สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 250 คลั่งน้องสาว
บทที่ 250 คลั่งน้องสาว
เฝิงหลินเอ่ยด้วยความอิจฉา “อิจฉาเจ้าชะมัดที่ได้นั่งกับลิ่วหลัง”
หมายเลขลำดับของทั้งสองคนนั้นติดกัน หากไม่ได้นั่งถัดกันหน้าหลัง ก็อาจเป็นซ้ายหรือขวา
ตู้รั่วหานกลอกตามองบน “มีอะไรน่าอิจฉากัน หากเจ้าอยากได้ ข้าเปลี่ยนที่นั่งกับเจ้าก็ได้!”
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ตอนเป็นเด็กเขาสนิทกับเฝิงหลินที่สุดแท้ๆ เจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นเป็นแค่คนนอก รู้จักได้ไม่นาน เหตุใดถึงเบียดตำแหน่งจนเขาตกอันดับไปได้
เฝิงหลินจึงตอบไปว่า “ข้าเองก็อยากเปลี่ยนอยู่หรอก แต่ผู้คุมสอบต้องอนุญาตก่อนเนี่ยสิ”
หลินเฉิงเย่เองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอิจฉาเช่นกัน เขาเองก็อยากนั่งข้างเซียวลิ่วหลังนี่นา
ตู้รั่วหานเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่เข้าใจเลยสักนิด พวกเจ้าสองคนนี่อย่างไรกัน ทำอย่างกับนั่งข้างเขาแล้วจะลอกข้อสอบเขาได้อย่างนั้นน่ะ”
เฝิงหลินส่งสายตาสื่อความหมายที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดให้แก่เขา “เจ้าไม่เข้าใจหรอก แค่ได้นั่งข้างลิ่วหลัง ข้าก็มีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว”
หลินเฉิงเย่พยักหน้า
เขาเองก็เห็นด้วย
เฝิงหลินเป็นคนอำเภอซ่ง แม้ครอบครัวเขาจะอยู่ในตัวอำเภอ แต่ความจริงแล้วปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษล้วนแต่มาจากชนบทกันทั้งหมด ว่ากันตามตรงเขาก็เป็นแค่ลูกหลานคนจนจากบ้านนอกคอกนา ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน
การสอบระดับเตี้ยนซื่อใกล้จะมาถึงแล้ว เขาก็ใกล้จะเห็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเจาตัวเป็นๆ แค่คิดแข้งขาก็อ่อนแรงไปหมด
หลินเฉิงเย่เองแม้จะเป็นลูกหลานตระกูลเศรษฐีระดับต้นๆ ของอำเภอในเมืองโยวโจว แต่ศักดินาของพ่อค้านั้นต่ำต้อยมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว จึงไม่ได้เป็นที่นับหน้าถือตาจากคนทั่วไป
ยามบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนเอ่ยถึงเขา ล้วนแต่พูดว่าก็แค่ที่บ้านมีทรัพย์สินเงินทอง ถึงขนาดมีคนพูดว่าที่เขาสอบติดครั้งนี้ก็เพราะใช้เงินซื้อมา
เอาเป็นว่าหลินเฉิงเย่กลัวการพบฮ่องเต้มากกว่าเฝิงหลินก็แล้วกัน
เซียวลิ่วหลังหันไปหาทั้งสองพลางเอ่ย “พวกเจ้าอย่าเพิ่งคิดมาก สอบไปตามปกติก็พอ ฮ่องเต้มิใช่งูพิษหรือสัตว์ป่าเสียหน่อย ไม่มีทางลงโทษผู้เข้าสอบเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นหรอก”
ตู้รั่วหานเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เจ้าเองก็ไม่เคยเจอฮ่องเต้ เจ้าจะรู้ได้อย่างไร”
เซียวลิ่วหลังไม่ตอบ
ความจริงแล้วคนที่ควรรู้สึกกดดันต้องเป็นเขาต่างหากถึงจะถูก เขามีลางสังหรณ์ว่า หากเขาเข้าวังหลวงไป ต้องเป็นที่จับตามองของฮ่องเต้เป็นแน่
แม้เขาจะเตรียมใจรับมือไว้แล้ว แต่เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าฮ่องเต้จะมาไม้ไหน
เฝิงหลินยอมแพ้ตู้รั่วหานแล้วจริง ๆ เหตุใดถึงเอาแต่พูดจากระทบกระเทียบลิ่วหลังอยู่ได้ เฝิงหลินเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว รีบกลับกันเถิด เสี่ยวตู้จื่อเจ้าจะกลับไปที่จวนหรือไปกับพวกข้า พวกข้าตั้งใจว่าจะไปเก็งข้อสอบกันที่เรือนของลิ่วหลัง”
เดิมทีตู้รั่วหานอยากจะบอกว่าไม่ไป แต่เหมือนคิดอะไรได้บางอย่างจึงถามออกไป “กู้เจียวอยู่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังหันไปหาเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “นางไม่อยู่”
ตู้รั่วหาน “…”
สุดท้ายตู้รั่วหานก็ไปอยู่ดี จวงมู่จือเป็นคนหัวโบราณคนหนึ่ง เขาไม่เก็งข้อสอบอะไรพรรค์นั้นหรอก เขาคิดว่าคนเราจะสอบได้หรือไม่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับโชคชะตา แต่มาจากความสามารถทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ความจริงแล้วที่ตู้รั่วหานมีทุกวันนี้ได้ นอกจากความสามารถของตัวเองแล้ว เขานั้นได้ทุ่มเทมากกว่าคนอื่นอย่างที่ว่าจริงๆ
จวงมู่จือไม่เคยแนะเคล็ดวิชาการทำข้อสอบแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนแต่เป็นฝีมือจากปลายพู่กันของตู้รั่วหานทั้งสิ้น
วันนี้กู้เจียวไม่อยู่บ้าน
นางเพิ่งได้รับจดหมายจากเซวียหนิงเซียง ในจดหมายของเซวียหนิงเซียงเล่าว่า แม่ยายที่บ้านร่างกายไม่สู้ดีแล้ว ขอวานนางช่วยส่งจดหมายนี้ให้โจวเอ้อร์จวง ให้เขากลับมาให้แม่บังเกิดเกล้าได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่
สุขภาพร่างกายของแม่สามีของเซวียหนิงเซียงเป็นอย่างไร กู้เจียวเองก็รู้ดี เป็นโรคคนแก่ทั่วไป อวัยวะภายในต่างๆ ก็ล้วนแต่สึกหรอ ยาขนานใดก็ไม่อาจยื้อไว้ได้
กู้เจียวไม่รู้สถานการณ์ในค่ายทหารมากนัก ไม่แน่ใจว่าโจวเอ้อร์จวงจะลาหยุดเพื่อกลับบ้านได้หรือไม่ ได้ยินมาว่าหากลาเพราะบุพการีตายจากนั้นย่อมได้ แต่ตอนนี้แม่ยายของเซวียหนิงเซียงก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วก็ตัดสินใจไปยังค่ายทหาร
รองแม่ทัพหูถูกย้ายกลับมาประจำที่ค่ายใหญ่หู่ซานแล้ว กู้ฉังชิงเองก็อยู่ที่ค่ายแห่งนี้ กู้เจียวไม่รบกวนเขา จึงฝากทหารเวรช่วยบอกข่าวกับโจวเอ้อร์จวง บอกว่าตนเองรอเขาอยู่ที่หน้าประตูค่าย
โจวเอ้อร์จวงได้กลายเป็นองครักษ์ข้างกายของรองแม่ทัพหูแล้ว ตำแหน่งสูงกว่าตอนแรกเริ่มอยู่มากโข ไม่มีผู้ใดกล้ามองข้ามเขาแล้ว
กู้เจียวรอไม่นาน กู้ฉังชิงก็ออกมาจากค่าย
เดิมทีกู้ฉังชิงกำลังฝึกซ้อมอยู่ แต่เขาเป็นฝ่ายฝึกซ้อมให้กับคนอื่น หากเดินออกมาจากค่ายจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
“บังเอิญนัก” กู้เจียวเอ่ยทักทายเขา
กู้ฉังชิงพยักหน้ารับ
ความจริงแล้วใช่เรื่องบังเอิญเสียที่ไหน มีใครบางคนตั้งใจต่างหาก
กู้ฉังชิงกำชับกับทหารเวรยามตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว หากมีหญิงสาวแซ่กู้มาที่ค่ายใหญ่หู่ซานต้องแจ้งให้เขาทราบทุกครั้ง
ทหารเวรยามคนเมื่อครู่บอกข่าวกับกู้ฉังชิงก่อน จากนั้นถึงจะไปบอกให้กับโจวเอ้อร์จวงได้รู้ด้วยซ้ำ
กู้ฉังชิงเห็นนางถือจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในมือจึงเอ่ยถามขึ้น “มาส่งจดหมายให้โจวเอ้อร์จวงหรือ”
กู้เจียวพยักหน้า “ใช่แล้ว จดหมายจากที่คนบ้านเขาน่ะ แม่ของเขาป่วยหนัก อยากจะเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ค่ายทหารพวกเจ้าลาหยุดยากหรือไม่”
“ไม่ยากหรอก” กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเรียบ
ทหารเวรยามที่ยืนอยู่ด้านข้างอ้าปากข้าง เป็นถึงเจ้าคนนายคน พูดโกหกหน้าตาเฉยเช่นนี้จะดีหรือท่าน
ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งค่ายหู่ซานขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา องครักษ์ตัวกระจ้อยร่อยอย่างโจวเอ้อร์จวงหากจะขอลาหยุดพักนั้นยากเสียงยิ่งกว่าตะกายขึ้นฟ้า เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่อยากอยู่ในค่ายนี้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นกลับมาแล้วต้องถูกลดตำแหน่งอย่างแน่นอน
กู้ฉังชิงยื่นมือออกมา “มาเอาให้ข้าเถิด เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะบอกกับเขาเอง”
กู้เจียวคิดอยู่นาน “ก็ได้ เช่นนั้นก่อนกลับเจ้าบอกให้เขาแวะมาที่โรงหมอด้วย ข้ามีของจะฝากกลับไปด้วยน่ะ”
กู้ฉังชิงรับคำแล้วรับจดหมายมา เมื่อส่งกู้เจียวขึ้นรถม้าจนลับตาไปถึงได้หันหลังเดินกลับเข้าไปในค่าย
รองแม่ทัพหูไม่ใช่ลูกน้องเขา แต่ก็ไม่นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาเช่นกัน เขาเป็นคนของแม่ทัพเหลียง ส่วนรองแม่ทัพหูอยู่ภายใต้กำกับของแม่ทัพฉิน
เขากับแม่ทัพฉินและรองแม่ทัพหูปกติแล้วก็ไม่พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
เขาครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ไปยังกระโจมของรองแม่ทัพหู ก่อนจะบอกเรื่องราวของโจวเอ้อร์จวงกับอีกฝ่าย “…น้องสาวของข้ากับพี่สะใภ้ของเขารู้จักกันมานาน”
กู้ฉิงชิงสบโอกาสอธิบายว่าเหตุใดตนเองถึงได้ช่วยเหลือโจวเอ้อร์จวงหลายต่อหลายครั้ง
รองแม่ทัพหูถึงได้เข้าใจในทันที มิน่าล่ะโจวเอ้อร์จวงถึงสามารถไหว้วานซื่อจื่อแห่งจวนติ้งอันโหวมาบอกกล่าวด้วยตัวเองเช่นนี้ได้ ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอยู่
โจวเอ้อร์จวงเป็นลูกหลานชาวนายากจนจากชนบท พี่สะใภ้ของเขาก็เป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน คนรู้จักกันตั้งแต่สมัยก่อนของเขาก็ย่อมมาจากบ้านนาเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้รองแม่ทัพหูได้ยินเรื่องที่ลูกสาวท่านโหวถูกอุ้มผิดตัวตอนคลอดและเติบโตมากับเหล่าชาวบ้านแล้ว จึงคิดว่าคงเป็นนางแน่นอน
เรื่องภายในครอบครัว กู้ฉิงชิงก็พูดเท่าที่ควรพูด รองแม่ทัพหูเองก็รู้จักกาลเทศะไม่ถามซักไซ้ไล่เลียง เขายิ้มพลางเอ่ย “เจ้าหนุ่มนี่อยู่ใกล้ชิดข้ามาหลายปี ลำบากลำบนมาไม่น้อย จิตใจกล้าหาญ สร้างคุณงามความดีไว้พอตัว มีอยู่ปีหนึ่งเขาไปส่งจดหมายให้ข้าที่โยวโจว แต่เพื่อไม่ให้การทหารล่าช้า จึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้าน… คราวนี้ก็คงควรให้เขาได้ลาหยุดแล้วล่ะ”
ในคำพูดนั้นมีบางส่วนที่ใส่สีตีไข่ไม่มากก็น้อย
เรื่องที่โจวเอ้อร์จวงหนักเอาเบาสู้นั้นเป็นความจริง ปราบศัตรูอย่างห้าวหาญก็มิใช่เรื่องโกหก แต่เรื่องที่ว่ามีโอกาสได้เยี่ยมบ้านแต่กลับไม่ไปนั้น…ดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย
ตอนนั้นเขาล่องเรือผ่านรอบนอกของโยวโจว ห่างจากหมู่บ้านชิงเฉวียนนับร้อยลี้
กู้ฉังชิงเองก็รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก “เรื่องนี้น้องสาวข้าเป็นคนขอร้องมา เช่นนั้นแล้วรบกวนใต้เท้าหูด้วย”
ซื่อจื่อผู้นี้คำก็น้องสาวสองคำก็น้องสาว พูดถึงน้องสาวไม่หยุดปาก สนิทกันขนาดนั้นเชียวหรือ
นางเติบโตมาในชนบท คงได้พบหน้ากันไม่กี่ครั้งเองมิใช่หรือ
ในค่ายทหารกู้ฉังชิงได้รับขนานนามว่าพยายมหน้าตาย ไม่เคยมีใครได้ยินเขาเอ่ยถึงคนในครอบครัวจากปากเขา รวมไปถึงน้องชายร่วมมารดาสองคนนั้นและน้องสาวที่ชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้น
นึกว่าเขาไม่ถูกกับน้องชายน้องสาวเสียอีก พอได้เห็นท่าทางเขาพูดถึงน้องสาววันนี้ แววตาช่างดูอ่อนโยนเสียเต็มประดา
รองแม่ทัพหูขยี้จมูกไปมา
วันนี้มีแต่เรื่องประหลาดแท้
ทว่านายพลผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด ถึงขั้นมาหาพบเขาด้วยตนเองแบบนี้ รองแม่ทัพหูเองก็รู้สึกดีใจแต่ก็แปลกใจอย่างบอกไม่ถูก เรื่องวันนี้เท่ากับว่ากู้ฉังชิงติดหนี้บุญคุณเขาแล้วสินะ
ส่วนจะบอกกับผู้บังคับบัญชาอย่างไร เขาเองก็พอจะมีเหตุผลที่เหมาะสม
วันต่อมา โจวเอ้อร์จวงแบกสัมภาระขึ้นหลังแล้วแวะไปที่โรงหมอ
“ขอประทานโทษ กู้เจียวเหนียงอยู่หรือไม่”
เขาถามผู้ดูแลหวัง
ผู้ดูแล้วหวังหันไปมองกู้เจียวที่กำลังตรวจลิ้นชักยาอยู่พลางเอ่ย “แม่นางกู้ มีคนมาหาเจ้าน่ะ!”
“ยาพวกนี้เริ่มชื้นแล้ว เอาออกไปตากแดดเสียหน่อย” กู้เจียวสั่งการเด็กจัดยาเสร็จ ก็หันกลับมาพลางเดินไปทางโต๊ะรับรอง “ผู้ใดมาหาข้าหรือ”
ผู้ดูแลหลังชี้ไปที่โจวเอ้อร์จวง
โจวเอ้อร์จวงมองกู้เจียวตาค้าง
นี่…นี่…นี่…นี่คือ…เจียวเหนียงอย่างนั้นหรือ
ไม่เหมือนกับในความทรงจำของเขาเลยสักนิด!
แม้เซวียหนิงเซียงจะย้ำในจดหมายแล้วครั้งหนึ่งว่าโรคสติฟั่นเฟือนของกู้เจียวนั้นหายดีแล้ว เป็นเหมือนหญิงสาวปกติทั่วไป แต่โจวเอ้อร์จวงก็ไม่อาจเชื่อมโยงหญิงสาวตรงหน้ากับเด็กปัญญาอ่อนในความทรงจำของเขาได้เลย
ช่างแตกต่างกัน…เหลือเกิน
หากจะบอกว่ามีเอกลักษณ์บางอย่างที่ไม่เปลี่ยนไป ก็คงจะเป็นปานบนใบหน้า
“โจวเอ้อร์จวงหรือ” กู้เจียวคาดเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เอ่อ ใช่แล้ว! ข้าคือโจวเอ้อร์จวง!” โจวเอ้อร์จวงตอบกลับด้วยความประหม่า ยามอยู่ใกล้ชิดกับรองแม่ทัพหูเขาก็ได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ต่างๆ มาบ้าง การจ้องคนอื่นไม่วางตาเช่นนี้เป็นเรื่องเสียมารยาทมาก
ถึงกระนั้นกู้เจียวก็ไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด นางมองห่อผ้าที่เขาสะพายอยู่บนหลัง “เจ้าจะออกเดินทางแล้วหรือ”
โจวเอ้อร์จวงตอบ “อืม รองแม่ทัพหูมอบหมายภารกิจให้ข้าทำพอดี ให้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับผู้ตรวจการลู่ที่โยวโจวน่ะ ต้องไปส่งให้ถึงมือผู้ตรวจการลู่ รองแม่ทัพหูอนุญาตให้ข้ากลับบ้านได้หลังจากส่งจดหมายเสร็จ”
ฟังดูเป็นการเป็นงานไม่เลว
นับว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่และถือโอกาสกลับบ้านไปด้วย ย่อมดีกว่าขอลาหยุดเป็นไหนๆ
กู้เจียวไม่รู้เลยว่านี่คือผลจากการเจรจาต่อรองของกู้ฉังชิง นางบอกกับโจวเอ้อร์จวง “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้ามีของที่จะรบกวนฝากเจ้าเอากลับไปด้วย”
“ได้เลย!”
กู้เจียวกลับไปที่เรือนเล็กแล้วหยิบห่อผ้าห่อใหญ่ออกมา ก่อนจะบอกกับเขาว่าภายในมีอะไรเป็นของเซวียหนิงเซียงบ้าง อะไรเป็นของเจ้าสำนักหลีบ้าง อะไรเป็นของหลัวหลี่เจิ้งบ้าง
สุดท้ายยังให้เงินค่าเดินทางกับโจวเอ้อร์จวงอีกด้วย
โจวเอ้อร์จวงรีบปฏิเสธในทันใด “ปกติเจ้าก็ให้ของเล็กๆ น้อยๆ ข้ามาตลอด นั่นก็มากพอแล้ว! ข้ารับค่าเดินทางจากเจ้าไม่ได้หรอก! อีกอย่างคราวนี้ข้าไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย รองแม่ทัพหูก็ให้เงินข้ามาแล้ว!”
แถมยังให้มาไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใบบุญของกู้ฉังชิงด้วย เพียงแต่รองแม่ทัพหูไม่ได้บอกให้เขารู้ก็เท่านั้น
ในเมื่อเขายืนกรานว่าจะไม่รับ กู้เจียวเองก็ไม่ยัดเยียด “เช่นนั้นก็ได้ เดินทางปลอดภัยล่ะ”
“อื้ม! เช่นนั้นข้าไปล่ะ!”
จู่ๆ โจวเอ้อร์จวงก็นึกดีใจที่ตนเองไม่เคยรังแกกู้เจียวยามเป็นเด็ก ได้พบกับนางแล้วจึงได้รู้ว่านางเป็นคนใจกว้างเลยทีเดียว ซึ่งเขาเองก็…ประหลาดใจไม่น้อย
โจวเอ้อร์จวงเดินออกไปไกลแล้วแต่ก็ยังเหลียวกลับมามองอย่างอดไม่ได้
หลายวันมานี้กั๋วจื่อเจียนไม่ได้หยุดเรียน แต่เหล่าผู้เข้าสอบระดับเตี้ยนซื่อส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าเรียนกันแล้ว ล้วนแต่เตรียมใจอยู่ที่หอพักหรือไม่ก็บ้านของตัวเอง
เนื้อหาข้อสอบระดับเตี้ยนไม่ได้มีมากนัก สอบเพียงแค่สองวิชา ไม่ยากไปกว่าการสอบก่อนหน้านี้มากนัก ประเด็นอยู่ที่การแย่งชิงของแต่ละฝักฝ่ายและการความชอบส่วนตัวของฮ่องเต้เท่านั้น
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ความสามารถของแต่ละคนนั้นอยู่ระดับไหนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ จะมาไหว้พระขอพรเอาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว สู้ทำให้สบายเสียจะดีกว่า รักษาตัวให้ดี
เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ได้ไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน แต่จะไปรับเสี่ยวจิ้งคงตอนเขาเลิกเรียนก็เท่านั้น
ยามบ่ายวันนี้ ชั้นปฐมวัยเรียนเตะชู่จวี มีการแข่งขันเตะชู่จวีสนามเล็กๆ ทำให้เลิกช้าไปกว่าหนึ่งชั่วยาม กว่าเสี่ยวจิ้งคงจะออกมาฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
เซียวลิ่วหลังเห็นเจ้าหนูน้อยหัวชุ่มเหงื่อ จึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาอย่างระอา “เอาไปเช็ดเอง”
เสี่ยวจิ้งคงยู่ปากเอ่ย “เจียวเจียวยังเช็ดให้ข้าทุกครั้งเลย!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เซียวลิ่วหลัง “เช็ดเอง”
เสี่ยวจิ้งคงงอแงด้วยความเกียจคร้าน “ข้าเหนื่อย เหนื่อยมาก!”
เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเหนื่อยนี่นา
เซียวลิ่วหลังยักคิ้วพลางคว้าตัวเจ้าหนูน้อยเข้ามาใกล้ก่อนจะเช็ดเหงื่อให้กับเขา
หลังจากนั้นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็พากันกลับบ้าน
ทว่าเรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญก็เกิดขึ้น รถม้าจากวังหลวงที่มารับฉินฉู่อวี้ก็มาถึงพอดี
ม่านรถถูกแหวกออก ร่างอรชรเดินลงมาจากรถ หากไม่ใช่ไท่จื่อเฟยแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
ปกติแล้วไท่จื่อเฟยไม่ลงจากรถม้า ทว่าวันนี้อบอ้าวเสียเหลือเกินจึงตั้งใจลงมาสูดอากาศเสียหน่อย ไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้พบหน้ากับเซียวลิ่วหลังเข้า
เซียวลิ่วหลังไม่ได้สวมเครื่องแบบบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียน แต่สวมชุดยาวสีขาวแสนสง่า
ไท่จื่อเฟยเองก็ชะงักไปเช่นกัน
ไท่จื่อเฟยเคยเห็นเซียวลิ่วหลังจากไกลๆ บนรถม้า ทว่าความรู้สึกช่างแตกต่างกับยามได้เห็นใกล้ๆ เช่นนี้ลิบลับ
ตอนนั้นเห็นเพียงแค่ใบหน้าด้านข้างรำไร แต่วันนี้นางได้ประจันหน้ากันตรงๆ
มีวูบหนึ่งที่นางรู้สึกเหมือนได้พบกับท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาผู้ปราดเปรื่องอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรูปงามกว่านิดหน่อย มีทั้งเสน่ห์เยาว์วัยของเด็กหนุ่มและมาดนิ่งขรึมของผู้ใหญ่ผสมกันอยู่
เพียงได้เห็นก็ไม่อาจละสายตาได้
นางข้าหลวงทั้งสองคนเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ชะงักงันกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเซียวลิ่วหลัง
ทว่าไม่นาน ทั้งสามคนก็สังเกตเห็นเสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ข้างกายเซียวลิ่วหลัง
ไท่จื่อเฟยเคยเจอเสี่ยวจิ้งคงมาก่อน เขากับฉินฉู่อวี้และสวีโจวโจวหลานชายของซ่างซูกรมทหารเคยพากันตะลุมบอนลูกชายของชินอ๋องแคว้นเหลียง
ได้ยินมาว่าเป็นคนสามัญ
มีความสัมพันธ์กับเขาคนนี้ด้วยหรือนี้
เขาคนนี้ เป็นเพียงแค่คนที่หน้าตาเหมือนท่านโหวน้อยอย่างนั้นจริงๆ หรือ
เสี่ยวจิ้งคงยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเซียวลิ่วหลัง ถูกเซียวลิ่วหลังบังสายตาไว้จึงไม่เห็นไท่จื่อเฟย
ส่วนเซียวลิ่วหลังเองก็ทำราวกับมองไม่เห็น จูงมือเสี่ยวจิ้งคงเดินผ่านไท่จื่อเฟยโดยไม่ชายตามองแม้แต่นิด
ไท่จื่อเฟยมองตามเขาไม่วางตา นางหันไปมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังถือไม้เท้าเดินไกลออกไป ทันใดนั้นก็โพล่งถามนางข้าหลวงข้างกายขึ้นมาว่า “คราวก่อนเจ้าบอกว่า เด็กสามัญชนคนนั้นถูกใครรับตัวกลับไปนะ”
นางข้าหลวงค้อมตัวลงพลางตอบ “ทูลไท่จื่อเฟย เซวียนผิงโหวเพคะ”