สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 549 ท่านย่าจอมเผด็จการ!
บทที่ 549 ท่านย่าจอมเผด็จการ!
ทั้งคืนหลังจากนั้น ขอแค่กู้เฉิงเฟิงอุ้มกู้เสี่ยวเป่า กู้เสี่ยวเป่าก็จะมุดอกเขากินนมตลอด
เมื่อครู่ยังพูดเย้ยกู้เฉิงเฟิงพี่ใหญ่ตัวเองอยู่เลย ในที่สุดก็รู้ซึ้งแล้วว่า ‘หัวเราะทีหลังดังกว่า’ มันเป็นอย่างไร!
สองพี่น้องตระกูลกู้กินมื้อเย็นที่ตรอกปี้สุ่ยแล้วถึงได้กลับ
ก่อนจะกลับ กู้ฉังชิงสอนหมัดมวยให้เสี่ยวจิ้งคงไปท่าหนึ่ง เสี่ยวจิ้งคงเรียนอย่างสนุกสนาน ฝึกซ้อมที่เรือนท้ายอยู่คนเดียวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เรียกเขาไปอาบน้ำเขาก็ไม่ไป
“ช่างเถิด ให้เขาเล่นอีกหน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ไปเรียนอยู่แล้ว” กู้เจียวบอกอวี้หยาร์
อวี้หยาร์เอ่ย “เช่นนั้นข้าเอาน้ำร้อนไปให้ที่ห้องท่านชายน้อยกับเสี่ยวซุ่นก่อนนะเจ้าคะ เสี่ยวซุ่นจะได้อาบก่อน”
ลำดับการอาบน้ำในบ้านเรียงจากอายุน้อยไปอาวุโส กู้เสี่ยวเป่าจึงอาบน้ำแล้ว
“ไปเถิด” กู้เจียวบอก
อวี้หยาร์หิ้วน้ำร้อนไป
กู้เจียวไปช่วยแม่นมฝางเก็บกวาดที่ห้องครัว แม่นมฝางไม่ให้นางทำ “ข้าก็ไม่ใช่ว่าแก่เฒ่าจนทำไม่ได้แล้วเสียหน่อย! เอาแต่ทำนั่นทำนี่ทั้งวัน ข้าก็ว่างจนไม่มีอะไรทำแล้วเจ้าค่ะ!”
นี่หาใช่ถ้อยคำคุยโวไม่ คนที่บ้านทุกคนต่างไม่มีใครทำตัวเป็นเจ้านาย แม้แต่กู้เหยี่ยนที่เกียจคร้านที่สุดยังรู้ว่าต้องปอกข้าวโพดรดน้ำผัก งานในบ้านถูกแบ่งสันปันส่วนกัน แม่นมฝางจึงไม่เหนื่อย
กู้เจียวเห็นเข้าก็ไม่ได้รั้นจะเข้าห้องครัวอีก นางกลับไปเก็บข้าวของที่ห้องฝั่งตะวันออก อีกเดี๋ยวต้องไปโรงหมออีก ก่อนจะไปนางอยากบอกกับคนที่บ้านไว้ด้วย
คนอื่นๆ ต่างพบหน้าค่าตากันหมดแล้ว แต่เซียวเหิงกลับไม่อยู่ที่ห้องหนังสือและห้องฝั่งตะวันตก
กู้เจียวส่งเสียงเอ๊ะ “แปลก ไปไหนกันนะ”
เซียวเหิงไปบ้านข้างๆ
ความจริงแล้วกู้ฉังชิงก็อยู่ด้วย
เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ขึ้นที่หอเซียนเล่อ กู้ฉังชิงไม่มีทางไม่รู้ หลังจากกู้เฉิงเฟิงนั่งรถม้ากลับจวนไป เขาก็โกหกกู้เฉิงเฟิงว่าจะไปค่ายทหาร แต่ความจริงมาที่บ้านข้างๆ แห่งนี้
“หลิวเฉวียน ไปเฝ้าด้านนอกไว้ อย่าให้ใครมาได้ยิน” จี้จิ่วอาวุโสบอกหลิวเฉวียน
“ขอรับนายท่าน”
หลิวเฉวียนเฝ้าหน้าประตูอย่างระแวดระวัง
ทั้งสามคนนั่งกันในห้องหนังสือ
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “ว่ามาสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
กู้ฉังชิงมองเซียวเหิงแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เกิดเรื่องขึ้นที่หอเซียนเล่อ พวกกรมยุติธรรมมีข่าวใดหรือไม่”
“มี” เซียวเหิงเปิดเผยกับกู้ฉังชิงมากกว่ากับเจ้ากรมยุติธรรม นอกจากเรื่องที่ม่อเชียนเสวี่ยจำเขาผิดกลายเป็นคนอื่นแล้ว เขาก็เล่าแทบจะทุกเรื่อง รวมถึงนายน้อยของหอเซียนเล่อด้วย
เขาไม่ได้บอกว่าม่อเชียนเสวี่ยเป็นคนบอกว่านายน้อยเป็นใคร
กู้ฉังชิงจึงนึกว่าเขาตรวจสอบเจอจากวิธีการของกรมยุติธรรม
กู้ฉังชิงเงียบไป เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีเรื่องน่าตกใจเพียงนี้ “ข้าก็นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือ…เป้าหมายของหอเซียนเล่อคืออะไรรึ”
เซียวเหิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนเอ่ย “เป้าหมายสูงสุดไม่ชัดเจน แต่เหมือนเจียวเจียวจะไปขวางทางของนายน้อยหอเซียนเล่อเข้า หอเซียนเล่อจึงได้ลงมือกับเจียวเจียว”
สีหน้ากู้ฉังชิงพลันเย็นเยียบขึ้น!
เซียวเหิงเอ่ย “แต่ครานี้หอเซียนเล่อดีดลูกคิดผิดเสียแล้ว คนที่พวกเขาส่งมาไม่อาจลงมือทำอะไรเจียวเจียวได้ จึงยังไม่ต้องห่วงเจียวเจียวในตอนนี้”
แววตากู้ฉังชิงยังคงเย็นยะเยือก “มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”
เซียวเหิงเอ่ย “ตรวจสอบรายละเอียดความจริงของนายน้อยหอเซียนเล่อที่ผ่านมาทั้งหมด คนที่รู้จัก สิ่งที่เคยทำมาทุกอย่าง ยิ่งละเอียดเท่าใดยิ่งดี แล้วก็ต้องลอบตรวจสอบเงียบๆ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด”
กู้ฉังชิงไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งพลางเอ่ย “ข้าจะทูลฝ่าบาทว่าจะออกจากเมืองหลวงไปชดเชยจุนเจือให้กับครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพตระกูลกู้”
จี้จิ่วอาวุโสพยักหน้าเห็นด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ไม่เลว
หลังจากกู้ฉิงชิงกลับไป จี้จิ่วอาวุโสก็เอ่ยกับเซียวเหิง “เจ้ายังมีอะไรอยากจะพูดอีกใช่หรือไม่”
จี้จิ่วอาวุโสรู้จักเซียวเหิงดียิ่งนัก คนอื่นมองอารมณ์เขาไม่ออก แต่จี้จิ่วอาวุโสไม่มีทางถูกหลอกได้ง่ายๆ
อย่างไรเสียความใจดำของเซียวเหิงก็ร่ำเรียนมาจากเขาทั้งนั้น
“คนกลุ่มนั้นอาจจะมาถึงแล้ว”
“คนกลุ่มนั้นอย่างนั้นรึ” จี้จิ่วอาวุโสขมวดคิ้วสีดอกเลา พยายามครุ่นคิดว่าคนที่ถูกเซียวเหิงเรียกว่าคนกลุ่มนั้นคือใคร
พักใหญ่ๆ เขาจึงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึง…คนแคว้นเยี่ยนน่ะรึ”
เซียวเหิงพยักหน้าเนิบ
เขาไม่ได้ไปขวางทางนายน้อยหอเซียนเล่อ หากเขาเป็นนายน้อยหอเซียนเล่อก็คงจะปราบเขาให้อยู่หมัดเสียก่อน หากปราบไม่ได้ค่อยฆ่าก็ไม่สาย
และคนที่จะเอาชีวิตเขาก็คงเป็นคนพวกอื่น
เขานั่งอยู่บนตำแหน่งปัจจุบันนี้ มีคนอิจฉาเขาไม่น้อย แต่พวกที่ใจกล้าจะลงมือกับเขาซ้ำยังมีปัญญาเข้าหอเซียนเล่อนั้นมีน้อยยิ่งนัก
เรียกได้ว่าทั่วทั้งแคว้นเจาแทบจะไม่มีเลย
ราชครูจวงไม่อยากลงมือกับเขาหรือ แต่ราชครูจวงไม่ได้ใจกล้าไปท้าทายขีดจำกัดของจวงไทเฮาเพียงนั้น
ราชครูจวงอย่างมากก็แค่ใช้อำนาจไปข่มเหงเขานิดหน่อยเท่านั้น
พวกที่มีศักยภาพไม่เท่าราชครูจวง ไม่เข้าตาหอเซียนเล่อหรอก พวกที่ถูกใจหอเซียนเล่อก็มีเป็นพวกที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกันกับเซียวเหิง
เมื่อคิดไปคิดมา ก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
จี้จิ่วอาวุโสถอนหายใจยาวเหยียด “เฮ้อ ในที่สุดยามนี้ข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงซิ่นหยางจึงยอมให้เจ้าพลัดถิ่นไปอยู่ชนบท ไม่สนใจใยดีเจ้า และไม่ต้องการตามหาพาเจ้ากลับเมืองหลวง”
อำนาจของแคว้นที่เหนือกว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต่อกรได้
พวกเขาปกปิดกันไว้อย่างแนบเนียนดุจภูสาไร้ตะเข็บเพียงนี้ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายได้กลิ่นของเซียวเหิงอยู่ดี
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “หมู่นี้องค์หญิงซิ่นหยางไม่อยู่ที่เมืองหลวง เจ้าต้องระวังตัวให้มากหน่อยนะ”
เซียวเหิงเอ่ย “พวกเขายังไม่กล้าลงมือกับข้าภายในเมืองหลวงตอนนี้หรอก” มิฉะนั้นคงไม่สร้างสถานการณ์ใหญ่เพียงนี้มาล่อเขาออกจากเมืองไป
มีเรื่องหนึ่งที่จี้จิ่วอาวุโสคิดไม่ตก “กลุ่มอำนาจของแคว้นที่เหนือกว่าต้องการจะฆ่าเจ้า แต่กลับไม่กล้าฆ่าอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาพะว้าพะวงอะไร เซวียนผิงโหวรึ ราชวงศ์แคว้นเจารึ”
จี้จิ่วอาวุโสวิเคราะห์เรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด พบว่าคนกลุ่มนั้นลงมืออย่างระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกลอบฆ่าเซียวเหิงกับมารดาซ้ำยังกล้าเร้นตัวเข้ามาในจวนเซวียนผิงโหว สิบกว่าปีต่อมาตอนลอบฆ่าเซียวเหิงกล้าแค่ช่วยเหลือหนิงอ๋องเท่านั้น
มายามนี้ แม้แต่ในเมืองหลวงพวกเขายังไม่กล้าบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือเลย
ระหว่างนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ข้าเอาแต่รู้สึกว่ามารดาเจ้าไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาๆ ”
เซียวเหิงหมดปมเรื่องนี้ไปนานแล้ว เลือดที่ไหลเวียนในกายเขาเป็นของใคร สำหรับเจียวเจียวและครอบครัวแล้ว เขาคือเซียวเหิง
เขาไม่ใส่ใจกับชะตากรรมของตัวเอง เขาเอ่ย “จะเป็นใครก็ไม่สำคัญ ยามนี้ควรจัดการปัญหาใหญ่อย่างหอเซียนเล่อนี่ก่อน”
จี้จิ่วอาวุโสลังเลครู่หนึ่งพลางถาม “เจ้าเล่าเรื่องหอเซียนเล่อให้จวงจิ่นเซ่อหรือยัง ท่าทีของนางเป็นอย่างไร นางเอนเอียงไปทางเจียวเจียวหรือเอนเอียงไปทางคนผู้นั้น”
วันรุ่งขึ้นอรุณเพิ่งจะเบิกฟ้า หนิงอันก็ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่
นางไปห้องของหวงฝู่เสียนเป็นอย่างแรก หวงฝู่เสียนยังหลับอยู่ นางมองแผลตรงข้างแก้มและหลังมือของเขา ก่อนหยิบยาทาแผลในลิ้นชักออกมาทาให้เขา
ยาทาแผลคล้ายจะต่างไปจากขวดที่นางเคยให้ แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
จากนั้นนางก็ไปถวายพระพรจวงไทเฮาที่ตำหนักเหรินโซ่ว ทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนจวงไทเฮา
ยามนี้จวงไทเฮาไม่ต้องเข้าประชุมเช้าแล้ว จึงว่างไม่น้อย
ช่วงที่จวงไทเฮากำลังสรงน้ำ องค์หญิงหนิงอันก็นั่งรอในห้องบรรทมของจวงไทเฮาเงียบๆ
เพียงไม่นาน คนจากสำนักพระราชวังก็มาหา มอบถาดที่มีผ้าไหมคลุมอยู่ส่งให้กับฉินกงกง
ฉินกงกงยกถาดเข้าไปในห้องบรรทมของจวงไทเฮาต่อ
“นี่อะไรรึ” องค์หญิงหนิงอันถามเบาๆ
“ของที่สำนักพระราชวังส่งมาพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงบอก
“ข้าดูหน่อย” องค์หญิงหนิงอันเปิดผ้าไหมออก
เห็นเพียงป้ายคำสั่งทองคำของราชวงศ์โผล่ออกมา สลักอักษรไว้ว่าฮู่กั๋วหรือผู้พิทักษ์แผ่นดิน ส่วนด้านข้างป้ายคำสั่งเป็นมงกุฎหงส์ที่ทำด้วยทองคำ
“นี่คือป้ายคำสั่งขององค์หญิงฮู่กั๋วกับมงกุฎหงส์หรือ” องค์หญิงหนิงอันตกใจกับสิ่งงดงามประณีตจนพูดอะไรไม่ออก
ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีสมัญญานามว่าฮู่กั๋วได้ ราชวงศ์นี้เรียกได้ว่าไม่มีองค์หญิงคนไหนคู่ควรเลย
ทว่ายามนี้ องค์หญิงหนิงอันกำลังจะถูกตั้งสมัญญานามว่าองค์หญิงฮู่กั๋วแล้ว
จะไม่ให้หนิงอันดีใจได้อย่างไร
ความใจเย็นสุขุมที่นางฝึกฝนที่ชายแดนบัดนี้หายลับไปจนเกลี้ยง นางดีใจจนเอื้อมมือขึ้นไปหยิบมงกุฎหงส์นั่นมาสวมบนศีรษะตัวเอง แล้วคว้าป้ายคำสั่งจากถาดขึ้นมา หันหลังมองไปที่กระจก
ทว่าไม่รอให้นางได้เห็นสภาพตัวเองว่าน่าเกรงขามหรือไม่ ก็มีเงาร่างในชุดคลุมหงส์สีฟ้าเดินมาอย่างยิ่งใหญ่
เจ้าของร่างดึงมงกุฎจากศีรษะอย่างรวดเร็ว!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก องค์หญิงหนิงอันไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ลำตัวกับผมถูกดึงอย่างแรง ผมเกล้าที่เดิมทีประณีตงดงามก็ยุ่งเหยิงตามไปด้วย
แววตาจวงไทเฮาไร้ซึ่งความสงสารแม้แต่น้อย
จวงไทเฮากดตามองต่ำไปยังนาง ปล่อยมาดบารมีแข็งแกร่ง “นี่เป็นของที่ข้าเตรียมไว้ให้เจียวเจียว ใครให้เจ้ากล้าแตะต้องกัน”
องค์หญิงหนิงอันมองจวงไทเฮาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความเหลือเชื่อและอเนจอนาถ นางไม่รู้ว่าควรประหลาดใจกับการปรากฏตัวของจวงไทเฮาดี หรือควรประหลาดใจกับถ้อยคำของจวงไทเฮาดี
เมื่อวานยัง…แท้ๆ…เหตุใดวันนี้จึง…
ท่าทีนี้ทำเอาตั้งตัวไม่ทันเลย
หนิงอันมองจวงไทเฮาอย่างตกใจและเจ็บปวด “เสด็จแม่”
จวงไทเฮาแย่งป้ายคำสั่งฮู่กั๋วในมือนางคืนมา ก่อนตรัสด้วยสีพระพักตร์เย็นชา “อย่ามาเรียกข้าว่าเสด็จแม่ เจ้าไม่คู่ควร!”