สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 1000 ตอนจบของหลิ่วอีเซิง (ฉบับจิ้งคง)
บทที่ 1000 ตอนจบของหลิ่วอีเซิง (ฉบับจิ้งคง)
……….
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาตกตะลึงของทหารแคว้นเว่ย คนหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนสองคนถูกคนสนิทของใต้เท้าหลิ่วเซี่ยงพาไปยังค่ายของเขา
ภายในกระโจมกว้างขวางอันเป็นระเบียบ กู้เจียวได้พบกับหลิ่วอีเซิงที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี
เขาเข้าสู่วัยสามสิบแล้ว ความรั้นของเด็กหนุ่มน้อยลง สิ่งที่มากขึ้นคือความสง่างามสมวัย ทั้งยังดูภูมิฐานและดุดันยิ่งกว่าเดิม
เก้าปี สามารถเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้มากมายถึงเพียงนี้
ในความฝันของกู้เจียวเมื่อครั้งกลับไปที่จวนโหว นางเคยได้ยินคนเรียกเขาว่าหลิ่วเซี่ยง รู้ว่าวันหนึ่งเขาต้องได้เป็นเจ้าใหญ่นายโต แต่เมื่อได้เห็นกับตาแล้วกลับไม่เหมือนกับที่คิดไว้
บางทีอาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะข้ามน้ำข้ามเขาจากแคว้นเจา กลับมาพร้อมกับความแค้น
ขณะที่กู้เจียวมองหลิ่วอีเซิงอยู่นั้น หลิ่วอีเซิงก็กำลังมองกู้เจียวอยู่เช่นกัน
กู้เจียวเองก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน บนใบหน้าของนางไม่มีปานแดงแล้ว เผยให้เห็นดวงหน้าที่ถูกปิดบังเอาไว้ ไม่คุ้นเคย แต่กลับชวนให้ประหลาดใจ
ยี่สิบสี่ วัยสาวสะพรั่ง นางงามดั่งเทพธิดา
ที่ไม่เปลี่ยนไปคือกลิ่นอายแห่งความมุ่งมั่น และแววตาซื่อตรงไร้ซึ่งความซับซ้อน
ราวกับไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ไม่ว่าจะเรื่องราวมามากมายเพียงใจ ปณิธานของนางนั้นไม่เคยเปลี่ยน
“ข้าขอตัวออกไปก่อน” จวินซิวหานเอ่ยขึ้น
“อืม” หลิ่วอีเซิงขานรับ
จวินซิวหานมองเซวียนหยวนซี
“ข้าไม่ออกไปหรอกนะ” เซวียนหยวนซีเอ่ย
หลิ่วอีเซิงน้อยนักที่จะหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร”
จวินซวินหันตกตะลึง
เขาไม่เคยเห็นหลิ่วอีเซิงหัวเราะมาก่อน
หลิ่วอีเซิงเอ่ยกับเขา “เจ้าไปทำธุระของตัวเองเถิด ข้าไม่เป็นไร”
จวินซิวหานเหลือบมองกู้เจียวพลางเอ่ย “นางฝีมือแก่กล้านัก”
เขาเคยเห็นฝีมือของกู้เจียวมาก่อน รู้ว่านางคือยอดฝีมือผู้น่าสะพรึงกลัวที่บุกโจมตีหันเย่ แต่จากข่าวคราวที่เขาได้ยินมา แม่ทัพหนุ่มที่อยู่ข้างกายนางคงจะเป็นกว้านจวินโหวเซวียนหยวนซี
อีกคนที่ไม่ธรรมดา
หากพวกเขาสองคนทำอะไรไม่ดีกับหลิ่วอีเซิงในค่าย เขาไม่มีทางช่วยได้ทันแน่นอน
“ข้ารู้ดี” หลิ่วอีเซิงเอ่ยเสียงเรียบ
ในเมื่อหลิ่วอีเซิงเอ่ยปากเช่นนั้น จวินซิวหานจึงจำต้องออกไปก่อน
ภายในกระโจมมีเพียงบ่าวรับใช้
“อาหนู” กู้เจียวเหลียวไปมองเขา
หลิ่วอีเซิงอารมณ์ดีไม่น้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เจ้ายังจำได้รึ อาหนู จำแม่นางกู้ได้หรือไม่”
อาหนูพยักหน้า ก่อนจะยกมือคำนับกู้เจียว
เขาเป็นบ่าวใบ้ พูดไม่ได้
เขาเองก็ตัวสูงขึ้นเช่นกัน เป็นองครักษ์ผู้สุขุม
กู้เจียวพยักหน้ารับ
“จิ้งคงใช่หรือไม่” หลิ่วอีเซิงหันไปมองเซวียนหยวนซีที่อยู่ข้างกู้เจียว
เซวียนหยวนซีตาโต “เอ๊ะ ท่านรู้จักข้างรึ”
หลิ่วอีเซิงตอบตามตรง “พวกเราเคยเจอกัน เจ้าลืมแล้วรึ”
เซวียนหยวนฉีจำได้ในทันใด “อ๋อ โจรลักพาตัว พี่หมิงเอ๋อร์! ข้านึกออกแล้ว! ท่านช่วยพวกเราเอาไว้!”
หลิ่วอีเซิงเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้ม “จากนั้น หลายปีมานี้ก็แอบสืบเรื่องของเจ้า”
แต่ไม่ได้ถามว่าสืบเรื่องของตัวเองไปทำไม
เก้าปีก่อน กู้เจียวดีดฉินเพื่อเลี้ยงส่งเขาที่ศาลาเหลียงถิง ครั้งนั้นนางพาจิ้งคงมาด้วย
จิ้งคงถามเรื่องราวของหลิ่วอีเซิงด้วยความอยากรู้ ถึงได้รู้ว่าเขากับกู้เจียวรู้จักกัน
หลังจากกลับไปเขายังอวดกับพี่เขยนิสัยไม่ดีอีกว่า เจียวเจียวดีดพิณร้องเพลงกับพี่อีเซิง ทำเอาพี่เขยตัวดีหึงแทบแย่
หลังจากนั้นพอเขาโตขึ้น ถึงได้รู้ว่าดีดพิณร้องเพลงไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นหลิ่วอีเซิงยังเป่าขลุ่ยกับเจียวเจียวบนรถม้าอีก
เซวียนหยวนซีมุมปากยกสูงพลางเอ่ย “พวกข้ามาเพื่อซัดหน้าท่าน แต่ดูเหมือนท่าน… จะไม่ค่อยน่าต่อยสักเท่าไร”
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นว่าหลิวอีเซิงไม่ได้แผ่รังสีอาฆาตหรือเจตนาร้ายต่อกู้เจียว
เขายิ้ม ราวกับไม่ถือสาความตรงไปตรงมาของเซวียนหยวนซี เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยก่อนจะนั่งลง เอ่ยถามทั้งสองคน “ดื่มชาไหม”
เซวียนหยวนซีไม่อยากดื่ม เขากวาดตามองอาวุธและตำราภายในกระโจมอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ดูได้ตามสบาย” หลิ่วอีเซิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
เซวียนหยวนซีหันมองกู้เจียว เมื่อเห็นกู้เจียวพยักหน้าให้ เขาถึงได้เดินไปเปิดดูตำราและอาวุธเหล่านั้น
กู้เจียวนั่งประจันหน้ากับหลิ่วอีเซิง
หลิ่วอีเซิงยกกาน้ำเดือดบนเตาที่อยู่เพียงเอื้อมมือ ก่อนจะชงชาสามถ้วย
กู้เจียวถาม “เจ้ากับจวินซิวหานรู้จักกันได้อย่างไร”
หลิ่วอีเซิงตอบ “แม่ของเขาเป็นชาวแคว้นเจา ก่อนจะถูกพ่อรับตัวมาที่แคว้นเยี่ยน เคยพักอยู่ในตรอกเดียวกับข้า ทักทายกันเป็นครั้งคราว มีครั้งหนึ่งเขาหิวจนเป็นลม ข้าเป็นคนแบกเขากลับบ้าน”
กู้เจียวเข้าใจในทัน “มิน่าเล่า”
หลิ่วอีเซิงยื่นชาให้กู้เจียวตรงหน้า “ครอบครัวที่แคว้นเยี่ยนของเขาฐานะไม่ดีนัก โชคดีที่เขาขยันหมั่นเพียร สอบติดสำนักบัณฑิตเจียหนาน เรื่องราวหลังจากนั้น เจ้าคงจะพอเดาออก ข้ากับเขาพบกันโดยบังเอิญ รู้เรื่องเจ้าจากปากเขา ข้าจึงเดาว่า ‘เซียวลิ่วหลัง’ คือเจ้า”
กู้เจียวยกถ้วยชาขึ้น “ตอนคัดเลือกทหารม้าเฮยเฟิง เขาช่วยข้าไว้ นับว่ามีบุญคุณต่อกัน”
หลิ่วอีเซิงดึงมือกลับ ชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องนั้นข้าไม่รู้”
กู้เจียวมองเขา “หลายปีมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิ่วอีเซิงยิ้มบาง “อย่างที่เจ้าเห็น ไม่ดีไม่ร้าย เจ้าเล่า สบายดีหรือไม่”
กู้เจียวตอบตามตรง “ดีมาก ข้าชอบยิ่งนัก”
ชอบชีวิตในยามนี้ ชอบทุกเรื่องราวที่พบพาน
เสียงหัวเราะของหลิ่วอีเซิงทั้งสุขทั้งทุกข์ “เขาดีกับเจ้าหรือไม่”
กู้เจียวชะงักไป “สามีข้ารึ ดีกับข้ามาก”
หลิ่วอีเซิงหลบตาลง ดื่มชาหนึ่งอึก “เช่นนั้นก็ดี”
“เจ้าแค้นอิจฉารึ” กู้เจียวถามแทงใจ
หลิ่วอีเซิงกำแก้วชาในมือแน่น ดวงตาจ้องมองใบชาในแก้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “ใช่ ฮ่องเต้แคว้นเจาฆ่าล้างตระกูลหลิ่วของข้า ข้าจะไม่แค้นได้อย่างไร”
“ข้ามีชีวิตอยู่ดั่งสุนัขไม่ปาน ผู้ใดจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็ได้ จะเหยียบย่ำข้าอย่างไรก็ได้”
“ถ้าใครไม่พอใจ ก็จะมาระบายอารมณ์กับข้าและคนใกล้ชิดข้าง”
“มาสิ ข้าไม่มีคนใกล้ชิด มีเพียงแม่นมกับบ่าวใบ้ที่ซื้อตัวมา”
เขาถูกคนปองร้าย กู้เจียวเคยได้ยินและเคยได้เห็น พอได้ยินเขาเอ่ยถึงในยามนี้ ก็พลันรู้สึกว่าเรื่องราวในอดีตนั่นน่ากลัวเพียงใด
ความทุกข์ทนของหลิ่วอีเซิงที่คนทั้งโลกเห็นนั้น อาจเป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เขาถูกรังแกมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นจึงถูกบ่มเพาะขึ้นในใจตั้งแต่ตอนนั้น
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “ตอนนั้นเจ้าไม่ควรช่วยข้า ควรจะปล่อยให้ข้าป่วยตายไปริมถนน แว่นแคว้นคงไม่ล่มสลายเช่นนี้”
“แคว้นเจาไม่มีทางล่มสลาย” กู้เจียวเอ่ย
หลิ่วอีเซิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของกู้เจียว “เจ้าจะรบกับข้าหรือ”
กู้เจียวมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ใช่”
กู้เจียวเอย “ช่วยเจ้าคือหน้าที่ ฆ่าเจ้าคือคำสั่ง”
“เจ้าเป็นหมอที่ดี และเป็นแม่ทัพที่ดีด้วย” หลิ่วอีเซิงวางถ้วยชาที่เย็นชืดในมือลง ก่อนจะลุกยืนขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้นเราเดิมพันสักตั้งไหม หากเจ้าชนะ ข้าจะถอยทัพทันที จะไม่บุกแคว้นเจาไปตลอดกาล หากเจ้าแพ้… เจ้าต้องยอมรับข้อตกลงของข้าหนึ่งอย่าง”
กู้เจียวตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “ได้”
หลิ่วอีเซิงขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้อตกลงคืออะไร”
“ไม่ถาม” กู้เจียวตอบ
หลิ่วอีเซิงกำมมือแน่น “แม่นางกู้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจิตใจคนเรานั้นชั่วช้าเพียงใด เจ้าเป็นเช่นนี้ ทำให้ข้าอยากเอาชนะเจ้าโดยไม่คิดวิธี เจ้าควรจะต่อรองกับข้า ให้ข้ารู้ว่าต่อให้ชนะแล้วก็ไม่อาจได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ บางทีข้าอาจจะไม่อยากเอาชนะขนาดนี้!”
“เดิมพันอะไร”
ทว่ากู้เจียวกลับตอบเขาด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา
“เจ้า…” หลิ่วอีเซิงนิ่งไป เบือนหน้าหนีเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อเงยหันกลับมาใบหน้านั้นนิ่งเรียบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเมิ่ง เจ้าเล่นหมากรุกกับข้าสักกระดาน แพ้ชนะตาเดียว หากเสมอก็ถือว่าเจ้าชนะ”
“ได้” กู้เจียวตอบตกลงในทันใด
หลิ่วอีเซิงมองเซวียนหยวนซีที่กำลังพลิกอ่านตำราบนชั้นหนังสือตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “จิ้งคง ชั้นที่สองของชั้นหนังสือมีกล่องหมากรุกอยู่ ช่วยส่งมาให้ข้าได้หรือไม่”
“อ๋อ ได้” เซวียนหยวนซีหากล่องหมากรุกแล้วยืนให้เขา
เขาตั้งกระดาน ล้วงหมากขาวในกล่องออกมาหนึ่งกำมือแล้วเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าทายก่อน”
กู้เจียวหยิบหมากดำขึ้นมาหนึ่งตัว “คี่”
หลิ่วอีเซิงแบมือ มีหมากสามตัว เป็นจำนวนคี่อย่างที่ว่าจริงๆ คนทายถูกได้ใช้หมากดำ
และหมากดำนั้นเริ่มก่อน
กู้เจียวลงหมาก วางลงบนต่ำแหน่งซิงมู่มุมขวาบน
ตำแหน่งนั้นควบคุมพื้นที่ได้ไม่ดีนัก แต่สามารถตีวงกว้างได้ สมกับนิสัยเฉียบขาดของกู้เจียว
เจ้าแมวเสี่ยวสือนอนขดบนตักกู้เจียว หรี่ตาอย่างสบายตัว
กู้เจียววางหมากไปพลาง เกาแมวไปพลาง ไม่เหมือนกระดานชี้ชะตาแม้แต่นิด กลับกันดูผ่อนคลายยิ่งนัก
หลิ่วอีเซิงยกมือขึ้นวางหมาก สายตากวาดมอบเจ้าเสี่ยวสือ
เสี่ยวสือรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ก่อนจะขดตัวเข้าหาอ้อมกอดกู้เจียว
…
“ใต้เท้า!”
ด้านนอกกระโจม แม่ทัพโม่วิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น เมื่อเห็นกระโจมที่ปิดมิดชิดด้านหลังจวินซิวหาน จึงเอ่ยถามเสียงกระซิบ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เจ้าถามข้า ข้าถามใคร” จวินซิวหานถามกลับ
แม่ทัพโม่ไม่กล้ามีน้ำโหกับคนสนิทของหลิ่วอีเซิง เขาเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างจนปัญญา “ก็ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของใต้เท่านี้ ว่าแต่สองคนนั้นคือใครกัน ข้าเห็นเหมือนพวกเขาสวมเกราะแคว้นเจา หรือว่าเป็นทัพเสริมที่แคว้นเจาส่งมา”
“เรื่องของสองคนนั่นเจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก แล้วก็ยุ่งไม่ได้ด้วย” จวินซวินหานเอ่ย ก่อนจะเสริมต่อ “แม้แต่ข้ายังยุ่งไม่ได้เลย”
นี่ใต้เท้ากำลังหึงอยู่ริ
“แค่กๆ ” แม่ทัพโม่กระแอมให้โล่งคอ “ตอนนี้พวกเราสามารถโค่นแคว้นเจาได้แล้ว จะพลาดไม่ได้นะขอรับ! ทหารม้าพวกนั้นของแคว้นเจาแข็งแกร่งนัก นี่เป็นโอกาสดี หากพลาดครั้งนี้ไปคงยากที่จะบุกแคว้นเจาได้อีก!”
พอเหมาะพอเจาะเหลือเกิน เซวียนผิวโหวไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ถังเย่ว์ซานก็ป้องกันเมืองหลวงอยู่ รัชทายก็เคี่ยวกรำทหารตระกูลกู้เสียน่าอนาถ… คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว
จวินซิวหานเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคิดได้ แล้วใต้เท้าจะคิดไม่ได้หรือ”
แม่ทัพโม่ดวงตาพลันเป็นประกาย “ดังนั้นพวกเราจะบุกต่อใช่หรือไม่ขอรับ”
ภายในกระโจม กู้เจียววางหมากตัวสุดท้าย “ข้าแพ้แล้ว”
หลิ่วอีเซิงเอ่ย “แพ้แค่ครึ่งแต้มเท่านั้น”
กู้เจียวตอบ “ก็คือแพ้อยู่ดี”
แท้จริงแล้วกว่าจะเอาชนะได้นั้นยากเหลือเกิน หมากของนางนั้นเฉียบขาด แทบจะใช้ปัญญาทั้งหมดที่มีเพื่อเขาชนะนางครึ่งแต้ม
กู้เจียวเอ่ย “ข้าแพ้เดิมพัน บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมา”
เซวียนหยวนซีหูตั้ง
หลิ่วอีเซิงจะขออะไรจากเจียวเจียวกันนะ
แววตาที่เขามองเจียวเจียวนั้นต่างจากคนอื่น จะขอให้เจียวเจียวเลิกรากับพี่เขยตัวแสบแล้วมาอยู่กับเขางั้นหรือ หรือว่าเขาจะให้เจียวเจียวเพิกเฉย ไม่ร่วมสงครามระหว่างแคว้นเว่ยและแคว้นเจา
หรือว่าจะให้เจียวเจียวส่งทหารมาช่วยเขายึดทุกแว่นแคว้นใต้ฟ้า
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ หลิ่วอีเซิงกลับลุกยืนขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้ากล่อง ก่อนจะนำกู่ฉินขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ช่วยดีดฉินให้ข้าอีกครั้งได้หรือไม่”
กู้เจียวมองเขาอย่างประหลาดใจ “นี่คือคำขอของเจ้าหรือ”
หลิ่วอีเซิงยิ้มบาง “หากเป็นไปได้ กินข้าวกับข้าอีกสักมื้อ ดูละครด้วยกันสักเรื่อง”
กู้เจียวรับฉินมา
หลิ่วอีเซิงเก็บกวาดโต๊ะ
ปลายนิ้วของกู้เจียวขยับไหว เสียงฉินหวานหูบรรเลงขึ้นจากปลายนิ้วของนาง ดุจดังเสียงจากสวรรค์ ไพเราะดั่งเสียงสายน้ำกลางป่าเขา
นั่นคือเพลงอินทรีย์ผงะที่นางส่งลาเขาในตอนนั้น แต่ที่ต่างออกไปคือคราวนี้นางเพิ่มเพลงเงาตนเข้ามาอีกครึ่งท่อน
หลิ่วอีเซิงเริ่มเป่าขลุ่ยตาม เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ค่ำคืนนั้นที่นางเลี้ยงส่งเขา
เซวียนหยวนซีฟังอย่างดื่มด่ำ นานกว่าจะตั้งสติได้ว่าในมือของตนนั้นกำลังถือวิชาคำนวณที่ลายมือแสนคุ้นเคย ในนั้นมีข้อความที่เจียวเจียวบันทึกเอาไว้
เจียวเจียวเคยให้หนังสือเขาหรือ
คืนนั้นทั้งสามคนกินข้าวด้วยกัน จากนั้นจึงไปดูละครด้วยกันในเมืองต่อ
บทสนทนานั้นใสสะอาดดั่งสายน้ำ ระหว่างพวกเขาไม่มีคำพูดหยอกเอิน ไม่มีท่าทางสนิทสนม แต่กลับสัมผัสได้ถึงความรู้ใจโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย
“ข้าต้องกลับแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
หลิ่วอีเซิงมองนางอย่างลึกซึ้ง “ระวังตัวด้วย”
จากกันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้เจอกันอีกหรือไม่
กู้เจียวพยักหน้ารับ ส่งเจ้าเสี่ยวสือที่กอดมาตลอดทางไม่ยอมวางมือคืนให้กับหลิ่วอีเซิง นางและเซวียนหยวนซีต่างคนต่างขึ้นม้าจองตัวเอง
หลิ่วอีเซิงเอ่ยรั้งนาง ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ดวงตาของเขาเปล่งประกายดั่งดาวเหนือ “แม่นางกู้ ขอบคุณที่ตอนนั้นมอบหนังสือให้ข้า”
…
สามวันต่อมา ทัพใหญ่แคว้นเว่ยถอนกำลัง
กองทัพที่จ่ออยู่ทั้งสิบเอ็ดเมือง ก็ถอยทัพกลับไปทั้งหมด
หลิ่งอีเซิงไม่ได้นำสิ่งใดไปจากแคว้นเจาเลย กระเป๋าเดินทางของเขานั้นแสนเรียบง่าย นอกจากเสื้อผ้าหนึ่งชุดแล้วก็มีแมวหนึ่งตัวในอก และหนังสือสิบเอ็ดเล่มมีนางมอบให้เขา
ได้พบเจ้าในยามที่ชีวิตแสนสุดจะอเนจอนาถ
แต่เจ้ากลับมิได้ก้าวข้ามร่างเหม็นเน่าในโคลนตมนั้นอย่างเย็นชา
เจ้าโน้มงามนั้นลงมา ยื่นฝ่ามือบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นมาให้ข้า