แล้วถาม “ย่างปลาเป็นไหม”
“ไม่เป็น” นักบวชชิงเฟิงตอบเสียงค่อย
“พี่ชายเจ้าย่างปลาไม่เป็นหรือนี่” เหลี่ยวเฉินหันไปถามอู๋เฟิงซิว
เฟิงอู๋ซิวพยักหน้า “พี่ชายข้าทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง! ทำกับข้าวไม่เป็น เย็บผ้าก็ไม่เป็น!”
เหลี่ยวเฉินหรี่ตามองอีกทาง “เจ้าทำอาหารไม่เป็นรึ แล้วตอนอยู่ในป่าเอาตัวรอดยังไง”
“ก็กินผลไม้ป่าเอา” นักบวชชิงเฟิงตอบ
มุมปากเหลี่ยวเฉินกระตุกเบาๆ
ฝีมือการทำอาหารของเหลี่ยวเฉินเรียกได้ว่าสูสีกับกู้เจียว ปลาที่ย่างออกมาทั้งสดและนุ่ม เมื่อโรยเกลือและเครื่องเทศลงไปนิดหน่อยก็ได้ที่
เฟิงอู๋ซิวกินอย่างเอร็ดอร่อย “พี่เหลี่ยวเฉิน ปลาย่างของพี่อร่อยมาก! อร่อยกว่าของที่หอเทียนเซียงอีก! ถ้ากลับไปที่เซิ่งตูแล้ว…ข้าจะได้กินปลาย่างของพี่อีกไหม”
เหลี่ยวเฉินหัวเราะชอบใจ “ถ้าพี่ชายเจ้าล้มเลิกความพยายามที่จะฆ่าข้าแล้ว ไว้ข้าจะทำให้เจ้ากินอีกนะ”
เฟิงอู๋ซิวทำหน้างุนงง “แล้วไยพี่ชายข้าถึงอยากฆ่าเจ้าล่ะ”
มุมปากเหลี่ยวเฉินกระตุกขึ้นอีกครั้ง “ก็เพราะ…”
แล้วนักบวชชิงเฟิงก็รีบยัดปลาเข้าปากให้เหลี่ยวเฉินทันที
เหลี่ยวเฉินงับเนื้อปลาหนึ่งคำ ก่อนจะวางลงแล้วเอ่ย “เพราะข้าเก่งกว่าพี่ชายเจ้า พี่เจ้าเลยอิจฉาข้าไงล่ะ”
“อ้อ” เฟิงอู๋ซิวสนใจแต่ปลาตรงหน้า เลยไม่ว่างช่วยพี่ชายแก้ต่างให้
เซียวเหิงฉีกส่วนที่นุ่มที่สุดของท้องปลาแล้วยื่นให้กู้เจียว
เหลี่ยวเฉินยิ้มเล็กน้อย หยิบปลาย่างอีกตัวจากตะแกรง ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วยื่นให้กับนักบวชชิงเฟิง “กินได้น่า ไม่ผิดศีลหรอก”
“พระอย่างเจ้าทำผิดศีลได้ด้วยหรือ” นักบวชชิงเฟิงเอ่ยถาม
“ท่านพี่ เขาบอกว่ากินได้ก็กินได้สิ!”
นักบวชชิงเฟิงถลึงตาใส่เจ้าน้องชาย พลางคิด นี่เจ้าเป็นน้องใครกันแน่
…
วันถัดมา พวกเขาเดินทางกันต่อ ใช้เวลาสามวัน จนในที่สุดก็ได้มาถึงเกาะอั้นเย่
ในช่วงไม่กี่วันนี้ มีหิมะตกเล็กน้อยถึงปานกลางหลายครั้ง อุณหภูมิโดยรวมลดลงมากเมื่อเทียบกับตอนที่เริ่มออกเดินทาง ทำให้ชั้นน้ำแข็งหนาขึ้น และง่ายต่อการเดินทางกลับ
ฝูงหมาป่าลากเลื่อนมาถึงท่าเรือของเกาะอั้นเย่
เวลาล่วงเลยมาจนดึก ท่าเรือจึงปิดแล้ว รั้วเหล็กที่สูงตระหง่านราวกับประตูเมืองกั้นขวางเส้นทางของพวกเขาไว้
ทหารยามที่ลาดตระเวนพบพวกเขา คนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวนก็รีบถามอย่างระมัดระวัง “ผู้ใดกัน”
เซียวเหิงยื่นตราอาญาสิทธิ์ออกมา “ข้ามีนามเซียวเหิง แห่งจวนเซวียนผิงโหว”
“ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” เซียวเหิงตอบ
หัวหน้าทหารขมวดคิ้วอย่างระมัดระวัง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นตัวปลอม โปรดรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปรายงานก่อน”
ทันที่เอ่ยจบ จู่ๆ ร่างใหญ่ปริศนาปรากฏลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะคว้าร่างของเซียวเหิงและกู้เจียวขึ้นเกาะไปอย่างรวดเร็ว
เฉียดศีรษะของเหล่าทหารลาดตระเวนไปแค่นิดเดียวเท่านั้น
ทหารองครักษ์ทุกนาย “…”
……….