สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 946 พี่ใหญ่มาแล้ว (1)
บทที่ 946 พี่ใหญ่มาแล้ว (1)
……….
หลีเจียงผิงเป็นผู้อาวุโสของเกาะอั้นเย่ นึกไม่ถึงว่าจะถูกธนูยิงกระเด็น นี่มันเรี่ยวแรงอันน่าสะพรึงเพียงใดกันนี่
มือกระบี่ขมวดคิ้ว เอ่ยกับลูกน้องสี่คนที่ติดตามมา “บุก!”
ทั้งสี่ชักกระบี่ยาวออกมา ใช้วิชาตัวเบาทะยานไปหากู้เจียว
กู้เจียวยิงธนูทีเดียวสามดอก รวดเร็วจนไม่อาจจินตนาการได้ เจือเสียงดังแหวกอากาศที่ทำลายพังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย พุ่งยิงใส่หัวใจของมือกระบี่สามคน
ทั้งสามยังไม่ทันแม้แต่จะได้โต้คืน ก็ร้องครวญครางล้มลงไปแล้ว
มือกระบี่คนสุดท้ายเห็นสหายทั้งสามโดนสังหารพร้อมกันหมด จึงอดชะงักงันไม่ได้
เพียงแค่ชะงักงันครู่เดียว ราชาม้าเฮยเฟิงก็มาถึงใต้ร่างเขาแล้ว กู้เจียวพลิกมือชักทวนพู่แดงจากด้านหลังออกมา ปักเขากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลในทวนเดียว!
คราบโลหิตซึมออกจากมุมปากเขา คอหัก สิ้นลมไป
มือกระบี่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
ชั่วขณะประกายไฟตอนตีหิน ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวเขา “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้าคือบุตรสาวบุญธรรมของอันกั๋วกง! ผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง! ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเซียวลิ่วหลัง หรือว่าฮูหยินน้อยดีล่ะ”
ว่ากันตามตรง เมื่อได้ยินว่าผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงที่สังหารกงซุนอวี่เป็นสตรี เขาตกใจเสียยิ่งกว่าเห็นผีอีก!
นอกจากเจ้าแห่งเงามืดในตอนนั้น ก็คิดไม่ถึงว่าจะยังมีสตรีคนที่สองที่เก่งกาจเพียงนี้!
ถูกต้อง เจ้าแห่งเงามืดรุ่นแรกเป็นสตรี ความลับนี้แม้แต่คนในหน่วยเงามืดอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ แต่พวกเขาเคยประมือกับนางมาก่อน
ราชาม้าเฮยเฟิงหยุดลงห่างจากเขาสิบก้าว หากมิใช่อันกั๋วกงยังอยู่บนรถม้า ยามนี้มันคงพุ่งชนมาหาโดยไม่สนสิ่งใดแล้ว
กู้เจียวมือหนึ่งกุมบังเหียน อีกมือถือทวนพู่แดงชี้หน้าเขาอย่างเย็นชา “ปล่อยท่านพ่อบุญธรรมข้า แล้วข้าจะเหลือศพให้เจ้าทั้งร่าง”
มือกระบี่ยิ้มเหน็บ “เหลือไว้ก็ยังเป็นศพหนึ่งอยู่ดี ฮ่า! แม่หนู! เจ้าช่างปากดีนัก!”
กู้เจียวนั่งอยู่บนหลังม้า กดตามองต่ำไปยังเขา “ดูท่าเจ้าจะไม่ยอมเลือก ก็ได้”
มือกระบี่ยิ้มเย็น “เจ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ หรอกนะว่าจะสังหารข้าได้ แม้ว่าข้าจะยอมรับว่าวรยุทธ์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ แต่ เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี!”
“หนวกหู” กู้เจียวเอ่ยทีละถ้อยทีละคำจบ ก็ทะยานลงมาจากหลังม้า ทวนยาวดุจสายรุ้ง พุ่งแทงมือกระบี่อย่างแรง
มือกระบี่ชักกระบี่ต้าน ทว่าเขาประเมินแรงของกู้เจียวต่ำไป และดูเบาคมของทวนพู่แดงเกินไป
กระบี่เขาถูกฟันหักทั้งอย่างนั้น แขนเขาชาดิก
เขาถอยหลังไปหลายก้าว หันมองกู้เจียวอย่างเหลือเชื่อ
ว่ากันตามตรงแล้วกู้เจียวก็ตกใจเช่นกัน ตั้งแต่สงครามจบลงนางก็ไม่ได้ต่อสู้กับผู้ใดเป็นจริงเป็นจังอีก มือกระบี่เป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่นางปะทะด้วย แม้ว่า…ฝีมือจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าใดก็ตาม
มือกระบี่โยนกระบี่ยาวในมือทิ้ง แล้วชักกระบี่อีกด้ามมาจากรถม้า เป็นไปดังคาด ยังคงโดนทวนของกู้เจียวฟันหักเช่นเดิม!
ในที่สุดเขาก็ตระหนักแล้วว่าตัวเองเจอตอเข้าแล้ว ต่อให้ล่าถอยไป กู้เจียวก็ไม่มอบโอกาสนี้ให้เขาอยู่ดี นางฟันทวนใส่ศีรษะเขา
เขาตาปริบๆ มองร่างกายตัวเองไกลออกไปเรื่อยๆ หน้ามืดตาลาย ซ้ำยังมีดินฝุ่นกรูเข้าจมูกด้วย
จากนั้น ไม่มีจากนั้นอีกแล้ว
“ท่านพ่อบุญธรรม!”
กู้เจียวรีบเลิกม่านรถม้าขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่ามันว่างเปล่า ด้านในไม่มีแต่เงาคน!
นางปรับสายตามอง ที่แท้ตอนที่ตนประมือกับมือกระบี่ ได้มียอดฝีมืออีกคนอาศัยช่องโหว่เข้ามาพาตัวอันกั๋วกงออกจากประตูหลังของรถม้าไปแล้ว
นางทอดมองท้องนภา “เสี่ยวจิ่ว!”
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกตามไป
กู้เจียวก็พลิกตัวขึ้นหลังม้าไล่ตามเสียงร้องของเสี่ยวจิ่ว ควบทะยานเข้าสู่รัตติกาลไปเช่นกัน
…
บนโลกนี้ไม่มีม้าตัวใดรวดเร็วเท่าราชาม้าเฮยเฟิงอีกแล้ว เมื่อเซียวเหิงกับซ่างกวานชิ่งเร่งรุดมาถึงท่าเรือก็ไร้ร่องรอยของกู้เจียวกับอันกั๋วกงแล้ว มีเพียงศพจำนวนหนึ่งนอนระเกะระกะบนพื้น หนึ่งในนั้นยังมีศพไร้หัวด้วย
ซ่างกวานชิ่งขมวดคิ้ว “ไล่ตามมาตั้งนาน สุดท้ายก็ยังคลาดอยู่ดีหรือนี่”
เซียวเหิงกวาดตามองพลางเอ่ยอย่างระแวดระวัง “มีคนอยู่ในน้ำ!”
องครักษ์ลับที่ติดตามลงน้ำไปงมตัวหลีเจียงผิงที่โดนธนูยิงขึ้นมาจากน้ำ
หลีเจียงผิงยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่
“คนผู้นี้เป็นใครกัน” ซ่างกวานชิ่งถาม เมื่อหลีเจียงผิงมาถึงจวน บังเอิญเขาพาจิ้งคงออกไปพอดี จึงไม่ได้เจอกับหลีเจียงผิง
เซียวเหิงเอ่ย “หลีเจียงผิง”
“เขาคือคนทรยศของสำนักอั้นเย่นั่นหรือ” ซ่างกวานชิ่งนั่งยองๆ ลง ตรวจดูลูกธนูตรงหน้าอกเขา “เป็นลูกธนูของเจียวเจียว”
เซียวเหิงเดินขึ้นหน้า หันมองหลีเจียงผิงที่หายใจรวยรินอย่างเย็นชา “เจียวเจียวกับอันกั๋วกงไปไหน”
หลีเจียงผิงแรกๆ ก็ไม่ยอมบอก เซียวเหิงให้คนตัดนิ้วเขาทันที
ซ่างกวานชิ่งจุ๊ๆ ปาก ไม่กระมัง น้องชายหน้าเหม็นไยจึงเหี้ยมถึงเพียงนี้
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากยังไม่บอก จะตัดหู จมูกและปากของเจ้าให้หมด แล้วป้อนให้เจ้ากิน”
ซ่างกวานชิ่ง บัดซบ!
วันนี้เป็นวันที่โดนน้องชายหน้าเหม็นเปิดโลกให้เขาแล้ว!
ในที่สุดหลีเจียงผิงก็ทนการทรมานไม่ไหว
“ไปทางตะวันออก…สามลี้…มีหมู่บ้านซ่อนกระบี่อยู่ คนของเจี้ยนหลูน่าจะ…อยู่ที่นั่น…”
หมู่บ้านซ่อนกระบี่เป็นสำนักเล็กๆ ที่อยู่แถวๆ เจาตู เจี้ยนหลูมาถึงที่นี่จำเป็นต้องมีที่ซ่อนตัว จึงปล้นหมู่บ้านซ่อนกระบี่
ตามแผนแล้ว หลีเจียงผิงกับมือกระบี่จะพาอันกั๋วกงไปขึ้นเรือก่อน คนของเจี้ยนหลูอยู่รั้งท้าย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มียอดฝีมือตามพวกเขาทันได้
ทว่ายามนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แผนการจึงยุ่งเหยิง ไม่รู้เหมือนกันว่าคนของเจี้ยนหลูจะเลือกขึ้นเรือจากท่าเรืออื่นหรือไม่
“มีทั้งหมดกี่คน” เซียวเหิงถาม
หลีเจียงผิงเอ่ยอย่างอ่อนระโหย “เจ้าสำนัก… นักบุญสี่คน… ผู้คุมกฎใหญ่แปดคน… แล้วก็พวกลูกศิษย์…ทั้งหมดกี่คนข้าไม่รู้…”
เซียวเหิงหยุดเว้น ก่อนเอ่ยอีก “เทียบฝีมือกับพิชิตเวหาแล้วเป็นอย่างไร”
หลีเจียงผิงนึกทวนความทรงจำเอ่ย “พิชิตเวหา…ข้าไม่เคยพบ…”
เซียวเหิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง เปลี่ยนคนใหม่ “เช่นนั้น วิญญาณทมิฬเล่า”
หลีเจียงผิงเอ่ย “วิญญาณทมิฬ… เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก… ฝีมือ… เหนือกว่าผู้คุมกฎ…”
ผู้คุมกฎมีแปดคน วิญญาณทมิฬมีแปดคน
เซียวเหิงกำหมัดแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
“แล้วนักบุญเล่า” เขาถามต่อ
หลีเจียงผิงเอ่ย “ฝีมือของนักบุญ… เหนือกว่าผู้คุมกฎ…”
สีหน้าซ่างกวานชิ่งเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน ยอดฝีมือมากมายเพียงนี้ หากเจียวเจียวบุกเข้าไปจริงๆ จะร้ายมากกว่าดี
เซียวเหิงเร่งเร้า “เหตุใดพวกเจ้าจึงจับตัวอันกั๋วกงไป”
หลีเจียงผิงเอ่ย “พะ…เพราะกะ…กล่องนั่น…”
เซียวเหิงเอ่ย “กล่องนั่นมีสมบัติล้ำค่าอะไร เหตุใดเจี้ยนหลูจึงต้องการมัน”
หลีเจียงผิงหายใจออกมาก หายใจเข้าน้อย “ขะ… ข้าไม่รู้… เป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก…”
ซ่างกวานชิ่งขยับไปใกล้น้องชายหน้าเหม็น ก่อนถาม “เขาพูดจริงรึ”
“น่าจะจริง” เซียวเหิงหรี่ตาลงเอ่ย “ท่านชายหมิงเย่ว์เป็นบุตรชายของเจ้าสำนัก เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกล่องยาใบน้อยเลย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นความลับ ผู้ที่ล่วงรู้มีน้อยนัก”
ซ่างกวานชิ่งปรายตามองหลีเจียงผิง “เช่นนั้นจะทำเช่นไรกับเขา ฆ่าหรือว่า…”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงนิ่ง “เก็บไว้ให้ฉังจิ่ง”
ซ่างกวานชิ่งมองหลีเจียงผิงที่โดนตัดนิ้วตั้งแต่โคนนิ้วจนโลหิตไหลนองทะลัก เขารู้สึกว่านิ้วตัวเองเจ็บแปลบขึ้นมา
แม้ว่านี่จะเป็นภาพที่โหดร้ายทารุณ แต่ก็รู้สึกว่าน้องชายหน้าเหม็นก็เท่ไม่หยอกนี่มันอย่างไรกัน
……….