สวาทร้ายเมียนอกหัวใจ ชุด วิวาห์ไร้รัก - ตอนที่ 12
เมื่อกลับมาถึงบ้าน มัทนาก็โทรไปโวยวายด่าทอแมทธิวให้ดลกรฟัง
“นี่ถามจริงๆ เถอะ แกจะไปสนใจคุณแมทธิวทำไม ในเมื่อผู้ชายที่แกชอบคือคุณหมอสุดหล่อเมสัน อ๊ะๆ ๆ ๆ หรือว่าแกแอบคิดไม่ซื่อกับคุณแมทธิวสุดหล่อของฉันยะ”
“จะบ้าหรือไงนังนัตตี้ ฉันจะไปคิดอะไรกับหมอนั่นได้ยังไงกัน แค่เห็นหน้าก็แทบจะอาเจียนออกมาเป็นอาหารเช้าแล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ”
“จริงแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ย่ะ”
ดลกรเบ้ปากกลอกตามองบนกับโทรศัพท์ของตัวเอง “ว่าแต่แกเถอะ วันนี้ประสบความสำเร็จหรือเปล่า เรื่องหางานทำน่ะ”
“นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันยอมไปกับนายแมทธิว”
“ยังไง ไหนเล่ามาซิ”
“ก็บริษัทที่ฉันหมายตาไว้ดันถูกนายแมทธิวซื้อเอาไว้น่ะสิ แล้วฉันก็อยากได้งานนี้มากๆ ด้วย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่แกต้องไปดูแหวนกับคุณแมทธิวสุดหล่อของฉันยะ”
“ก็หมอนั่นบอกว่าจะให้ฉันได้งาน ถ้าฉันยอมช่วยเขานี่นา”
“ช่วย? ช่วยเลือกแหวนเนี่ยนะ” ดลกรเลิกคิ้วสูง “คนรวยระดับคุณแมทธิวทำไมจะต้องให้แกไปช่วยเลือกแหวนด้วย ในเมื่อมีทั้งเลขาฯ ทั้งลูกน้องล้นบริษัท”
“ฉันจะไปรู้เหรอ สงสัยหมอนั่นคงอยากแกล้งฉันล่ะมั้ง” ยิ่งคิดมัทนาก็ยิ่งโมโห “ไม่เอาแล้ว อย่าพูดถึงหมอนี่เลยดีกว่า แค่ได้ยินชื่อฉันก็ปวดหัวแล้ว”
“ถ้าไม่พูดถึงผู้ชาย แล้วแกจะให้ตุ๊ดอย่างฉันพูดถึงใครล่ะ” ดลกรประชดประชันมาตามสาย
“ก็พูดถึงความทุกข์ของฉันยังไงล่ะ” น้ำเสียงของมัทนาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนดลกรสัมผัสได้
“แกมีอะไรเหรอนังมัท ไหนบอกมาซิ หรือว่าคุณหมอเมสันสุดหล่อชิ่งแกไปมีเมียเสียแล้ว”
“บ้าน่ะแก…”
“อ้าว แล้วเรื่องอะไรล่ะ แกก็บอกฉันมาเร็วๆ สิ ฉันเป็นห่วงแกนะนังมัท”
มัทนาน้ำตาซึมอย่างซาบซึ้งใจในตัวของเพื่อนรัก “ก็มีแต่แกนั่นแหละที่ฉันปรับทุกข์ด้วยได้”
“ไม่เอาๆ อย่ามาดราม่า บอกมาว่ามีปัญหาอะไร ฉันจะได้ใช้สมองอันชาญฉลาดช่วยเหลือ”
“จะช่วยเหลือหรือจะทำให้แย่ลงกันแน่ นังนัตตี้”
มัทนาหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความทุกข์ในใจของตัวเอง
“สรุปแกจะเล่าให้ฉันฟังไหมเนี่ย นังมัท”
“เล่าสิ ถ้าไม่เล่าให้แกฟัง ฉันจะไปพูดกับใครได้ล่ะ” น้ำเสียงของมัทนายิ่งเศร้า “เดี๋ยวนี้พ่อเป็นอะไรไม่รู้อะแก กลับบ้านดึก แถมยังกินเหล้าหนัก แล้วก็ยังมาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กับฉัน”
“ยังไงแก” ดลกรแปลกใจ
“ก็ประมาณว่าเงินไม่พอ ประมาณนี้แหละ”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามอะไรก็ไม่ยอมพูด”
“งั้นก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้งแก” ดลกรพยายามปลอบใจเพื่อน เพราะไม่อยากให้เครียดไป
“แต่ฉันว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่เปลี่ยนไปแบบนี้หรอก”
“เอาน่าแก ใจเย็นๆ ไว้ เย็นนี้ก็ลองถามพ่อดูสิว่ามีอะไรหรือเปล่า ค่อยๆ ถาม”
“อืม ฉันก็ว่าจะลองถามอีกรอบ หวังว่าพ่อจะบอกนะ”
“แหม บอกอยู่แล้วล่ะ แกไม่ต้องกังวลหรอก” ดลกรให้กำลังใจเพื่อน “นี่ๆ แก พรุ่งนี้แต่งตัวสวยๆ ไปหาหมอที่โรงพยาบาลกันไหม แบบไปอ่อยผู้น่ะ”
“ไม่เอาแล้ว ฉันเข็ดกับชุดสวยๆ ของแกแล้วล่ะ”
“สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แกก็น่าจะให้โอกาสฉันแก้ตัวบ้างนะ”
“นังนัตตี้ นี่แกยังจะมีหน้ามาขอโอกาสจากฉันอีกเหรอ หุบปากไปได้แล้ว”
“แหมแก…นี่ฉันไปศึกษามาใหม่แล้วนะ ตอนนี้เทรนด์ยุคกระโปรงบานฟูพองกำลังมานะแก”
“แกใส่ไปคนเดียวเถอะนังนัตตี้ แค่นี้นะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
“เฮ้ยๆ ๆ เดี๋ยวสิแก นังมัท”
แม้เสียงของดลกรจะดังมาตามสายแค่ไหน แต่มัทนาก็ยุติการสนทนาด้วยการวางสายทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วสมองไม่รักดีก็อดหวนนึกไปถึงอีตาบ้าแมทธิวไม่ได้
“ป่านนี้คงสวมแหวนให้คู่ขาสมใจแล้วล่ะสิ ไม่น่าเลย…ฉันไม่น่าไปช่วยนายเลือกเลย”
นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หล่อนจะเลือกแหวนวงที่โบร้าณโบราณที่สุดให้กับแมทธิว
แมทธิวเดินอมยิ้มเข้ามาในบ้าน แล้วก็เจอเข้ากับมาร์ติเนซพี่ชายคนโตเข้าพอดี
“พี่มาร์ต กลับมาจากอิตาลีเมื่อไหร่ครับเนี่ย”
“ถึงตั้งแต่ช่วงสายแล้วล่ะ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะ งานไม่ยุ่งแล้วหรือ” มาร์ติเนซเอ่ยถามน้องชายคนสุดท้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันก็ยุ่งๆ นะครับ แต่ผมค่อยๆ ทำไปน่ะครับ ไม่อยากหักโหม เดี๋ยวร่างกายทรุดโทรมกันพอดี”
สองหนุ่มหล่อเดินคุยกันเข้ามาภายในบ้าน “แล้วเรื่องยักยอกเงินในบริษัทล่ะ นายจะทำยังไงต่อไป”
แมทธิวชะงักเล็กน้อยคล้ายกับมีอะไรบางอย่างในใจ แต่เขาก็เลือกที่จะซ่อนมันจนมิด
“ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนน่ะครับ ผมก็เลยยังทำอะไรพวกนั้นไม่ได้”
พี่ชายคนโตหรี่ตามองน้องชาย “นี่มันไม่ใช่วิสัยของนายเลยนะแมทธิว ปกตินายฆ่าไม่เหลือไปแล้วนี่นา”
“คนเก่าคนแก่น่ะครับ ผมก็เลยคิดจะให้โอกาส แต่ถ้าไม่มีเงินมาคืนตามกำหนดที่ผมให้ไว้ ผมก็ไม่คิดจะเลี้ยงไว้หรอกครับ”
มาร์ติเนซตบบ่าน้องชายเบาๆ “ถ้าเห็นว่าดีเห็นว่าถูกต้องก็ทำไปเลยนะ พี่เชื่อมือนาย”
“ขอบคุณครับพี่มาร์ต” แมทธิวยิ้มขอบคุณพี่ชาย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เอ่อ แล้วน้องวลีเป็นยังไงบ้างครับ”
สีหน้าของมาร์ติเนซยังคงราบเรียบเช่นเดิม แต่แววตาสั่นไหวเล็กน้อย
“พี่ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้แวะไปหาเลย”
“อ้าว จริงหรือครับ ผมคิดว่าที่คุณแม่เรียกให้พี่มาร์ตกลับไปหาที่อิตาลีก็เพราะอยากให้ไปเจอน้องวลีเสียอีก”
“คุยเรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
แมทธิวพยักหน้ารับน้อยๆ ขณะเดินตามพี่ชายใหญ่ไป
“แล้วพี่มาร์ตไม่อยากเจอน้องวลีหรือครับ”
คนเป็นพี่คนโตชะงักเท้า ก่อนจะตอบออกมาเสียงเรียบ “ถ้าในฐานะคนรู้จักน่ะใช่ แต่ถ้าในฐานะอื่น ไม่ใช่”
“แน่หรือครับ” แมทธิวระบายยิ้มหยอกล้อ
“อืม”
“แล้วข่าวที่ผมได้ยินมาเรื่องที่คุณแม่กับคุณพ่อจะให้พี่มาร์ตแต่งงานกับน้องวลีล่ะครับ”
กรามแกร่งของผู้เป็นพี่ชายขบกันแน่น แต่สีหน้าก็ยังคงเก็บทุกอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดเช่นเดิม
“นายก็รู้ว่าพี่ขัดใจคุณแม่มาตลอดชีวิต ครั้งนี้พี่คงต้องยอมท่านสักครั้ง”
แมทธิวเบิกตากว้างตกใจ “แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ ชีวิตของพี่มาร์ตทั้งชีวิตเลยนะครับ”
“พี่รู้…”
“รู้? แต่พี่มาร์ตก็ยังยอมทำตามความต้องการของคุณแม่ ด้วยการแต่งงานกับน้องวลีที่ขาพิการต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลาเนี่ยนะครับ” แมทธิวแปลกใจเป็นที่สุด
“ถ้ามันทำให้คุณแม่และคุณพ่อสบายใจ พี่ก็ยินดีจะทำ” น้ำเสียงและสีหน้าของมาร์ติเนซยังคงราบเรียบไม่ต่างจากทะเลยามดึกเช่นเดิม “พี่ขึ้นห้องก่อนนะ จะไปอาบน้ำน่ะ”
“ครับ แล้วเจอกันตอนมื้อค่ำครับ”
พี่ชายของเขาระบายยิ้มให้เพียงเท่านั้น ก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดไป
แมทธิวส่ายหน้าน้อยๆ มองตามร่างของพี่ชายคนโตไปด้วยความแปลกประหลาดใจที่สุด
“เป็นเราหน่อยไม่ได้ จะปฏิเสธให้ก้องฟ้าไปเลย”
แมทธิวพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงสดออกมามอง เขาอมยิ้มเมื่อมองมัน ก่อนจะหย่อนกลับไปในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม แล้วเดินตามพี่ชายคนโตขึ้นบันไดบ้านเพื่อกลับห้องพักเช่นกัน