สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 180 สายใยพ่อลูก
รองเจิ้งสาวเท้าไปยังห้องที่เซียวลิ่วหลังและเสี่ยวจิ้งคงอยู่ในนั้น
เสี่ยวจิ้งคงรอจนง่วงนอน เอียงหัวผล็อยหลับไปในอ้อมอกของเซียวลิ่วหลัง
รองเจิ้งเปิดประตูเดินเข้ามา พอเห็นคนก่อเรื่องนอนกลับสบายใจเฉิบ ก็เกิดบันดาลโทสะ เลยคิดจะตะโกนให้เขาสะดุ้งตื่น
ทันใดนั้นเอง เซียวลิ่วหลังพลันหันไปจ้องรองเจิ้งด้วยสายตาอาฆาต!
รองเจิ้งสาบานว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นแววตาน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ราวกับต้องการจะเชือดเขาให้ตายกันไปข้าง!
เสียงของเขาจึงเกิดผลุบหายไปในลำคอ
เซียวลิ่วหลังวางร่างคนตัวเล็กลงบนม้านั่งสองตัว ก่อนจะนำเสื้อคลุมเล็กๆ มาคลุมเขา แล้วเดินออกจากห้องเรียน
จากนั้นก็ปิดประตูห้องเรียนอย่างสนิท
พอรองเจิ้งรู้ตัวเข้า ก็แผดเสียงใส่ “เซียวลิ่ว..”
“จะคุยอะไรก็ไปคุยกันตรงนั้น” เซียวลิ่วหลังพูดเชือดตัดบทนิ่มๆ ก่อนจะเดินออกไปที่ห้องเรียนอีกฝั่ง
ถึงเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ แล้ว จึงไม่มีคนอยู่ตามห้องเรียน เซียวลิ่วหลังหาพื้นที่นั่งริมหน้าต่าง จะได้เอาไว้คอยสังเกตการณ์เสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงนอนหลับสนิท โดยมีเหยี่ยวน้อยอยู่ข้างๆ
อาจารย์ซุนกลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน เลยเดินตามเข้ามา แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไป ได้แต่ยืนมองห่างๆ
ที่รองเจิ้งมาในวันนี้ เขามีจุดประสงค์ที่ชัดเจน จึงเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “เซียวลิ่วหลัง เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีก คราวนี้ไม่ใช่เด็กสองคนเดินชนกันโดยไม่เจตนาแบบคราก่อนแล้วนะ”
ครั้งก่อนเด็กๆ ไม่ทันระวัง แต่ครั้งนี้ล่ะ
ใครใช้ให้เด็กพาสัตว์ดุร้ายปานนั้นเข้ามาในสถานศึกษากันล่ะ
เซียวลิ่วหลังไม่ต่อปากต่อคำกับรองเจิ้ง เขาทำหน้านิ่ง พลางเอ่ย “แล้วท่านคิดจะทำอย่างไรล่ะ ทั้งเรื่องที่ใช้อำนาจอย่างผิดๆ รวมถึงกิจต่างๆ ที่อุปโลกขึ้นมา”
รองเจิ้งฉุนขาดจนเกือบจะล้มหงายหลัง “พูดเยี่ยงนี้หมายความอย่างไร ข้าเป็นถึงรองผู้อำนวยการสำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนนะ เป็นขุนนางของที่นี่ และเป็นอาจารย์ของเจ้า! ข้ายังไม่ทันเอ่ยปากสั่งสอนเจ้า ดันสะเออะมาสั่งสอนข้าเสียนี่! เหอะ ข้าจะบอกเอาบุญให้เจ้าฟังนะ เด็กอย่างเจ้าน่ะ อยู่กั๋วจื่อเจียนได้ไม่นานหรอก!”
อาจารย์ซุนเริ่มหน้าเสีย
เรื่องที่เกิดขึ้น ว่ากันตามตรงแล้ว เป็นความผิดของจิ้งคง ต่อให้ฉินฉู่อวี้ล้อเลียนเขาแรงแค่ไหน แต่เสี่ยวจิ้งคงก็ไม่ควรนำสัตว์ดุร้ายเข้ามายังกั๋วจื่อเจียน ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎ
แต่หากจะไล่เขาออกด้วยเหตุผลนี้ ก็ดูจะเกินไปหน่อย
และไม่ใช่แค่นั้น
เซียวลิ่วหลังทำอะไรผิดอย่างนั้นรึ
อย่างน้อยก็ไม่ควรจะใช้วิธีการนี้สั่งสอนนี่นา
เซียวลิ่วหลังไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำพูดของรองเจิ้งเลยแม้แต่นิด แล้วหันไปถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เช่นนั้น ข้าขอถาม กฎข้อไหนของกั๋วจื่อเจียนกำหนดให้ท่านไล่นักเรียนออกได้ตามอำเภอใจ”
ตามกฎแล้ว บัณฑิตที่กระทำผิดฉ้อโกง และมีคดีอาญาต่างๆ จึงจะสามารถถูกไล่ออกได้
ส่วนชั้นเรียนปฐมวัยไม่มีกฎเช่นนั้น
โดยเฉพาะกับชั้นเรียนเด็กพิเศษ
เสี่ยวจิ้งคงนำสัตว์ดุร้ายเข้ามาในสถานศึกษา เป็นโทษสถานเบา ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอย่างใด หากว่ากันตามกฎแล้ว ลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือนก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้น การไล่ออกจึงไม่มีทางได้ผล
รองเจิ้งรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นจะต้องพูดเช่นนั้น เขาเลยคิดแผนรองรับเอาไว้แล้ว
กฎของกั๋วจื่อเจียนมีไว้สำหรับคนทั่วไป แต่ฉินฉู่อวี้หาใช่คนทั่วไปไม่
เขาเป็นองค์ชาย!
หากกระทำการใดที่ล่วงเกิน ก็มีสิทธิ์โดนโทษสถานหนักได้!
รองเจิ้งหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยือก ก่อนเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กคนนั้นเป็นใครมาจากไหน พูดออกไปเจ้าต้องผงะแน่ๆ ! เขาเป็นองค์ชาย! ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าบุตรหลานของเจ้าก่อเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น ที่ข้าไล่เจ้าทั้งสองคนออกไปเพื่อช่วยพวกเจ้า! หากข้าลงโทษสถานเบากับพวกเจ้า เกิดคนในวังไม่พอใจ เกรงว่าหัวเจ้าจะหลุดออกจากบ่าเอาน่ะสิ!”
รองเจิ้งคิดแค่ว่าเซียวลิ่วหลังเป็นเด็กจากชนบท พอพูดถึงเบื้องสูงเขาจะต้องตกใจกลัวแน่ๆ
แต่เซียวลิ่วหลังกลับเอ่ยย้อนอย่างไม่เกรงกลัว “ได้สิ เช่นนั้น ท่านก็ไปตามฝ่าบาทมาสิ แล้วดูกันว่าพระองค์จะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร”
รองเจิ้งถึงกับพูดไม่ออก
เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร ไม่กลัวเลยรึ
แล้วจะให้เขาไปตามฝ่าบาทมารึไง
ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่เข้าข้างองค์ชายเจ็ดหรืออย่างไร เพียงแต่ว่า หากเรื่องแค่นี้เขายังจัดการเองไม่ได้ แล้วฝ่าบาทจะทรงไว้ใจมอบตำแหน่งจี้จิ่วให้เขาได้อย่างไร
รองเจิ้งเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “เหอะ สิ่งที่เจ้าพูดน่ะไร้ประโยชน์ ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้พวกเจ้าทั้งสองจะต้องออกจากกั๋วจื่อเจียน!”
รองเจิ้งเตรียมแผนการพาตัวเองไปสู่ตำแหน่งจี้จิ่วไว้แล้ว!
เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความเห็นของเซียวลิ่วหลังอีกต่อไป
รองเจิ้งร่างจดหมายไล่ออกไว้เรียบร้อยพร้อมกับตราประทับ ขอแค่อาจารย์สองคนลงนามไว้ก็เพียงพอแล้ว!
รองเจิ้งหยิบจดหมายขึ้นมา พลางเอ่ย “อาจารย์ซุน วานไปหยิบหมึกกับพู่กันมาที”
อาจารย์ซุนลังอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยอมทำตาม “ขอรับ”
เขาเดินออกไป
ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับชุดปากกาและน้ำหมึก
“ลงนามสิ” รองเจิ้งยื่นจดหมายให้เขา
เป็นจดหมายของเสี่ยวจิ้งคง
อาจารย์ซุนเริ่มลังเลอีกครั้ง
พูดว่ากันตรงๆ เขาทำไม่ลงหรอก
แม้ครั้งนี้เสี่ยวจิ้งคงจะซนเกินไปหน่อย แต่ปกติเขาเป็นเด็กที่น่ารัก แถมยังเรียนหนังสือเก่ง ทำคะแนนออกมาได้ดีสุดของห้อง เป็นเด็กที่มีอนาคตไกลมากๆ
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กดีขนาดนี้ ใครกันจะไม่หลงรัก
เพียงแต่ ดันมามีเรื่องกับองค์ชายเจ็ดเสียอย่างนั้น
น่าเสียดายยิ่งนัก
อาจารย์ซุนจำยอมก้มหน้าลงนาม
หากลงนามแล้ว ไม่มีทางจะหวนคืนกลับไปได้อีก
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเตือนเบาๆ “อาจารย์ซุนคิดดีแล้วใช่หรือไม่ ท่านกำลังช่วยคนผิดอยู่ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน”
ความคิดในหัวของอาจารย์ซุนเริ่มตีกันอย่างหนัก
“รีบลงนามสิ!” รองเจิ้งตะโกนเร่ง
อาจารย์ซุนกัดฟัดแล้วยกพู่กันขึ้น จากนั้นลงนามตนเอง ขณะที่กำลังจะประทับลายนิ้วมือ จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอก เป็นเสียงของซูกงกง “ไอ้หยาท่านโหว! ในที่สุดก็มาเสียที!”
ท่านโหวรึ
รองเจิ้งเลิกคิ้วขึ้น หรือว่าจะเป็นเซวียนผิงโหว
มาถึงที่เลยรึ
รองเจิ้งรีบสวมหมวก จัดแจงเสื้อผ้า เดินออกไปทางนอกห้อง แล้วโค้งคำนับให้ “คารวะท่านเซวียนผิงโหว!”
เซวียนผิงโหวแทบไม่ได้มองเขาแม้แต่หางตา พลางเอ่ยถามซูกงกง “เจ้าเจ็ดล่ะ”
ซูกงกงชี้นิ้วไปทางห้องเรียน “อยู่ในนี้ขอรับ กำลังทานของว่างอยู่ขอรับ”
ยังมีอารมณ์ทานของว่างอีก ดูท่าแล้วคงไม่เป็นอะไรจริงๆ
ขณะที่เซวียนผิงโหวก้าวเท้าไปข้างหน้า รองเจิ้งก็พยายามเข้ามาเบียดใกล้ๆ “ท่านโหวขอรับ! ผู้ที่ทำร้ายองค์ชายเจ็ดได้รับการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ! นี่คือเอกสารการเพิกถอนสิทธิ์ในการเรียนที่นี่ของพวกเขา! มีหนึ่งฉบับได้รับการลงนามแล้ว ส่วนอีกฉบับกระหม่อมจะรีบทำทันทีขอรับ!”
เซวียนผิงโหวย่นคิ้ว เอ่ยถาม “ไหนว่าแค่เด็กคนเดียวมิใช่หรือ”
รองเจิ้งตอบด้วยท่าทีเกรงๆ “พี่เขยของเขาเองก็เรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียน เป็นเด็กดื้อด้านไม่พูดจาด้วยเหตุผล คนแบบนี้มิอาจปล่อยไว้ได้นะขอรับ! กระหม่อมเลยถือวิสาสะกำจัดเขาออกไปพร้อมๆ กัน! กั๋วจื่อเจียนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มิอาจมีเด็กเช่นนี้อยู่ในความดูแลได้อีกต่อไปขอรับ!”
เซวียนผิงโหวเอ่ยอืมเบาๆ ไม่อยากจะเสวนากับคนประจบสอพลอแต่อย่างใด
เขาและซูกงกงมุ่งหน้าไปหาฉินฉู่อวี้
ฉินฉู่อวี้ร้องไห้สะอื้น จนซูกงกงต้องยื่นขนมให้ ถึงจะหยุดร้องแล้วนั่งกินอย่างเพลิดเพลิน
พอองค์ชายน้อยได้เจอะกับเซวียนผิงโหว มืออ้วนๆ ของเขาพลันเกิดอาการสั่นจนขนมที่อยู่ในมือเกือบตก
เซวียนผิงโหวหันไปหาเขา แล้วยิ้มตาหยีให้ “นี่น่ะหรือที่เจ้าบอกว่าเรื่องใหญ่”
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีร่องรอยอะไรทั้งนั้น
นางกำนัลสองคนถอนสายบัวให้
คนที่ฉินฉู่อวี้เกรงกลัวมาที่สุด หนึ่งคือพระบิดาของเขา สองคือลุงของเขา ซึ่งก็คือเซวียนผิงโหว
เซวียนผิงโหวไม่เคยดุเขาเลย แต่ไม่รู้ทำไม แค่เห็นหน้าก็รู้สึกขนลุกซู่แล้ว!
องค์ชายเจ็ดกินขนมต่อไม่ลง รีบยื่นให้นางกำนัล จากนั้นลุกขึ้นยืน “ท่านลุง!”
เซวียนผิงโหวมองเด็กอ้วนตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดๆ “ได้ข่าวว่าฉี่รดกางเกงรึ”
ฉินฉู่อวี้ก้มหน้าแดงๆ ของเขาลง “ข้า เอ่อ เปลี่ยน เปลี่ยนกางเกงเรียบร้อยแล้ว”
ซูกงกงรีบเข้ามาคุมสถานการณ์ “องค์ชายเจ็ดยังเล็กนัก เด็กคู่กรณีกลั่นแกล้งองค์ชายโดยการปล่อยนกเหยี่ยวออกมา…”
เซวียนผิงโหวเริ่มตะคอกเสียง “แค่นกตัวเดียวเจ้าก็กลัวขี้หดตดหายแล้วรึเรอะ ให้ตายสิ!”
ร่างอ้วนๆ ของฉินฉู่อวี้เริ่มสั่น
ซูกงกงเองก็เงียบเสียงไป
เซวียนผิงโหวกลับหลังหันเดินออกไปนอกห้องเรียน ก่อนจะหันกลับมา “ยังไม่รีบไปอีก”
ฉินฉู่อวี้เลยจำยอมเดินตามท่านลุงไปอย่างโดยดี
ท่าทางของเขาช้าเหมือนเต่าคลาน ดวงตาแดงก่ำ
เซวียนผิงโหวเห็นดังนั้นจึงถาม “รู้สึกผิดกับเขาด้วยรึ”
ฉินฉู่อวี้สูดน้ำมูก น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม “ข้าโดนคนกลั่นแกล้งมา แต่ท่านไม่ช่วยข้าเลยแม้แต่นิด! นี่ท่านเป็นลุงของข้ารึเปล่า วันนี้ข้าเกือบจะได้เป็นขันทีเจ็ดแล้ว…”
เซวียนผิงโหวสวนกลับเสียงแข็ง “ยังมีหน้ามาพูดอีก โดนเขาแกล้งมา ก็เรียนรู้ที่จะเอาคืนซะบ้างสิ เหตุใดน้องสาวข้าถึงได้มีลูกโง่ๆ เช่นเจ้าด้วยนะ!”
เซวียนผิงโหวเติบและโตในค่ายทหาร อยู่กับดินปืนพื้นโคลนไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ เวลานิ่งเงียบดูเผินๆ เหมือนคนมีชาติตระกูล แต่พอได้เปิดปากเท่านั้น แต่ละคำแทบฟังไม่เข้าหู
ฉินฉู่อวี้ที่โดนด่าว่าโง่ไปเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม เลยปล่อยโฮเสียงดังกว่าเก่า!
เซวียนผิงโหว “…”
เฮ้อ!
เขาล่ะรำคาญเด็กร้องไห้ที่สุดเลย!
ซูกงกงตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบเข้าไปปลอบองค์ชาย
ฉินฉู่อวี้ตะเบ็งเสียงดัง “ข้าไม่ต้องการท่านลุงแล้ว ข้าจะหาท่านแม่ ฮือ ฮือ ฮือ ข้าจะหาท่านแม่”
เซวียนผิงโหวหัวจะปวด!
“ฉังจิ่ง!”
สิ้นเสียงเรียก ฉัางจิงก็พลันปรากฏกาย แล้วอุ้มฉินฉู่อวี้กระโดดข้ามกำแพงออกไปจากกั๋วจื่อเจียน
เซวียนผิงโหวเองก็เตรียมจรลี
เขาเดินผ่านห้องที่เซียวลิ่วหลังอยู่เมื่อครู่ เลิกคิ้วขึ้น
ทันใดนั้น รองเจิ้งก็วิ่งหอบแฮ่กเข้ามาทางเขา พร้อมกับจดหมายที่ลงนามแล้วเรียบร้อย “ท่านโหวขอรับ…”
ยังไม่ทันเอ่ยอะไร เซวียนผิงโหวก็เดินผ่านเขาไปอย่างไม่ใยดี จากนั้นผลักประตูห้องเรียนออก
ก็พบว่าในห้องไม่มีใครอยู่แล้ว
เขาสังเกตเห็นหน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดออก นอกหน้าต่างนั้นเป็นสวนกอไผ่
“ท่านโหวต้องการพบเด็กนั่นหรือขอรับ แปลกจัง เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย ไปไหนแล้วนะ” รองเจิ้งเอ่ยพลางทำหน้างุนงง
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินออกไป
“ท่านโหวขอรับ ลองดูจดหมายนี่หน่อยไหมขอรับ ท่านโหว ท่านโหว…”
เสียงฝีเท้าและเสียงรองเจิ้งค่อยๆ ไกลออกไป
เมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไปแล้ว เซียวลิ่วหลังจึงเดินออกมาจากกอไผ่
ด้วยความที่ระเบียงไม่ได้สูงมาก เขาสามารถปีนกลับเข้าไปในห้องได้
ขณะที่เซียวลิ่วหลังเดินออกทางประตูใหญ่พร้อมกับไม้เท้า
พอเปิดประตูออก ก็พลันเจอกับเซวียนผิงโหวที่กำลังยืนขวางอยู่