สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 100.1 เรียกร้องความสนใจ (1)
ไฉนไก่บ้านนี้ถึงร้องจิ๊บๆ เล่า ปกติต้องร้องว่ากุ๊กๆ ไม่ใช่รึ
สิ่งที่เศร้าที่สุดในโลกก็คือ แม้แต่ไก่ยังข้ามขั้นไปร้องภาษานกได้ แต่เขากลับพูดภาษาเติร์กไม่ได้…
แม่นางเหยาสังเกตเห็นว่าเรือนของกู้เจียวมีการต่อเติมใหม่ กระเบื้องหลังคาถูกเปลี่ยนใหม่ แถมยังสร้างห้องใหม่ที่ลานด้านหลังด้วย
“เจียวเจียว” แม่นางเหยาเอ่ยเรียกลูกสาวตนเองที่กำลังเทน้ำใส่หม้อ “ถ้าหาก ข้าขออยู่ที่นี่สักพัก…จะได้ไหม”
กู้เจียวที่พอเทน้ำเสร็จก็วางกระบอกน้ำไว้ด้านข้าง จากนั้นหันมามองแม่นางเหยาด้วยสีหน้างุนงง
แม่นางเหยารีบเอ่ย “ข้าช่วยงานบ้านเจ้าได้นะ!”
ถึงแม้แม่นางเหยาจะเติบโตในบ้านคนมีฐานะ แต่ในอดีตครอบครัวเคยมีฐานะปานกลาง จึงไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างลูกคุณหนู
แน่นอนว่าถ้าให้นางทำงานไร่งานสวนอาจจะดูหนักไปหน่อย แต่ในเมื่อลูกสาวนางทำได้ ไฉนนางจะทำไม่ได้เล่า
“ไม่ต้องหรอก ข้าทำเองได้” กู้เจียวปฏิเสธ
“เช่นนั้น…ข้าทำกับข้าวได้! ฝีมือครัวของข้าไม่เลวเลยนะ! ครั้งก่อนเจ้ายังบอกเลยว่าขนมของข้าอร่อย ข้าจะทำให้เจ้ากินทุกวันเลย!”
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย
“ซักผ้าเล่า เรือนเจ้ามีคนตั้งมากมาย เจ้าคนเดียวซักไม่ไหวหรอกจริงไหม”
กู้เจียวนิ่งไปครู่หนึ่ง เปรยตามองแม่นางเหยา
มองอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไร
แม่นางเหยาพอเห็นดังนั้นก็รู้ความหมายทันที
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้ตนทำงานบ้าน แต่นางไม่อยากให้ตนพักที่นี่ต่างหาก
ใช่ว่าแม่นางเหยาจะไม่รู้ว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ ก็แค่ยังไม่อยากปักใจเชื่อ เลยเกิดใจร้อนขึ้นมา
แม่นางเหยาพยายามข่มใจตัวเอง แล้วยิ้มให้กู้เจียวราวกับบทสนทนาเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น “ถ้าเช่นนั้น ฝากดูแลเหยี่ยนเอ๋อร์ด้วย ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับแล้ว เจ้ายุ่งของเจ้าต่อเถิด”
เอ่ยจบ ก็ยิ้มแย้มแล้วเดินออกไป
แม้สีหน้าและน้ำเสียงของนางดูเผินๆ ก็เหมือนกับปกติ แต่ร่างของแม่นางเหยาสั่นเครืออย่างชัดเจน ดูออกว่านางกำลังรู้สึกเสียใจ
กู้เจียวสังเกตเห็น จึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เพราะท่านหรอก”
แม่นางเหยาหยุดฝีเท้าในทันใด
กู้เจียวลังเลอยู่พักนึง เวลาที่นางต้องการจะพูดความในใจออกมา นางมักจะเลือกใช้คำพูดไม่ค่อยเก่งนัก “เป็นเพราะข้าเอง”
ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้ออกไปแล้วแม่นางเหยาจะเข้าใจหรือไม่
ในอดีตกู้เจียวเคยประสบกับชะตากรรมพ่อแม่รังแกฉัน ทำให้นางเกิดความรู้สึกขยาดคนเป็นพ่อเป็นแม่ฝังใจ
พอโตขึ้นมาหน่อย พอได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง กู้เจียวนึกว่าตัวเองจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่พอได้เจอกับแม่นางเหยาอีกครั้ง ลึกๆ แล้ว กู้เจียวรู้ดีว่า แผลใจเรื่องพ่อแม่ของนางไม่เคยหายดีเลยแม้แต่นิด
ที่นางยอมรับเซียวลิ่วหลัง เสี่ยวจิ้งคง หญิงชรา และกู้เหยี่ยนเข้ามาในชีวิต นั่นเป็นเพราะนางไม่ต้องคอยทำหน้าที่บุพการีให้พวกเขา
นี่เป็นความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในของกู้เจียวที่มิอาจอธิบายให้แม่นางเหยาฟังได้
แม่นางเหยาเหลือบมองกู้เจียว นางยังเคยนึกสงสัยเลยว่าที่กู้เจียวไม่ยอมรับนางเสียที อาจเป็นเพราะนางยังลืมกู้ซานหลังไม่ได้ แต่พอได้มาเจอกับตาตัวเอง ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใช่เหตุผลนั้นหรือไม่
แม่นางเหยารู้สึกได้ว่าลูกสาวของตนคงผ่านเรื่องแย่ๆ มามากมาย ติดก็แค่ไม่ยอมเล่าให้ฟัง แม่นางเหยาเองก็ไม่อยากจะเค้นถามเช่นกัน
แม่นางเหยาขึ้นรถม้ากลับจวนด้วยความรู้สึกเสียดาย
กู้เจียวก้มหน้าก้มตาจุดฟืนเพื่อทำกับข้าว
วันนี้ดูเหมือนข้าวจะหุงสุกช้ากว่าปกติ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการมาของแม่นางเหยาหรือไม่ ที่ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในอดีต ย้อนกลับไปตอนที่นางอายุสองขวบ
ตอนนั้นนางใส่ชุดนอนตัวบาง อุ้มตุ๊กตา ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวด้วยเท้าเปล่า
ในตอนนั้นนางถูกบังคับให้ลุกออกจากเตียง
เกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงระหว่างพ่อแม่ของนาง อันที่จริง มันเป็นเพราะเรื่องเล็กน้อย แต่การทะเลาะวิวาทนั้นรุนแรงมากจนสุดท้ายนางเป็นคนที่แบกรับไว้เอง
นางถูกผลักไปรอบๆ ล้มอยู่หลายครั้งจนมือหัก
คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อเป็นคนเดินออกไปจากชีวิตนางก่อน จากนั้นคนที่เรียกตัวเองว่าแม่ก็ตามพ่อไป
นางถูกทิ้งอยู่กลางลานกว้างที่มีผู้คนเดินไปมา เด็กน้อยที่ถูกทิ้งยืนมองผู้ใหญ่แปลกหน้าเดินผ่านไปผ่านมาตาละห้อย ราวกับตัวเองเป็นแค่มดเล็กๆ ตัวหนึ่ง
“แม่จ๋า ฮือ แม่จ๋า”
นางตกใจจนปล่อยโฮเสียงดัง
แต่คนที่เรียกตัวเองว่าแม่คนนั้น สุดท้ายก็ไม่กลับมา
และคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อคนนั้น ก็ไม่เคยโผล่หน้ามาอีกเลย
…
ระหว่างที่ข้าวยังหุงไม่สุกดี กู้เจียวจึงทำไข่ต้มหวานให้กู้เหยี่ยน แล้วยกไปให้ที่ห้องของเขา
“พวกเขาออกไปแล้วหรือยัง” กู้เหยี่ยนเอ่ยถาม
“ออกไปแล้วเล่า” กู้เจียวเอ่ย
กู้เหยี่ยนแง้มบานประตูออก จากนั้นค่อยๆ โผล่ศีรษะของตัวเองออกมา มองไปรอบทิศ พอมั่นใจแล้วว่าพวกเขาออกไปแล้ว จึงเปิดประตูกว้างขึ้นแล้วเดินออกมา
หญิงชราตื่นแล้ว กู้เจียวต้มไข่หวานเผื่อนางไว้เช่นกัน จากนั้นก็บอกกับหญิงชราเรื่องที่กู้เหยี่ยนจะเข้ามาอยู่ที่นี่
หญิงชราชำเลืองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า พลางนึกในใจว่ารู้สึกคุ้นราวกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน
แล้วก็ใช่จริงๆ หญิงชราเคยเจอเขามาก่อนจริงๆ ฮ่องเต้ทรงโปรดลูกแฝดของจวนติ้งอันโหว เลยให้ซูเฟยพาเด็กคนนี้เข้าไปทำความเคารพไทเฮา
หญิงชราไม่ชอบเด็กมาแต่ไหนแต่ไร เลยรับของกำนัลมาแล้วรีบให้พวกเขาแยกย้าย แน่นอนว่าหญิงชราจำรายละเอียดพวกนี้ไม่ได้แน่นอน
ตอนนั้นกู้เหยี่ยนยังเด็กนัก เขาจำไม่ได้แล้วว่าไทเฮาหน้าตาเป็นเช่นไร พอทั้งสองได้มาเจอกัน เลยไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นใคร
หญิงชรามองดูถ้วยน้ำเชื่อมของตัวเอง แล้วเทียบกับของกู้เหยี่ยน จากนั้นเบะปาก “แลกถ้วยกัน”
หญิงชรารู้สึกว่าถ้วยของต้องเองจืดไปหน่อย ดูก็รู้ว่าถ้วยของกู้เหยี่ยนต้องหวานกว่า
กู้เหยี่ยนผู้ไม่รู้อะไรก็ยอมแลกแต่โดยดี
พอแลกถ้วยเสร็จ หญิงชราก็ลงมือกินไข่หวานอย่างเอร็ดอร่อย นี่สิ ไข่หวานที่ถูกต้อง!
อร่อยจนแทบจะร้องไห้!
ก่อนที่กู้เหยี่ยนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ กู้เสี่ยวซุ่นคือคนที่หญิงชราโปรดปรานที่สุด เพราะเขาเป็นคนหลอกง่าย และเป็นตัวทำเงินให้นาง ส่วนเซียวลิ่วหลังกับจิ้งคงน่ะหรือ คนหนึ่งก็ฉลาดเกินไป อีกคนก็เคร่งครัดเกินไป หญิงชราหลอกล่อพวกเขาไม่ได้
และดูเหมือนนางจะเริ่มถูกใจกู้เหยี่ยนเข้าให้แล้ว มาถึงวันแรกก็ให้นางได้สุขสมอารมณ์หมายกับไข่หวานถ้วยนี้
หญิงชราจึงตัดสินใจปักธงที่พ่อหนุ่มกู้เหยี่ยนคนนี้!
…
หลังจากที่ท่านโหวกู้และแม่นางเหยาลงมาจากเขา พวกเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป มัวแต่ตั้งใจจะไปพบกับกู้เจียวให้ได้ จึงลืมนึกถึงเรื่องอื่น พอกลับมาที่หมู่บ้านเวินเฉวียนเท่านั้นก็นึกขึ้นได้
“ท่านโหว” แม่นางเหยาเอ่ยเรียกเขาพลางมองที่รูป
“มีอะไรรึ” ท่านโหวกู้ขยับเข้ามาให้ใกล้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ดี
แม่นางเหยาโพล่งขึ้นอย่างกังวล “เจ้าอาวาสบอกว่า ที่อยู่บนใบหน้าของเจียวเจียวนั่นเป็นรอยโส่วกงซา แต่เจียวเจียวออกเรือนแล้ว เหตุใดพวกเขา…หรือว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก”
แม่นางเหยาเริ่มสงสัยพวกตระกูลกู้ “รีบให้นางออกเรือนตั้งแต่อายุน้อย ถ้าเป็นจวนโหวละก็ อย่างน้อยข้าคงรอนางโตกว่านี้อีกสักหน่อย”
อายุที่เหมาะสมแก่การออกเรือนของหญิงสาวแคว้นเจาเฉลี่ยอยู่ที่สิบห้าปี คนตระกูลใหญ่ส่วนมากมักจะรอให้บุตรสาวของตนอายุถึงเกณฑ์ก่อนจึงจะตัดสินใจให้พวกเขาออกเรือน
ท่านโหวกู้ไม่ได้กังวลแบบที่แม่นางเหยาเป็น เพราะเขาไม่ยอมรับการออกเรือนครั้งนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เจ้าซิ่วไฉนั่นเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขาเลยสักนิด! เขากะว่าจะเอาเงินฟาดหัวพ่อหนุ่มคนนั้น แล้วพากู้เจียวเข้าเมืองหลวง ซึ่งก็คงไม่มีใครจับได้หรอกว่านางเคยออกเรือนมาก่อน และระหว่างนั้นก็ค่อยหาคู่ครองที่เหมาะสมให้!
แม้รูปลักษณ์รวมถึงกิริยามารยาทของนางจะต่างจากกู้จิ่นอวี้มากโข แต่อย่างไรเสีย นางก็เป็นบุตรสาวตระกูลสูงส่ง คงไม่ถึงขั้นขายไม่ออกหรอกกระมัง
……
ตัดภาพมาที่อีกฝั่งหนึ่ง เซียวลิ่วหลังผู้ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะโดนพ่อตาตัดหางปล่อยวัดนั้นเพิ่งจะเลิกเรียน และกำลังจะออกไปรับเสี่ยวจิ้งคงที่โรงเรียน
แต่ยังเดินออกไปไม่ทันไร ก็มีรถม้าประหลาดเข้ามาขวางทาง
นี่ไม่ใช่แค่รถม้าธรรมดา ที่ล้อของรถม้าคันนี้ไม่เหมือนรถม้าที่วิ่งตามท้องถนน เพราะมีขนาดที่ใหญ่กว่า สูงกว่า และแข็งแรงกว่าหลายเท่า วัสดุรถทำจากไม้ดอกสาลี่เหลืองชั้นดี ประดับประดาด้วยผ้าไหมเล่นแสงและลูกแก้วสีมรกตซึ่งแต่ละเม็ดนั้นมีมูลค่ามหาศาล
สารถีเป็นบุรุษสวมชุดคลุมสีดำผู้หนึ่ง แขนขากำยำ ร่างสูงโปร่ง แลดูมีพละกำลังล้นเหลือ
ม้าของรถคันนี้ก็ไม่แพ้กัน เพราะมันคือม้าพันธุ์มองโกลขนสีดำเลื่อม กล้ามเนื้อมัดใหญ่ดูทรงพลังของมันราวกับผ่านศึกสงครามมาแล้วนักต่อนัก อานุภาพของมันทำเอาม้าตัวอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
คนที่เดินลงมาจากรถม้า เป็นบุรุษรูปงาม อายุราวๆ เถ้าแก่รอง รูปลักษณ์ภายนอกและท่วงท่าของเขาแตกต่างโดดเด่นกว่าคนทั่วไป เป็นที่เตะตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น
ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจสายตาของผู้คนอย่างใด จากนั้นบุรุษผู้นั้นก็เดินตรงเข้ามาทางเซียวลิ่วหลัง ปรายตามองสักพัก แล้วยิ้มให้ “ท่านคือเซียวลิ่วหลังใช่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังรู้สึกไม่ปลอดภัย “ท่านเป็นใคร”
บุรุษคนนั้นยกมือขึ้น แล้วยิ้มให้เขา “ท่านอย่าเพิ่งตระหนก ข้ามีสกุลว่าหลิว เป็นความต้องการของท่านชายใหญ่ที่ให้ข้ามาหาท่าน”
เอ่ยจบ ก็แสดงตราของตนเองให้เซียวลิ่วหลังดู “ท่านน่าจะคุ้นกับตรานี้เป็นอย่างดีสินะ”