สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 1002-2 บันทึกท้ายเล่ม (2)
บทที่ 1002 บันทึกท้ายเล่ม (2)
……….
“เอ๊ะ! เสี่ยวซุ่นใช่หรือไม่” ป้าจ้าวที่หอบกะละมังผ้าเดินมาจำเขาได้ในทันที ป้าจ้าวตกตะลึกไม่น้อย “ไอ้หยา แม่เจ้า! ข้าเกือบจำไม่ได้แหนะ”
กู้เสี่ยวซุ่นเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน
ตอนที่จากหมู่บ้านไปเขายังเป็นเพียงแค่เด็กเกเรอายุสิบสามสิบสี่ แม้แต่เดินยังไม่เคยเดินถนนเหมือนคนอื่นเขา ทว่าวันนี้กลับสวมชุดคลุมยาว ใบหน้าหมดจด หล่อเหลาสง่างาม มองแล้วก็รู้ว่าเป็นท่านชายตระกูลใหญ่
หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าข้างกายนางก็ดูสวยสูงศักดิ์
ใครจะกล้าคิดกันเล่า
เหล่าชาวบ้านเข้ามาห้อมล้อม
แม่นางหลิวมองกู้เสี่ยวซุ่นอย่างตกตะลึง ถังน้ำในมือร่วงลงไปในบ่อเสียโครมคราม
นางไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ชายหนุ่มที่สง่างามยิ่งกว่าท่านชายในอำเภอคนนี้คือลูกชายมอมแมมของนางจริงๆ หรือ
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” องครักษ์ที่ติดตามมาเป็นคนที่ใต้เท้าข้าหลวงตั้งใจส่งมาให้ เพราะเกรงว่าปรมาจารย์กู้จะพบเจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทาง จึงต้องรักษาความปลอดภัยของทั้งสองสามีภรรยา
เขากระแอมให้โล่งคอ เอ่ยกับชาวบ้านอย่างเป็นมิตร “ทุกท่านอย่าเบียดกัน ปรมาจารย์กู้กลับมาเคารพหลุมศพครอบครัว ขอทุกท่านอำนวยความสะดวกด้วย ช่วยถอดด้วย”
“เจ้าเรียกเขาว่าอย่างไรนะ” แม่นางเหยาเดินเข้ามาถาม
องครักษ์ไม่รู้จักนาง คิดว่านางเป็นชาวบ้านทั่วไป จึงอธิบายอย่างใจเย็น “ปรมาจารย์กู้น่ะสิ! ปรมาจารย์กู้เป็นคนดังของราชสำนัก! ครั้งนี้ได้รับราชโองการให้มาสร้างจวนที่โยวโจว”
ราชสำนัก… ราชโองการ…
แม่นางหลิวเกือบจะเป็นลมล้มพับ
หากรู้ว่ากู้เสี่ยวซุ่นจะเอาการเอางานเช่นนี้ นางไม่น่าขายเขาไปแค่ยี่สิบตำลึงเลย!
น่าจะขายสักสองร้อยตำลึง… ไม่สิ สองพันตำลึง!
ไม่สิ นางจะขายทำไม
เขาได้เป็นถึงขุนนาง นางก็เป็นแม่ของท่านขุนนางเชียวนะ!
ใช่แล้ว นางเป็นแม่ของขุนนางแล้ว…
นางเลิกคิ้วพลางถอนใจ…
“เจ้าเด็กนี่ รู้จักกลับบ้านแล้วหรือ! ไปเมืองหลวงแล้วก็ไม่เหลียวแลพ่อแม่อีกเลย! หัวใจเจ้าถูกหมากินไปแล้วรึ!”
นางเอ่ยพลางเดินเข้าไปหากู้เสี่ยวซุ่น
ทว่ากู้เสี่ยวซุ่นนั้นไม่ใช่ลูกน้อยที่จะยอมให้นางทุบตีได้เหมือนแต่ก่อน เป็นนางเองด้วยซ้ำที่ตัดความสัมพันธ์แม่ลูกของพวกเขา
กู้เสี่ยวซุ่นถอยหลัง
นางโผเข้าหาความว่างเปล่า
องครักษ์ไม่รู้ว่าที่แม่นางหลิวพูดนั่นจริงหรือไม่ แต่ท่าทางของปรมาจารย์กู้นั้นคือของจริง เขาจึงรีบกันแม่นางหลิวเอาไว้
ไม่นาน กู้ฉังลู่รู้ข่าวก็รีบตามมาถึงที่
เขาเห็นกู้เสี่ยวซุ่นในยามนี้ ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เด็กเกเรที่ตระกูลกู้ดูถูกเหยียดหยามที่สุด ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นคนดังของราชสำนัก
เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปคุยกับกู้เสี่ยวซุ่น แต่ก็ถูกองครักษ์ติดตามกันเอาไว้
“ลูกสะใภ้! ลูกสะใภ้! ข้าคือพ่อสามีเจ้า!” เมื่อเขาเห็นว่ากู้เสี่ยวซุ่นไม่ยอมรับพ่อเช่นเขา จึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากเฉินอวิ๋น
ผู้หญิงล้วนแต่ใจอ่อนกันทั้งนั้น ขอแค่นางเอ่ยปากร้องขอแทนเขา เสี่ยงซุ่นต้องยอมรับฟังแน่นอน
ทว่าเฉินอวิ๋นไม่แม้แต่จะหันมา
หลายปีมานี้สถานะของตระกูลกู้ย่ำแย่นัก นายใหญ่กู้ก็เสียชีวิต เหลือไว้เพียงร้านผุพัง บ้านหลักบ้านรองแยกจากกัน
เส้นทางการสอบขุนนางของกู้ต้าซุ่นเองก็ไม่ราบรื่นนัก เมื่อข่าวว่าเซียวลิ่วหลังสอบได้เป็นจอหงวนมาถึงหมู่บ้าน เขายิ่งสติแตก จากนั้นก็สอบได้แย่ลงทุกครั้ง ครอบครัวเป็นหนี้มากมายเพื่อหาเงินมาให้เขาสอบ
จากนั้นแม้จะได้ภรรยาเป็นลูกสาวของพ่อค้าข้าว แต่บ้านภรรยาเห็นว่าสอบไม่ได้สักที จึงไม่เต็มใจจะจุนเจือเขา
เขาจำต้องเป็นอาจารย์สอนเด็กเล็กในหมู่บ้าน เขาทะเยอทะยาน ไม่มีความอดทนกับนักเรียน หลังจากโดนไล่ออกหลายครั้งก็ไม่มีใครจ้างอีก
ตอนนั้นบ้านรองวาดฝันว่ากู้เอ้อร์ซุ่นจะสอบขุนนางได้ ทุ่มเงินยี่สิบตำลึงจากการขายกู้เสี่ยวซุ่นมาไปกับกู้เอ้อร์ซุ่นทั้งหมด แต่ผลที่ได้กลับละลายหายไปกับสายน้ำ
“เสี่ยวซุ่น! พวกข้าคือพ่อแม่เจ้านะ! เจ้าจะทำแบบนี้กับเราไม่ได้! ยังรู้จักบาปบุญหรือไม่”
“เจ้าไม่กลัวว่าพวกข้าจะร้องศาลาว่าการหรือ! โทษลูกอกตัญญูน่ะ… ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ายังจะเป็นขุนนางได้หรือไม่”
“บ้านเมืองยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่ เขาคือลูกชายข้า! ลูกชายแท้ๆ ของข้า!”
กู้เสี่ยวซุ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เหล่าชาวบ้านรู้เรื่องที่บ้านรองขายกู้เสี่ยวซุ่น หมู่บ้านละแวกนี้ต่างก็เล่าลือกัน ลองถามดูว่าเด็กที่ถูกพ่อแม่ขายคนไหนจะกลับมางานศพพ่อแม่บุญธรรมบ้าง
ขายหน้ายิ่งนัก!
กู้เสี่ยวซุ่นไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านนานนัก เขาพาภรรยาไปเก็บกวาดหลุมศพให้กับอาสามและอาหญิงสาม จุดธูปขอขมาแทนกู้เจียว เซียวเหิง และจิ้งคง
อันที่จริงในบ้านของกู้เจียวก็ตั้งป้ายไหว้บ้านสามของตระกูลกู้มาตลอด ทุกปีครอบรอบ เชงเม้ง หรือปีใหม่ต่างก็เซ่นไหว้เสมอ หากนางไม่อยู่ เซียวเหิงก็จะจุดธูปเผากระดาษเงินให้
…
กู้เสี่ยวซุ่นกลับมาถึงเมืองหลวงในเดือนสี่
เมื่อใกล้ถึงเมืองหลวง เฉินอวิ๋นก็เป็นลมกะทันหัน กู้เสี่ยวซุ่นรีบให้คนส่งข่าวเข้าไปยังเมืองหลวง
กู้ฉังชิงอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยพอดี “ข้าไปส่งเจอเอง”
กู้เจียว “ดี”
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังศาลาพักม้าที่นอกประตูเมืองทิศใต้ กู้เจียวจับชีพจรให้เฉินอวิ๋น นางเผยยิ้มแล้วเอ่ยกับกู้เสี่ยวซุ่น “เสี่ยวอิ๋วมีข่าวดีแล้ว แต่ลมแดดเพราะในรถม้าอบอ้าว พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้น”
กู้เสี่ยวซุ่นตาโตอ้าปากค้าง “ข้า ข้า ข้า… ข้าจะเป็นพ่อแล้วหรือ”
แต่งงานมาสามปี นี่เป็นลูกคนแรกของพวกเขา
ความสุขในใจนั้นยากจะอธิบาย
เฉินอวิ๋นตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง นางตื้นตันจนเกือบร้องไห้
แต่งงานมาสามปียังไม่มีลูก นางคิดว่าตัวเองคงหมดหวังแล้ว แม้ว่าครอบครัวจะไม่ได้เร่งเร้า แต่ในใจนางก็หลังว่าจะให้กำเนิดลูกสักคนแก่สามี
ทุกคนนั่งบนรถม้า
กู้ฉังชิงขี่ม้าอีกตัวประกอบอยู่นอกรถม้า คุ้มกันน้องสาว และคนในครอบครัวของตัวเองและน้องสาวบนรถม้าอยู่เงียบๆ
นี่เป็นบ่ายอันเงียบสงบ แม้แต่ลมวสันต์ยังราบเรียบเช่นเคย
สวรรค์คงกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นวันอันสงบสุข
ทว่าทันใดนั้น ม่านของรถม้าก็ถูกแหวกขึ้น
กู้ฉังชิงเหลียวไปมองน้องสาวที่แหวกม่านพลางเอ่ยถาม “มีอะไรรึ”
กู้เจียวมองเขาใต้แสงอาทิตย์ เผยยิ้มบาง “ท่านพี่”
กู้ฉังชิงหัวใจเต้นรัว แสงแดดยามบ่ายนั้นสาดส่องจนอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจของเขา
…
อีกฟากหนึ่ง การสอบเอินเคอรอบพิเศษก็เสร็จสิ้น
เดิมทีจวงอวี้เหิงถูกริบตำแหน่งตั้งแต่ตอนที่ถูกเนรเทศแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่ได้สั่งไม่ให้เขาเข้าสอบอีกครั้ง เพียงแค่เขานั้นไม่เคยปรากฏตัวในสนามสอบเลย
เพราะเหตุนี้ จวงไทเฮาถึงได้เข้าใจว่าเขาไม่อยากกลับเมืองหลวงเอง
ทว่าปีนี้เข้ากลับปรากฏตัวขึ้นที่สภาจัดสอบในเมืองหลวง รวมถึงคว้าอันดับหนึ่งจากการสอบหน้าพระพักตร์
เขาได้กลายเป็นบัณฑิตคนที่แรกในประวัติศาสตร์แคว้นเจาที่เดินเข้าสอบประตูกลางของวังและขี่ม้ารอบเมืองสองครั้ง
เขาไปยังตำหนักเหรินโซ่ว คุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวจรดพื้นให้กับไทเฮา ดวงตามองลง น้ำตาไหลลงมา “ท่านย่า…”
จวงไทเฮามองจวงอวี้เหิงร่างผอมแห้งที่ไม่ได้พบกันมานาน ก่อนจะกวักมือเรียกเขาให้เดินเข้ามา
จวงอวี้เหิงกลั้นเสียงสะอื้นพลางคลานเข่าเข้าไป
จวงไทเฮากำผ้าเช็ดหน้า ใช้กำปั้นทุบหัวไหล่เขา
นางทุบแล้วทุบอีก ขอบตาแดงก่ำ ลำคอเริ่มติดขัด “เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งกลับมา… เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งกลับมา”
….
เดือนห้า เซียวเหิงได้รับมอบหมายให้จัดการคดีติดสินบนร้ายแรง พัวพันไปกว่าครึ่งสำนักฮั่นหลิน
แม้นโบราณว่าน้ำใสเกินไปย่อมไร้ปลา แต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น ขุนนางสำนักฮั่นหลินเกินครึ่งข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องอันน่าสะพรึงกลัว
เมื่อผลการสืบสวนปรากฏ เซียวเหิงคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังจะเป็นบัณฑิตคนหนึ่งในสำนักฮั่นหลิง
ภายในห้องขัง
บัณฑิตสำนักฮั่นหลิงผู้นั้นไม่ได้เกรงกลัวต่อโทษที่ได้รับแต่อย่างใด
เขารับสินบน บงการการสอบซูจี๋ซื่อขุนนางบุ๋นจะเป็นที่ปรึกษาแก่เสนาบดีในวันหน้า ส่งคนคะแนนต่ำเข้าฮั่นหลิน ทั้งยังปลอมแปลงคะแนน เพื่อให้สามารถเข้ากรมกองประจำราชสำนักได้ง่ายขึ้น
ภายในห้องสอบสวน เซียวเหิงในชุดขุนนางสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองบัณฑิตฮั่นหลิงตรงหน้าด้วยแบบตาซับซ้อน “เพราะเหตุใดกัน”
หนิงจื้อหย่วนแค่นหัวเราะ “ลิ่วหลัง ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาสูงส่ง มดตัวกระจ้อยจากตระกูลยากจนอย่างข้า ไม่รู้ว่าต้องลำบากลำบนเพียงใดกว่าไต่เต้าที่ละขั้น ข้ามิได้กลัวความยากลำบาก เพียงแต่บางครั้งแม้จะอดทนไปก็ไร้ประโยชน์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดว่าเจ้าอาศัยความสามารถตนเองจนเดิมมาถึงสันนี้ เรื่องนั้นข้ายอมรับ ไม่ว่าคนทั้งโลกจะเข้าใจเข้าผิดไป แต่ข้านั้นเชื่อมาตลอดว่าเจ้านั้นพึ่งพาความสามารถของตัวเอง แต่ลิ่วหลังเอ๋ย ข้ามิได้เก่งกาจเช่นเจ้า”
“ข้าเกิดมาพร้อมกับความทะเยอทะยานที่ไม่สมกับความสามารถ”
“ข้า… ห้ามใจตัวเองไม่อยู่”
เซียวเหิงเดินหน้านิ่งของจากคุกกรมยุติธรรม
หลายปีก่อน ภายในห้องทำงานห้องหนึ่งของสำนักฮั่นหลิง หนิงจื้อหย่วนตบที่บ่าเขา เอ่ยอย่างมุ่นมั่ง “อย่าเห็นว่าข้ามาจากตระกูลยากจน ไม่มีคนหนุนหลัง ไม่มีเส้นสาย แต่บางครั้งเขาก็ฝัน ฝันว่าวันหนึ่งจะปีขึ้นไป… ไม่ต้องปีสูงมาก แค่บัณฑิตฮั่นหลินชั้นห้าก็คือความฝันของข้าแล้ว”
เขากำหมัดแน่น ราวกับกำลังบีบกระดูกของคนที่เคยดูแคลนจนแหลกละเอียด “ข้าคิดว่า รอข้ามีวันนั้น รอวันที่ข้าไปกุมอำนาจสำนักฮั่นหลิน ข้าจะไม่วันเห็นแก่เงิน ไม่มีวันเอื้อประโยชน์ญาติพี่น้อง ไม่มีวันเอื้อประโยชน์เพื่อความราบรื่น ไม่มีวันจะเดือดร้อนจะหาเรื่องใคร!”
สายฟ้าฟาดลงมา ราวกับแหวกเส้นทางบนสวรรค์ ฝนห่าใหญ่กระหน่ำลงมา
เขามองฝนตกหนักตรงหน้า แววตากลับมานิ่งอีกครั้ง
เขากางร่ม เดินเข้าไปท่ามกลางสายฝนโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา