สอนสวาทคุณอาที่รัก - ตอนที่ 10
ร่างอรชรถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล มือใหญ่สีคร้ามแดดดึงผ้าห่มคลุมกายสาวเอาไว้อย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง จ้องมองดวงหน้านวลด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ยามนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังหัวใจของตัวเองอีกแล้วว่ารู้สึกยังไง ยามนี้… ยามที่มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
“วดี… ทำไมถึงทำแบบนี้ วิ่งหนีอาไปทำไม”
มือหนายกขึ้นลูบศีรษะทุยแผ่วเบา ก่อนจะใช้นิ้วแกร่งไล้แก้มนวลอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาคมกริบไม่ละไปจากดวงหน้างามเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ… อย่าทำร้ายหัวใจของอาแบบนี้อีก”
ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงไปหา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายทำให้เขาหลุดหลง
“อาจะขาดใจ…”
กลีบปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อมันช่างยวนใจนัก แม้จะพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ถูก บอกตัวเองว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ แต่ร่างกายของเขากลับร้อนผ่าว และตอบรับต่อความน่าสนิทน่าเสน่หาของราชาวดีอย่างสุดกำลัง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยากจะทำแบบนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยากจะขยี้ปากอิ่มของราชาวดี แต่ไอ้ความคิดระยำนี้มันฝังแน่นอยู่ในหัวของเขามานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ว่ามันหยั่งรากฝังลึก และรุนแรงเข้มข้นถึงทุกขณะ
“ระยำ!”
ชายหนุ่มผละออกห่างจากร่างอรชรที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติงทันควัน ราวกับร่างของหญิงสาวคือไฟร้อน เขากัดฟันแน่น สบถซ้ำๆ อยู่ภายในอกครั้งแล้วครั้งเล่า ความอึดอัดทรมานที่กลางลำตัวมันทำให้เขาแทบขาดใจ เขาหันกลับไปมองร่างแน่งน้อยซ้ำอีกครั้ง มันด้วยความปวดร้าว
เขาอยากจะกระชากเสื้อผ้าพวกนั้นออกให้หมด จากนั้นก็กระโดดขึ้นคร่อม และสอดแทรกท่อนเอ็นใหญ่ยาวที่กำลังผงาดอยู่ภายในกางเกงชั้นในเข้าใส่ให้สาสมกับความหิวกระหาย อยากจะโยกเขย่ากระแทกกระทั้นให้หล่อนกลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ อยากจะทำให้หล่อนแหลกเละคามือคาปากจนแทบคลั่ง แต่…
เขาทำไม่ได้… เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ไอ้คำว่าผู้ปกครองมันค้ำคออยู่ เขาไม่อาจจะทำร้ายทำลายอนาคตที่สวยงามของราชาวดีได้ หล่อนจะต้องมีชีวิตที่ดีสดใสสมวัย ไม่ใช่มามัวเมาอยู่กับผู้ชายแก่คราวพ่ออย่างเช่นเขา
“ระยำ! ระยำ! ระยำ!”
ชาติพยัคฆ์สบถซ้ำๆ กันออกมาอีกหลายครั้ง ก่อนจะเผ่นแน๊บออกไปจากห้องนอนของราชาวดีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่หญิงสาวฝืนคืนสติ แผ่นหลังกว้างที่หายไปกับบานประตูไม่มีทางที่หล่อนจะจำไม่ได้
“อาเสือ…”
หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสาย เสียงสะอื้นไห้ดังแผ่วเบาอยู่ภายในอก เจ็บปวดจนหัวใจแหลกสลาย หญิงสาวทำอะไรไม่ได้ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ ทำได้แค่เพียงปล่อยน้ำตาให้มันช่วยชะล้างความขมขื่นให้หลุดร่อนออกไปจากหัวใจเท่านั้น
=====================================================
มื้อค่ำของเมื่อวานชาติพยัคฆ์ก็ได้ยัดเหยียดหล่อนให้กับอรรถพรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้หล่อนจะไม่ต้องการแบบนั้น แต่ความน้อยใจที่เห็นเขาควงผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในไร่ทำให้หล่อนเลือกที่จะประชดประชันเขาออกไป แม้จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าการประชดประชันของหล่อนจะมีผลอะไรต่อเขาบ้างหรือไม่ก็ตาม
“ขอบคุณมากเลยนะครับที่คุณวดีพาผมไปซะทั่วเลย สนุกมากเลยครับ”
เมื่อก้าวลงมาจากรถ หลังจากหล่อนกัดฟันพาอรรถพรไปเที่ยวรอบเมือง อรรถพรก็รีบกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“วดีเต็มใจค่ะ คุณอรรถเป็นแขกนี่คะ”
คนฟังระบายยิ้มอีกครั้ง มองหน้าคู่สนทนาด้วยความพึงพอใจอย่างไม่คิดปิดบัง ราชาวดีแม้จะรู้สึกอึดอัดแต่ก็จำต้องฝืนยิ้มเอาไว้
“เอาไว้พรุ่งนี้วดีจะพาไปเที่ยวน้ำตกนะคะ รับรองว่าคุณอรรถต้องชอบแน่นอนค่ะ”
“จริงเหรอครับ”
อรรถพรลืมตัวคว้ามือของราชาวดีขึ้นมากุม หญิงสาวจะสะบัดออกแต่หางตาเหลือบไปเห็นชาติพยัคฆ์ที่ยืนมองออกมาจากทางหน้าต่างบนห้องนอนของเขาเสียก่อน
ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้ หล่อนก็ยินดีจะทำ หญิงสาวคิดอย่างน้อยออกน้อยใจ และก็เลือกที่จะยิ้มหวานให้กับอรรถพรมากยิ่งขึ้น ส่วนมือก็ปล่อยให้เขากุมอยู่แบบนั้นคล้ายกับว่าเต็มใจนักหนา สร้างความไม่พอใจลึกๆ ให้กับชาติพยัคฆ์ยิ่งนัก
“จริงสิคะ”
“ผมขอบใจคุณวดีมากนะครับ”
“เรียกวดีเฉยๆ ก็ได้ค่ะ เรียกคุ้นมันฟังดูห่างเหิน”
อรรถพรหัวเราะชอบใจ และทำตามอย่างไม่คัดค้าน
“งั้นผมขอเรียกว่าน้องวดีนะครับ ส่วนน้องวดีก็เรียกผมว่าพี่อรรถโอเคไหมครับ”
ราชาวดีพูดอยู่กับอรรถพรแต่สายตาและหัวใจกับจดจ้องอยู่ที่ใครอีกคนหนึ่ง
“ค่ะ พี่อรรถ…”
หญิงสาวปั้นยิ้มหวาน และเซทำเป็นสะดุดขาตัวเองจะล้มให้อรรถพรได้โอบประคอง เพื่อประชดประชันคนที่แอบมองอยู่ตรงหน้าต่าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หล่อนเห็นเขาหายไปโดยไม่สนใจว่าหล่อนกับอรรถพรจะกอดกันนานเท่าไหร่
‘อาเสือใจร้าย’
ราชาวดีได้ตัดพ้อเขาอยู่ภายในใจ และสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของอรรถพรทันที จนเขาอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“น้องวดีหายเจ็บขาแล้วเหรอครับ”
“วดีไม่ได้เจ็บขาค่ะ”
“อ้าวแล้วเมื่อกี้ พี่เห็น…”
“วดีขอตัวไปนอนก่อนนะคะ วันนี้เพลียมากเลยค่ะ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
แล้วหญิงสาวก็ก้าวยาวๆ เดินจากไป ทิ้งให้อรรถพรมองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะ
“อะไรวะเมื่อกี้ยังเห็นร้องโอดครวญว่าเดินไม่ไหวอยู่เลย งงจริงๆ”