สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 953 คืนส่งตัวเข้าห้องหอ (1)
บทที่ 953 คืนส่งตัวเข้าห้องหอ (1)
……….
ในขบวนขันหมากอันยิ่งใหญ่ของกู้ฉังชิง นอกจากทหารตระกูลกู้ที่น่าเกรงขามแล้ว ยังมีน้องชายแท้ๆ สามคน กู้เฉิงเฟิง กู้เฉิงหลินและกู้เหยี่ยนที่เสมือนน้องชายแท้ๆ ร่วมขบวนด้วย
คนทั้งสี่สวมชุดสีน้ำเงินลายเดียวกัน ยืนตัวตรงสง่า หน้าตาหล่อเหลา ราวกับเป็นกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวที่หล่อเหลาที่สุดในยุคโบราณ
และสาเหตุที่เซียวเหิงไม่ได้เป็นพื่อนเจ้าบ่าวอันทรงเกียรติ ก็เพราะว่าเสี่ยวจิ้งคงคนเดียวคงเรียกว่ากลุ่มไม่ได้ นั่นคือโดดเดี่ยวลำพัง
ครั้งล่าสุดที่เมืองหลวงมีงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่เพียงนี้ ก็คือยามที่ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาแต่งงานกับธิดาของอันกั๋วกง ขบวนขันหมากยิ่งใหญ่ราวกับขบวนสวนสนาม งานแต่งของนายน้อยแห่งตระกูลกู้ย่อมไม่ด้อยกว่าอย่างแน่นอน
กลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวหน้าตาหล่อเหลาจนดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก ทว่าชายที่ทุกคนรอคอยและอยากกรีดร้องที่สุดก็คือเจ้าบ่าวนี่เอง
กู้ฉังชิงตั้งแต่จำความได้ มิใช่ฝึกทหารในค่ายทหารก็ออกรบในสมรภูมิรบ ชุดเกราะสีเงินคือชุดที่เขาสวมใส่บ่อยที่สุด เย็นชาเฉกเช่นฉายา “พญายม” ของเขา
ทว่าวันนี้ เขาเปลี่ยนใส่ชุดแต่งงานที่สวมใส่เพียงครั้งเดียวในชีวิต ดูหล่อเหลาล่มเมืองขึ้นมาทันที หล่อเหลาเกลี้ยงเหลาเหลือบรรยาย
หลังจากงานแต่งของใต้เท้าราชเลขา หัวใจของเหล่าสาวๆ ก็กลับมาแตกสลายอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ กลายเป็นของคนอื่นไปเสียแล้ว
ณ ตระกูลหยวน
ภายในห้องนอนของหยวนเป่าหลิน หยวนฮูหยินร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม
บุตรสาวของนางสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เด็ก จึงจำเป็นต้องนำไปเลี้ยงไว้ที่สำนักเต๋า อุตส่าห์ถอดชุดนักพรตออก และสวมชุดแต่งงานของหญิงสาว
หยวนเป่าหลินสวมชุดแต่งงานมงกุฎหงส์ บดบังความเย็นชาของนักพรตหญิง ริมฝีปากแดงระเรื่อ งดงามชวนหลงใหล
หยวนเป่าหลินปลอบโยนแม่ของตน “ท่านแม่ อย่าร้องเลย ข้าเพียงออกเรือน มิใช่ว่าจะไม่กลับมาแล้วสักหน่อย”
หยวนฮูหยินตีมือลูกสาว แล้วจ้องลูกสาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า “แน่นอนว่าลูกไม่อาจกลับมาไม่ได้บ่อยๆ หรอก! เมื่อลูกออกเรือนแล้ว ก็จะกลายเป็นสะใภ้ใหม่ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของบ้านสามี!”
หยวนเป่าหลินเบ้ปาก มิใช่สามีภรรยาจริงๆ สักหน่อย ทุกอย่างเขียนไว้ในข้อตกลงกับกู้ฉังชิงอย่างชัดเจน นางจะกลับมาบ้านได้ทุกเมื่อ กู้ฉังชิงห้ามขัดนางเด็ดขาด
ส่วนเรื่องกฎระเบียบ กู้ฉังชิงไม่เข้มงวดกับนาง นางย่อมไม่ทำให้เขาเสียหน้าแน่นอน และจะปฏิบัติตามอย่างเต็มที่
หยวนเป่าหลินถอนหายใจอย่างจนใจ “รู้แล้ว รู้แล้ว ท่านบ่นมาแปดร้อยรอบแล้ว ลูกจำขึ้นใจแล้ว”
หยวนฮูหยินใช้ผ้าเช็ดน้ำตา “ก็เพราะเจ้าโตในสำนักเต๋าตั้งแต่เด็ก ข้าเลยกังวลว่าลูกจะไม่เข้าใจกฎระเบียบของครอบครัวทั่วไปน่ะ”
หยวนเป่าหลินเอ่ย “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจแล้ว”
บทบรรยายเขียนไว้ นางเรียนรู้มาแล้ว!
“พี่…” หยวนถงเดินเข้ามาหานางด้วยน้ำตา กอดพี่สาวของนางไว้ “ข้าไม่อยากให้พี่ไป…”
“พอแล้ว พอแล้ว” หยวนเป่าหลินปลอบทั้งแม่และน้องสาว
ส่วนภรรยาที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความตกตะลึง เคยเห็นแต่เจ้าสาวกับแม่กอดกันร้องไห้ ยังไม่เคยเจอเจ้าสาวที่นิ่งจนปลอบโยนคนทั้งครอบครัว
เมื่อถึงฤกษ์ พี่ชายของหยวนเป่าหลินก็แบกนางออกจากห้องนอน
หยวนถงวิ่งตามไปตลอดทางด้วยน้ำตา “ท่านพี่… ท่านพี่…”
กู้ฉังชิงรับเจ้าสาว โค้งคำนับลาพ่อยายและแม่ยาย “ท่านพ่อ ท่านแม่ โปรดวางใจได้ ข้าจะดูแลเป่าหลินเป็นอย่างดี”
หยวนฮูหยินร้องไห้สะอื้น
ท่านพ่อหยวนน้ำตาคลอเบ้า ตบไหล่กู้ฉังชิงอย่างแรง “จำคำพูดของเจ้าไว้ ไปเถิด เป่าหลินมอบให้เจ้าแล้ว”
กู้ฉังชิงจากไป ท่านพ่อหยวนก็กลั้นไว้ไม่อยู่ หันหลัง ยกมือใหญ่ปิดหน้า ร้องไห้เสียงดัง “ฮือ…เป่าหลินออกเรือนแล้ว…”
หยวนฮูหยินที่กำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้า ร่างกายสั่นระริก มองสามีของตนราวกับเห็นผี
…ทันใดนั้น นางก็พบกับคนที่ร้องไห้มากกว่านาง นางตกตะลึงจนร้องไห้ไม่ออก
ขบวนขันหมากมาถึงจวนติ้งอันโหวอย่างคึกคัก
กู้ฉังชิงพลิกตัวลงจากม้า เดินไปหน้าเกี้ยวเจ้าสาว ยื่นนิ้วมือเรียวออกไป
หยวนเป่าหลินเดิมตั้งใจจะลงจากเกี้ยวด้วยตัวเอง แต่ทันใดนั้น นางเหลือบเห็นมือที่ยื่นออกมาจากใต้ผ้าคลุมศีรษะ
นางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
นางเข้าใจดีว่าต้องเล่นให้สมบทบาท การจับมือกันนิดหน่อยคงไม่เป็นไร
นางวางมืออันอ่อนนุ่มไร้กระดูกไว้บนฝ่ามือของกู้ฉังชิงเบาๆ
กู้ฉังชิงขาดประสบการณ์ใกล้ชิดกับหญิงสาว หญิงที่เขาสนิทที่สุดหลังจากโตเป็นหนุ่มแล้วคือน้องสาว มือของน้องสาวมีหูดและรอยแผลจากการทำงานและทำสงคราม แต่มือของหยวนเป่าหลินกลับแตกต่าง
นี่คือมืออันบอบบาง
เขากังวลมากว่าจะเผลอทำมือนางหัก
เขาจูงเจ้าสาวลงจากเกี้ยว
เถ้าแก่ถึงหยิบผ้าแพรสีแดงมาอย่างช้าๆ เมื่อครู่เกิดเรื่องผิดพลาดเล็กน้อย โชคดีที่เจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวแล้ว มิเช่นนั้นคงเขินอายเป็นแน่
นางยิ้มและส่งผ้าแพรสีแดงให้คู่บ่าวสาว
ทั้งสองจับผ้าแพรสีแดงเดินเข้าจวน
เจ้าสาวต้องข้ามอานม้าและเหยียบกระเบื้อง
ขณะข้ามอานม้าราบรื่นอย่างมาก แต่พอเหยียบกระเบื้อง กู้เสี่ยวซุ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกใจ รีบเอ่ยกับกู้เหยี่ยนกระซิบ “นั่นคือกระเบื้องหินบดของข้า! ใครเอามาผิด!”
“กระเบื้องหินบดอะไร” กู้เหยี่ยนหยิบกระเบื้องมา เขาหยิบแผ่นที่บางที่สุดมาเพื่อให้เหยียบแตกง่ายๆ
กู้เสี่ยวซุ่นกุมศีรษะตัวเองด้วยความสิ้นหวัง “แย่แล้ว แย่แล้ว กระเบื้องประเภทนี้พี่สาวสอนข้าทำ เอาไว้ให้ซ่อมหลังคาให้ฮูหยิน…ข้ายังเหยียบไม่แตกเลย!”
ตามประเพณีของชาวแคว้นเจา หากเจ้าสาวเหยียบกระเบื้องไม่แตก จะถูกมองว่าเป็นลางร้ายและไม่บริสุทธิ์
หยวนเป่าหลินไม่รู้เรื่องนี้ จึงยกเท้าขึ้นเหยียบ
กู้ฉังชิงมองกระเบื้องด้วยสายตาที่เฉียบคม รู้สึกถึงความผิดปกติ และทันทีที่เท้าของหยวนเป่าหลินจะแตะกระเบื้อง เขาก็ใช้สองนิ้วปลดปล่อยพลังภายใน ทำลายกระเบื้องหินบดใต้เท้าของนาง
หยวนเป่าหลินมองเศษกระเบื้องใต้เท้าของนางที่แตกละเอียดเป็นผงธุลี ตกตะลึงอึ้งไปจนอ้าปากค้าง “เอ๊ะ ข้าเก่งกาจเช่นนี้เลยเหรือ”
กู้เสี่ยวซุ่นยกนิ้วโป้งขึ้น “พี่สะใภ้…พลังเท้าสุดยอดไปเลย…”
กู้ฉังชิงจับมือหยวนเป่าหลินเข้าโถงใหญ่อย่างนิ่งเฉย
ท่านโหวกู้และแม่นางเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้สูงไท่ซือ ท่านโหวกู้หัวเราะจนตาปิด แม่นางเหยาเองก็มีความสุขอย่างยิ่ง
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”
“สองคำนับพ่อแม่”
“คำนับกันและกัน…”
หยวนเป่าหลินและกู้ฉังชิงมิได้รักษาระยะห่างให้ดี ทว่าทั้งคู่คำนับอย่างจริงจัง จนศีรษะกระแทกกัน
“โอ้ย!” หยวนเป่าหลินเปล่งเสียงด้วยความเจ็บปวด
กู้ฉังชิงใบหน้าแข้งทื่อ รีบกล่าวคำขอโทษ “ขอโทษ”
แขกในงานต่างหัวเราะครื้นเครง
……….