Midterm Fantasy - ตอนที่ 72
เด็กสาวนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในห้องนอนอย่างตั้งใจ หนังสือหลากหลายชนิดถูกนำมาอ่านและวางเรียงกันไว้ที่ด้านข้างโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร การ์ตูน หนังสือเรียน นิยายหรือหนังสืออ่านเล่น
แพทตื่นมานั่งอ่านหนังสือเหล่านี้ตั้งแต่ตอนตี 5 แล้ว เช้านี้นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธออ่านหนังสือทั้งหลายเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จากที่เดิมตัวหนังสือตัวอักษรทั้งหลายเป็นเหมือนภาพที่เธอต้องจำทีละภาพแล้วนำไปประกอบเป็นคำทีละคำ ก่อนจะต้องจำไปวางเป็นรูปประโยค แต่ละประโยคต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะอ่านได้ ตอนนี้เธออ่าน’คำ’แต่ละคำ แล้วสามารถแปลออกมาเป็นความหมายได้อย่างชัดแจ้ง
เมื่อครู่เธออ่านการ์ตูนรู้เรื่อง , อ่านนิยายก็อ่านได้ , หรือแม้แต่หนังสือเรียนก็สามารถอ่านได้เข้าใจ
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าโรคความบกพร่องทางการอ่านตัวหนังสือที่หมอและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากต่างบอกว่าไม่มีวันรักษาหายและจะต้องอยู่กับเธอไปจนตลอดชีวิต มาในวันนี้มันจะหายสนิท
เด็กสาวนั่งอ่านไปด้วย เปิดเพลงจากวิทยุคลอไปด้วยพร้อมๆกัน
‘ก็อกๆๆ’
“ตื่นแต่เช้าเลย ทำอะไรอยู่เหรอลูก” พ่อเปิดประตูเข้ามา
“กำลังฟังวิทยุอยู่ค่ะ” แพทตอบ …
คุณพ่อพยักหน้าและยิ้มให้ “ งั้นเดี๋ยวเสร็จแล้วลงไปกินข้าวเช้าด้วยนะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ”
คุณวิทวัสยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะปิดประตูห้องลง … ที่หน้าห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปเหลือแต่ความเคร่งเครียด … เขารู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นลูกสาวคนเดียวพยายามอ่านหนังสือแม้ว่าจะรู้ว่าไม่สามารถอ่านได้ … และหลายๆครั้งเขาพบว่าแพทโกหกบอกว่ากำลังฟังวิทยุ ทั้งที่บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยหนังสือที่กองเรียงรายอยู่ชัดๆ
แพทเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพ่อที่เดินห่างออกไป จากนั้นเธอเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่วางไว้มาอ่านต่อ … ถ้าพ่อรู้ว่าเธออ่านหนังสือได้คล่องจะต้องสงสัยแน่ๆ …
เธอกะว่าจะค่อยๆทำเป็นเหมือนอ่านได้เพิ่มขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย คนรอบๆตัวจะได้ไม่สงสัย
จากนั้นเด็กสาวก็นั่งอ่านหนังสือเรียนอย่างสนุกสนานต่อไป
***
“แพท เป็นไงมั่ง” รอนโทรศัพท์มาถาม
“รอน …ขอบคุณเธอมากเลย” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ยินดี “วันนี้เราอ่านหนังสือได้เยอะมากๆเลย เราเพิ่งรู้นะว่าการอ่านหนังสือมันสนุกขนาดนี้”
“เหอ เหอ” รอนหยีตาและส่งเสียงออกไป รอให้แพทชินก่อนแล้วกัน พอใกล้สอบครั้งถัดๆไปน่าจะเปลี่ยนคำพูดแน่ๆ “ว่าแต่ … แพท … แล้วเรื่องที่เราสองคนติวกันล่ะ จะเอายังไงดี”
รอนถามเนื่องจากว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองคนได้มาพูดคุยกันบ่อยๆก็คือเรื่องที่แพทไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้ แต่ในเมื่อตอนนี้แพทสามารถอ่านหนังสือได้ด้วยตนเองแล้ว เหตุผลในการติวตอนเย็นหรือวีดีโอคอลกันทุกวันก็ดูเหมือนจะหมดไป
“เรา … เราคิดว่ายังไงก็ต้องติวกันต่อไปก่อน” เด็กสาวพูด “ถ้าหากจู่ๆเราเลิกติวหนังสือกับเธอแต่ว่าเรายังเรียนได้ทันอ่านหนังสือได้ทัน ทุกๆคนจะต้องสงสัยแน่ๆ”
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหม เราสองคนก็อ่านหนังสือกันมาก่อน” รอนแนะ “แล้วเราก็ยังไปนั่งติวกันตามปกติ ยังคุยวีดีโอคอลกันตามปกติ ถ้าเหลือเวลาเราก็คุยเรื่องอื่นทำอย่างอื่นกันไป หรือไม่ก็ทำแบบฝึกหัดไปด้วยกัน แบบนี้คนอื่นๆจะได้ไม่สงสัยกัน”
“ดีเหมือนกัน” แพทบอก
“อ้อ แพท อีกเรื่องนึง” รอนเอ่ยปาก “ที่ห้องสมุดของพ่อเธอ มีหนังสือเกี่ยวกับการใช้ดาบไหม เราอยากได้หนังสือที่สอนเป็นวิธีหรือท่าทางชัดๆน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเราไปดูให้ รอแป๊บ” แพทบอกแล้วรีบไปที่ห้องสมุดในบ้าน … เธอมองไล่หาหนังสือบนชั้นหนังสือไปเรื่อยๆ
“ว่าแต่ทำไมรอนไม่หาจากในinternetเอาล่ะ” แพทถาม “ในinternetน่าจะมีของพวกนี้เยอะไม่ใช่เหรอ”
“ทีแรกเราก็คิดว่ามีเยอะแหละ” เด็กหนุ่มตอบ “แต่พอหาเข้าจริงๆ พวกตำราสอนท่าการใช้ดาบแบบละเอียดๆดีๆ มันหายากน่ะ เราทั้งลองใช้keywordเท่าที่จะนึกออกมาหาดู หามาเป็นชั่วโมงยังหาไม่เจอเลย”
ที่รอนบ่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในบรรดาตำราเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เขาหาเจอในinternetส่วนมากจะเป็นตำราเกี่ยวกับการวางแผนการรบ , การวางกลยุทธ์ , หรือการใช้อาวุธแบบพื้นฐาน ตำราหรือคลิปที่เจอก่อนหน้านี้ในinternet แม้หลายอันจะเป็นรูปแบบที่ใช้ได้ แต่มันก็กระจัดกระจายกันจนเกินไป ต้องใช้เวลานาน ….
ตำราของต่างประเทศก็มีหลายเล่มให้downloadได้จากเว็บของผู้นิยมการต่อสู้แบบโบราณ แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่มีภาพประกอบที่ไม่ละเอียดพอ
ส่วนเล่มที่น่าจะละเอียดก็มีขาย แต่ว่ามันหาโหลดไม่ได้
“เล่มนี้ได้ไหม” แพทถามพลางดึงออกมา
“ไม่ได้ .. เล่มนี้เราเจอในinternetแล้ว มันไม่ละเอียด”
“เล่มนี้ล่ะ”
“นี่ก็ไม่ละเอียด ไม่มีรูปประกอบ”
“เล่มนี้ใช้ได้ไหม” เด็กสาวหันกล้องไปหาหนังสือเพื่อให้รอนดู “เอ๊ะ เดี๋ยวนะ … ไม่ได้สิ ภาษาในนี้มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ”
“เดี๋ยวๆๆๆ ขอดูข้างในก่อน” รอนร้องห้าม … แม้จะงงแต่แพทก็เปิดให้ดู เล่มนี้เป็นสำเนาถ่ายเอกสารของหนังสือเก่าภายในมีภาพประกอบที่ค่อนข้างละเอียดทั้งทิศทาง ท่าวางเท้า ลักษณะของคู่ต่อสู้ที่เข้ามา “เล่มนี้ใช้ได้ เอาๆๆ”
“รอน … แต่นี่มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะ แค่ภาพอย่างเดียวจะพอเหรอ?” แพทแย้ง
“เอางี้ แพท … เธอลองหยิบหนังสือเรียนภาษาอังกฤษอะไรก็ได้เล่มนึงมาอ่าน เลือกบทที่เธอไม่เคยรู้เนื้อหามาก่อน … ลองดู …” รอนบอก
แพทละจากหนังสือเล่มนั้นแล้วไปหยิบหนังสือเรียนภาษาอังกฤษจากชั้นหนังสือมาดู … เธอนั่งอ่านอย่างตั้งใจ …. จนมีเสียงดังขึ้นในหัวเป็นเสียงผู้หญิง
[ภาษาต่างประเทศ Lv 8 : 01/100]
“มีเสียงดังในหัว บอกว่าภาษาต่างประเทศ level 8” แพทบอกกับรอน แม้จะพยายามคุมน้ำเสียงเอาไว้ให้ปกติแต่รอนก็รู้สึกได้ว่าเด็กสาวกำลังตื่นเต้น
“เอาล่ะ คราวนี้เธอลองกลับไปอ่านหนังสือเล่มเมื่อกี้อีกครั้งสิ” รอนบอก … แพทยังไม่ค่อยเข้าใจว่ารอนให้ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่เมื่อเธอลองหยิบหนังสือเล่มเมื่อครู่ขึ้นมาดู
“คู่มือการต่อสู้ระยะประชิดด้วยดาบ และอาวุธมีคม ” แพทอ่าน “ห๊ะ ทำไมตอนนี้อ่านได้แล้ว”
“ดีใช่ไหมล่ะ” รอนยิ้ม
“ว่าแต่ของที่มันดีขนาดนี้ มันไม่มีอะไรอันตรายตามมาใช่ไหม” แพทถาม เธอระแวงว่าของฟรีดีๆไม่น่ามีในโลก
รอนไม่ได้ตอบอะไร เพราะจนตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้และตอบได้ไม่ทั้งหมดว่าจริงๆมันปลอดภัยแน่ไหมส่วนแพทเองก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญหาคำตอบแต่อย่างใดเพราะถ้าให้เธอเลือกใหม่ตอนนี้ เธอก็คงเลือกใช้ลูกแก้วนี่เพื่อให้อ่านหนังสือได้อยู่ดี
จากนั้นแพทก็ถ่ายภาพหนังสือเล่มที่ว่านี้ส่งให้รอนทีละหน้าๆจนครบ ก่อนที่จะเอาหนังสือเข้าไปเก็บที่เดิม … ด้วยความที่หนังสือแถวนี้ไม่ได้ถูกหยิบอ่านมานานทำให้การใส่คืนที่เดิมนั้นคับแน่นจนแพทต้องดึงหนังสือเล่มอื่นเลื่อนไปข้างๆ … เด็กสาวเลื่อนหนังสือบริเวณนั้นจนกระทั่งมีสมุดเล่มหนึ่งตกลงมา … สมุดเก่าๆนั้นตกลงบนโต๊ะและเปิดกางออก ภายในมีภาพร่างสเก็ตซ์ด้วยปากกาลูกลื่นเป็นรูปคนถือดาบกำลังสู้กัน
“เอ … รอน สมุดเล่มนี้ก็มีภาพวาดเหมือนคนสู้กัน … แบบนี้ใช้ได้ไหม” แพทถาม
“ไหนๆๆ ได้นะ เอ้อ เล่มนี้ใช้ได้ ดี ดี เธอถ่ายรูปส่งให้เราหน่อยสิ”รอนบอก “ว่าแต่นี่ลายมือพ่อเธอเหรอ”
แพทมองดูตัวหนังสือในนั้นแล้วส่ายหน้า
“เราดูไม่ออกเหมือนกัน ตัวหนังสือในนี้เป็นภาษาอะไรเราก็ไม่รู้”
ดูเหมือนสกิลภาษาต่างประเทศจะช่วยให้อ่านภาษาต่างชาติได้ แต่ไม่ช่วยให้รู้จักชื่อภาษาแต่อย่างใด ท้ายที่สุดแพทก็ถ่ายภาพในสมุดเล่มนั้นทีละหน้าๆส่งให้รอน
ทั้งวันนั้นรอนทำการแกะท่าทางการต่อสู้ในหนังสือที่ได้ภาพจากแพท จากนั้นค่อยๆเน้นแกะท่าทางดูช่วงต้นและท้ายของแต่ละท่าเพื่อจะได้นำเอามาเชื่อมโยงเป็นชุดท่าการใช้ดาบที่ต่อเนื่องกัน จนถึงช่วงบ่ายก็ได้เป็นท่าการใช้ดาบ36ท่า เมื่อรวมกับของเดิมอีก6ท่าจึงเป็นเพลงดาบต่อเนื่อง42ท่า รอนใช้เวลาที่เหลือค่อยๆจดจำท่าทางการใช้ดาบทั้งหมดลงไปในสมอง
*** ***
หิมะขาวโพลนไปทั่วทั้งบริเวณ โกเลมอัลปาก้าเดินฝ่าหิมะไปตามถนนโดยมีโกเลมอัลปาก้าอีกตัวซึ่งมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่เดินตามไป รอนนั่งบนหลังของโกเลม’ม้าหญ้าโคลน’นี้ พร้อมกับนึกทบทวนท่าในการต่อสู้ทั้ง42ท่าที่เขาเรียบเรียงไว้
‘กรรรร’
เสียงขู่ในลำคอดังขึ้นจากข้างทางก่อนที่ร่างสีขาวสามร่างจะกระโดดเข้าจู่โจมโกเลมอัลปาก้าตัวหน้า รอนที่กำลังนั่งเพลินๆกระโดดลงมาแล้วคว้ามีดดาบพุ่งเข้าใส่
‘กรรร อิ๊งๆๆๆ’
‘ฉัวะๆๆ’
‘อิ๊งๆๆ’
หิมะบริเวณนั้นถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง ร่างของจิ้งจอกหิมะสามตัวถูกดาบฟันทำลายกลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนเกลื่อนไปทั่วถนน เด็กหนุ่มตัดหางของมันใส่ลงในกระเป๋าห้อยข้างพาหนะรวมไว้กับหางของจิ้งจอกหิมะและมอนสเตอร์อื่นๆที่โจมตีเขาก่อนหน้านี้
เขาเดินทางออกจากเมืองกาล่าตั้งแต่เมื่อเช้าโดยใช้โกเลมอัลปาก้า ตอนแรกก็ใช้เพียงแค่ตัวเดียว แต่หลังจากที่ถูกซุ่มโจมตีจากมอนสเตอร์ที่ออกหากินในช่วงหน้าหนาว เขาก็เลยตัดสินใจใช้โกเลมอัลปาก้าอีกตัวทำหน้าที่เดินนำ เพราะนอกจากตัวที่เดินนำจะใช้ในการล่อมอนสเตอร์ได้แล้ว มันยังทำหน้าที่เป็นตัวกวาดหิมะบนถนนให้คลายความหนาแน่นลง จะได้ไม่มาโดนตัวของเด็กหนุ่มที่นั่งบนโกเลมอัลปาก้าตัวที่สอง
ช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ การเดินทางด้วยโกเลมเป็นที่นิยมมากกว่าการใช้มอนสเตอร์หรือม้า เพราะว่าการดูแลระหว่างทางไม่ยุ่งยาก แต่ข้อเสียของการใช้โกเลมแทนสัตว์คือ โกเลมมีความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักน้อย และไม่สามารถใช้เทียมรถหรือลากรถลากได้ รวมไปถึงว่าการขับเคลื่อนโกเลมตัวหนึ่งในแต่ละวันจะต้องใช้แกนมอนสเตอร์จำนวนพอสมควร ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ม้า
แต่สำหรับรอนที่ได้แกนมอนสเตอร์มาเป็นกระบุงจากเมืองกาล่า เรื่องความสิ้นเปลืองนี้ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย … เขาหยิบแกนมอนสเตอร์ที่ได้จากจิ้งจอกหิมะสามตัวเมื่อครู่นี้ใส่เข้าปากโกเลมอัลปาก้าที่เขานั่งอยู่ จากนั้นหยิบหิมะจากพื้นขึ้นมาถูที่มือ … ความอบอุ่นของร่างกายทำให้หิมะละลายล้างเอาเลือดที่เปื้อนอยู่ให้หลุดล้างไป เด็กหนุ่มรอสักครู่จนเห็นว่าโกเลมอัลปาก้าตัวที่สามที่ด้านหลังเดินตามมาถึง จึงออกเดินทางต่อ
เมื่อเช้านี้ก่อนออกเดินทาง รอนไปพบกับกลาส …ตอนนี้กลาสถือเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งของเมือง ร้าน ARMAMENT ที่เปิดอยู่นั้นยังทำกิจการเดิมตามที่เคยทำเหมือนตอนที่มีสองตระกูลใหญ่เป็นเจ้าของ ดังนั้นรอนเลยจัดการหาของมาให้ โดยเขาไปร้าน20บาทแล้วซื้อ’สมุด’และ’ปากกา’ แบบยกกล่องเหมามาแล้วเอาให้กลาสขาย ….แม้ว่าสมุดและปากกาจะเป็นของที่โลกนี้ก็มี แต่คุณภาพของมันก็ไม่ได้สูงมาก กระดาษหนาและขรุขระ แถมปากกาก็ยังเป็นแบบจุ่มหมึกซึ่งไม่สะดวก ดังนั้นรอนคิดว่าสมุดและปากกาน่าจะเป็นของที่ขายได้ในโลกนี้
แถมด้วยผู้ที่จะใช้สมุดปากกามักเป็นผู้ที่รู้หนังสือหรืออาชีพที่ต้องจดบันทึก รอนจึงคิดว่าสินค้าชุดแรกทั้งสองชิ้นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของร้านเป็นที่รู้จักกันในหมู่คนที่มีอันจะกิน
รอนตั้งใจว่าเขาจะแค่ปล่อยของแบบหน่อยๆไปก่อน เพราะคนที่เห็นเขามาตัวเปล่ามีมากเกินไป ถ้าหากปล่อยของเยอะอาจจะมีคนสงสัยได้ จะบอกว่าเขาใช้แหวนเก็บของต่างมิติก็ไม่ได้ เพราะคนที่พอจะทราบว่าเขาใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็มีเยอะพอสมควร ดังนั้นรอนคิดว่าระหว่างนี้จะให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านโอลเซ่นที่จะเดินทางไปซื้อของใช้ที่เมือง เป็นผู้ขนส่งสินค้าต่ออีกทอดหนึ่ง
ยังไงคงไม่ต้องรีบร้อน เวลายังมีอีกเยอะ
‘พลั่ก’
“โอ็ย” เด็กหนุ่มร้องขึ้นก่อนจะตกจากหลังอัลปาก้าโกเลม … ธนูน้ำแข็งที่พุ่งมากระทบเข้ากับหมวกกันน็อคจนทำให้เขาเสียหลักตกลงมา เด็กหนุ่มสั่งให้โกเลมอัลปาก้าสองตัวมาขนาบข้างเป็นโล่ป้องกันเขาไว้ จากนั้นหมอบลงกับพื้นหิมะ
‘ฉึก ฉึก ฉึก’
เสียงธนูน้ำแข็งปักลงบนโกเลมรอบๆตัวเขา รอนดึงแผ่นกระดาษม้วนเวทออกมาจากกระเป๋า แล้ววางผลึกเพื่อใช้งาน
“จงออกมาโกเลมดิน!” รอนกระตุ้นการทำงานของวงแหวนเวท ก่อนที่โกเลมดินจะโผล่ขึ้นมาจากพื้น เขาให้โกเลมทั้งสามตัวเดินไปทางด้านหลังที่มีนักเวทน้ำแข็งก็อบลิน2ตัว ส่วนตัวของรอนเองวิ่งไปทางก็อบลินธรรมดาที่ถืออาวุธตรงมาหาเขาจากด้านหน้า
‘เคร้ง เคร้ง ฉัวะ’
ก็อบลินตัวที่นำหน้าสุดล้มลงนอนตายอย่างรวดเร็ว เพื่อนที่วิ่งตามมาอีกห้าตัวยังไม่ทันจะตั้งตัว หัวของพวกมันก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วอีกสองหัว …. รอนใช้เวลาอีกไม่กี่วินาทีในการจัดการก็อบลินที่ถือมีด ก่อนจะหันกลับไปมองก็อบลินนักเวทน้ำแข็ง พวกมันทั้งคู่ยังระดมยิงใส่โกเลมสามตัวที่รอนปล่อยไป … หลังจากถูกระดมยิงด้วยธนูน้ำแข็ง โกเลมตัวนึงก็ล้มลง ส่วนก็อบลินเมจทั้งสองตัวก็ยังคงระดมยิงต่อไปโดยไม่ได้สังเกตว่าที่ด้านหลังของพวกมัน มีโกเลมดินขี่หลังโกเลมอัลปาก้าเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
‘อรี๊ … พลั่ก!’
‘อึ๊บ … อุ้ค อุ้ค อุ้ค พลั่ก พลั่ก พลั่ก’
เสียงร้องดังขึ้นจากก็อบลินเมจทั้งสองตัว ตัวนึงถูกโกเลมอัลปาก้ายกขาหลังสองข้างถีบหัวก่อนจะใช้ขากระทืบเป็นจังหวะ ส่วนอีกตัวถูกโกเลมดินเข้าโอบกอดจากด้านหลังก่อนจะกระทุ้งลงกับพื้น….
ตอนที่รอนวิ่งไปถึง โกเลมสี่ตัวกำลังรุมกระทืบก็อบลินเมจอยู่ แม้พลังทำลายจะไม่สูงมาก แต่การรุมก็ทำให้ก็อบลินเมจทั้งสองไม่สามารถร่ายเวทได้เลย พอรอนไปถึงก็แค่ออกแรงจิ้มด้วยดาบอีกตัวละทีสองที ก็จบชีวิตมอนสเตอร์ทั้งสองไปอย่างง่ายดาย ….
รอนตรวจดูโกเลมทั้งหมด โกเลมอัลปาก้าตัวแรกสุดเสียหายพอประมาณ ส่วนโกเลมดินสองตัวเสียหายเล็กน้อยจากการโจมตี เด็กหนุ่มปลดสัมภาระจากโกเลมอัลปาก้าตัวแรก ซัมม่อนโกเลมอัลปาก้าตัวใหม่มาขนสัมภาระแทน จากนั้นสั่งโกเลมที่เสียหายทั้งสามตัวให้เดินทางนำไปก่อน
สามตัวที่ล่วงหน้าไป ทำหน้าที่เป็นเหมือนกองสอดแนม เพราะในทุกๆโกเลมที่รอนซัมม่อนขึ้นมา เขาจะพอรับรู้ได้ว่ามันยังอยู่หรือพังเสียหายไปแล้ว ดังนั้นหากโกเลมที่ล่วงหน้าไปเกิดพังขึ้นมา เขาก็จะรู้ว่าข้างหน้ามีศัตรูดักอยู่ ….
ถ้าค่อยๆพังทีละตัว ก็แปลว่าศัตรูน่าจะไม่มากหรือไม่เท่าไหร่
ถ้าพังแบบติดๆกันในเวลาอันสั้น เขาก็จะได้รับรู้ว่าข้างหน้ามีศัตรูที่ต้องระมัดระวังอยู่
ส่วนโกเลมดินขี่อัลปาก้าที่ตามมาเบื้องหลัง รอนให้มันทำหน้าที่เป็นกองหนุน …เพราะรอนไม่มีทางทราบได้ว่าศัตรูที่ซุ่มอยู่จะมีมากแค่ไหน หากมันมีจำนวนมากจนเขาซัมม่อนโกเลมมาช่วยไม่ทัน หรือเกิดบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ อย่างน้อยก็จะมีกองหนุนตามหลังมาช่วยเขา
รอนจัดการแหวะอกก็อบลินทั้งหมดแล้วหยิบแกนมอนสเตอร์ออกมา ตัดชิ้นส่วนก็อบลินที่สามารถนำไปขึ้นเงินใส่ลงในย่าม จากนั้นก็โดดขึ้นหลังอัลปาก้าโกเลมเดินทางต่อไป
***
พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า … รอนเดินทางมาถึงจุดที่เป็นเนินเขา … เนินเขาที่เขาและชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นเคยต่อสู้กับกองกำลังออร์ค … ด้วยความที่เขาเดินทางแบบไม่หยุดและนั่งโกเลม’ม้าหญ้าโคลน’นี้มาเรื่อยๆ ทำให้ความเร็วในการเดินทางเหนือกว่าตอนที่เดินทางมากับชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นอย่างมาก
กองทัพม้ายังต้องมีการพักหรือให้ม้าเดินเป็นส่วนใหญ่ หรือชาวบ้านที่เดินเท้าได้ช้าๆ เมื่อเทียบกับโกเลมที่สามารถวิ่งเหยาะๆได้ตลอดเส้นทาง เส้นทางที่ใช้เวลา2-3วันก็ถูกย่นย่อเหลือเพียงแค่วันเดียว
รอนชั่งใจว่าจะเดินทางต่อมืดๆหรือจะพักรอให้สว่างก่อนแล้วออกเดินทางต่อ …. จากนั้นเขาใช้ม้วนเวทกับแกนมอนสเตอร์เรียกโกเลมออกมา8ตัว ให้มันตักหิมะมาทำกำแพงกันลม …และหยิบ’ตะเกียงเวทมนตร์’ขึ้นมา ใส่แกนมอนสเตอร์เข้าไปในช่อง … แสงสว่างเรืองขึ้นมาส่องพื้นที่รอบๆของเด็กหนุ่ม
รอนมองดูกำแพงหิมะที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา จากนั้นเขาก็หยิบมีดดาบขึ้นมา …. เริ่มฝึกซ้อม 42 ท่าเพลงดาบอยู่ภายในพื้นที่ใจกลางกำแพงนั้นอย่างตั้งใจ
…
โรล่าอยู่เวรคืนนี้ เธอนำเอาน้ำร้อนและผ้าห่มใส่รถเข็นเข็นไปส่งให้ชาวบ้านที่อยู่เวรยามที่ประตูทางเข้าทั้งสองของหมู่บ้าน … ตอนนี้หมู่บ้านได้รับการฟื้นฟูจนคืนสู่สภาพเดิมแล้ว กำแพงไม้ถูกซ่อมแซมและเสริมสร้างความแข็งแรงให้มากขึ้น ประตูหมู่บ้านถูกเสริมให้พร้อมกับการป้องกันศัตรูมากกว่าแต่ก่อน ชาวบ้านที่อยู่ยามก็มีเกราะและอาวุธที่ดีกว่าแต่ก่อนมากมาย แถมช่วงนี้เป็นฤดูหนาว คนในหมู่บ้านไม่สามารถออกไปทำไร่แบบช่วงหน้าร้อนได้ คนที่ไม่ได้ออกไปล่าสัตว์หรือซ่อมแซมของก็จะหาเวลาว่างไปฝึกหัดการใช้อาวุธกัน
เด็กสาวเข็นรถไปยังประตูหน้าของหมู่บ้าน ส่งน้ำร้อนและผ้าห่มให้คนที่อยู่เวร ตรงที่อยู่เวรยามมีคนนั่งอยู่3คน ตรงกลางวงมีหม้อต้มซุป”ข้าวโพด” และที่พื้นตรงจุดที่ทั้งสามนั่งอยู่ แต่ละคนนั่งบนเสื่อ”ข้าวโพด” ที่ทำจากเศษเหลือใช้ของต้นไม้ที่รอนปลูกเอาไว้ …
ตอนที่ชาวบ้านโอลเซ่นกับชาวหมู่บ้านอัลเลนเดินทางกลับมาถึง ต้นกล้าของพืชผักที่รอนหว่านไว้ก่อนจะออกเดินทางไปนั้นเริ่มงอกงามแล้ว โชคดีที่ปีนี้หิมะมาช้ากว่าทุกปี ทำให้พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทัน พืชส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น “ข้าวโพด” ที่เมล็ดบนฝักสามารถนำไปต้มกินได้ หรือจะเก็บจนแห้งแล้วนำไปโม่เป็นแป้งแล้วนำมาทำน้ำซุป , “พริก” ที่ให้รสชาติที่เผ็ดร้อนในอาหาร “ผักบุ้ง”ที่นำต้นและใบมาทำอาหารกินได้ “แรดิช”ที่ใช้เวลาปลูกสั้นมากเพียง 1 เดือนกว่าๆก็เก็บผลผลิตจากใต้ดินได้
ส่วนต้นกะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก เป็นต้นไม้ที่รอนบอกว่าสามารถเอาไว้ทำอาหารได้ แต่ว่ารอนไม่ได้บอกว่าแต่ละต้นแยกกันยังไง … พวกมันไม่ทนความหนาวเย็น ดังนั้นเบรเซอร์เลยให้ขุดใส่กระถางแล้วนำไปฝากปลูกไว้ตามในบ้านของชาวบ้านแต่ละคน … ช่วงแรกๆทุกคนก็เฉยๆ แต่ว่าตอนหลังๆมีหลายคนแย่งกันไปขุดเอาต้นที่เหลือออกจากไร่มาเก็บในบ้านเนื่องจากพบว่ากลิ่นจางๆที่ออกมาจากต้นไม้พวกนี้สามารถขับไล่แมลงวันได้
กับพืชผักแปลกๆหลายชนิดนี้ ชาวบ้านโอลเซ่นมองมันในแง่ดีกันหมด เพราะว่าเพียงเวลา3เดือนที่ปลูกแบบไม่ได้ดูแล ผลผลิตที่ได้ก็ถือว่ามากพอดูเลยทีเดียว … และในฤดูร้อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าจะลง”ข้าวโพด”ให้มากขึ้น เพื่อจะได้มีอาหารสำหรับหมู่บ้านมากขึ้น
ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังมีความสุขกับชีวิตที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น อาหารสมบูรณ์ขึ้น และเริ่มลืมความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ3เดือนก่อน … มีหนึ่งคนที่รู้สึกต่างออกไป
โรล่านั่งมองไปที่ถนนด้านนอกหมู่บ้าน แสงไฟที่ก่อไว้ห่างจากทางเข้าหมู่บ้าน10กว่าเมตรส่องสว่างให้เห็นรอบๆบริเวณนั้น ….
ทุกวันเวลาว่าง เธอมักจะมานั่งตรงทางเข้าหมู่บ้านนี้ ช่วงเช้าๆหลังทำงานบ้านเสร็จ ก็มานั่งสานฟางต้นข้าวโพดทำเสื่อและผ้าปู
ช่วงเย็น มานั่งเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้านหรือฝึกซ้อมการใช้มีดกับเบรเซอร์
กลางคืนที่อยู่เวรขนน้ำร้อนและอาหาร ผ้าห่ม เธอก็มานั่งมองไปด้านนอก …
เพื่อรอคอยคนๆนึง …คนที่เมื่อสามเดือนก่อนเข้ามาในชีวิตของเธอ เขาช่วยชีวิตเธอ ช่วยคนในหมู่บ้าน ยืนหยัดสู้ปกป้องครอบครัวของเธอ เดินทางปกป้องชาวบ้านไปที่เมือง และปกป้องเมืองจากกองทัพออร์ค
และจู่ๆวันนึงเขาก็จากไปโดยไม่บอกกล่าว
เธอคิดเคืองโกรธพวกตระกูลใหญ่ในเมืองกาล่าที่บีบบังคับให้เขาต้องเดินทางจากไป บีบบังคับให้ต้องไปทั้งๆที่ไม่ได้ร่ำลา
ช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่สัปดาห์ แต่เกิดอะไรขึ้นมากมายกับชีวิตของเธอ
ฤดูหนาวปีนี้ แม้อากาศจะหนาวช้า แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันหนาวเย็นกว่าทุกปี
“นั่นใคร หยุดเดี๋ยวนี้ ” เสียงดังจากคนที่เฝ้ายามอยู่ทำให้โรล่าตื่นจากภวังค์ เด็กสาวเงยหน้ามองไปที่ถนน … ที่ไกลๆนั้นมีเงาร่างของคนเดินเข้ามาคนนึง
“หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน แล้วบอกมาว่าเป็นใคร” คนที่เฝ้ายามอีกคนร้องแล้วยกไม้หนังสติ๊กขึ้นมา ” ถ้าไม่บอกเราจะยิง”
เสียงสวบสาบดังมาตามถนน เบื้องหลังของร่างนั้นมีอีก5-6ร่างปรากฎขึ้นมา มุ่งตรงมายังหมู่บ้าน …. คนๆนึงยิงลูกหินเข้าใส่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจหากแต่ยังเดินตรงเข้ามา
“โรล่า ไปเคาะสัญญาณเดี๋ยวนี้”
ตอนนี้ทั้งสามคนที่อยู่ยามสวมหมวกเกราะหนังและหยิบหอกขึ้นมาแล้ว พวกเขาดึงรั้วไม้ที่ฝังใต้พื้นขึ้นมา รั้วไม้และรั้วลวดหนามที่ยกขึ้นขวางทางเข้าของหมู่บ้าน
แม้จะมีคนแค่สามคน แต่ด้วยเครื่องกีดขวางเหล่านี้ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฝ่าเข้ามาได้
เด็กสาววิ่งไปที่กลางหมู่บ้าน เคาะระฆังโลหะที่แขวนอยู่
แก้งๆๆๆๆๆ
โรล่าวิ่งกลับไปที่บ้าน ไปปลุกเบรเซอร์และมาเรียก่อนจะสวมแจ็คเก็ตป้องกันอาวุธที่รอนมอบไว้ให้ เธอหยิบหอกจากตู้แล้ววิ่งออกไป …ชาวบ้านจากในหมู่บ้านต่างวิ่งออกจากบ้านและมุ่งตรงไปที่ประตูทางเข้าทั้งสองทางตามที่ซักซ้อมไว้
แม้จะไม่รู้ว่าศัตรูบุกมาจากทางทิศใด แต่ว่าเบรเซอร์กำหนดไว้ว่าหากมีเสียงสัญญาณจะต้องแบ่งคนไปที่ประตูทั้งสองฝั่งเผื่อว่ามีการบุกด้านนึงเพื่อดึงกำลังไปจากอีกด้านหนึ่ง
…
โรล่าวิ่งไปทางทางเข้าหมู่บ้านที่เธอเพิ่งวิ่งจากมา แนวป้องกันถอยร่นเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว
“มันทำลายรั้วแล้ว”
“พวกเรา ถอยมา ตั้งแนวรับ”
ชาวบ้านตั้งโล่เป็นแนวหน้ากระดานแล้วยกหอกทิ่มใส่อีกฝ่าย … หอกฝังเข้าไปในร่างเหล่านั้น … ส่วนร่างเหล่านั้นไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากพยายามหลบเลี่ยง แต่ด้วยจำนวนคนที่มากอุดทางเข้าไว้ ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะหาทางไปไม่ได้และต้องทำลายรั้วแทน
“กระจายออกไปที่รั้ว อย่าให้มันทำลายรั้วได้”
แม้จะเคลื่อนไหวได้ช้า แต่ร่างเหล่านั้นก็แข็งแรง ด้วยการกระแทกยันหลายครั้ง รั้วไม้ที่ฝังไว้ก็เริ่มเอนลง
“โกเลมรึ?” เบรเซอร์เดินมาถึงพอดี “พวกเราระวัง ถ้าเป็นโกเลมแปลว่าคนที่ซัมม่อนมันขึ้นมาต้องอยู่ใกล้ๆ ทุกคนระวังการโจมตีเวทมนตร์”
ชาวบ้านต่างช่วยกันเล่นงานขาของโกเลมจนพวกมันค่อยๆล้มลงไป แต่มีตัวนึงหลุดเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว
“ระวัง มันเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว!”
ชาวบ้านที่จัดการโกเลมที่ด้านหน้าเสร็จแบ่งกำลังวิ่งตามโกเลมดินที่เข้าไป … มันเดินไปถึงลานกลางหมู่บ้าน … แล้ว นั่งลง
“เห?”
“เดี๋ยวๆ มันมานั่งอะไรตรงนี้”
ชาวบ้านเดินไปดู …โกเลมตัวนี้เดินมาแล้วก็นั่ง ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายใคร
“พวกมัน … มาทำอะไร”
ชาวบ้านที่เห็นงงเป็นไก่ตาแตก … โกเลมที่บุกฝ่าเข้ามา …ฝ่าชาวบ้านไม่ได้ก็พังรั้วเข้ามา … แล้วพอเข้ามาถึงมันก็ …
นั่งลงกลางหมู่บ้าน
เพื่อ!?!?
“นั่น ข้างนอก มีมาอีกแล้ว” เสียงดังมาจากที่ประตูทางเข้า ตอนนี้ทุกคนตั้งแนวป้องกันสามแถวซ้อนเหลื่อมกันอุดทางเข้า แนวแรกสุดถือหอก ส่วนแนวที่สองและสามถือหนังสติ๊กยิงลูกหินไว้
“ยิง” เบรเซอร์ร้องสั่ง … ลูกหินพุ่งหวือไป เสียงกระทบกับเป้าหมายดังหนักๆ
“ยิง” เสียงสั่งอีกครั้ง … ลูกหินจากแถวที่สามพุ่งไปพร้อมกัน เสียงดังปุๆจากหินที่กระทบเป้าดังให้ได้ยิน ขณะที่แถวที่สองที่นั่งย่อเข่าอยู่ล้วงหยิบลูกหินมาบรรจุ
“ยิง” พรึ่บ … ลูกหินจากแถวสองพุ่งไปข้างหน้า แถวที่สามล้วงเตรียมบรรจุกระสุน
การบรรจุและยิงพร้อมกันนี้เป็นสิ่งที่รอนสอนเอาไว้เพื่อให้ทุกคนใช้ในการต้านศัตรูที่พยายามบุกเข้ามา …ชาวบ้านทุกคนพยายามทำตามให้ทันอย่างสุดฝีมือเพื่อป้องกันหมู่บ้านให้ได้
“โอ๊ย!” ร่างๆนึงถูกลูกหินจนล้มหล่นลงสู่พื้น
“เรายิงถูกมันแล้ว เร็วเข้า ยิงเร็ว”
“นั่น! โรล่า จะไปไหน”
“หยุดเดี๋ยวนี้ โรล่า ….. พวกเรา หยุดยิงก่อน”
เด็กสาวทิ้งหอกในมือแล้ววิ่งไปข้างนอก หัวใจของเธอเต้นอย่างรวดเร็วอย่างตื่นเต้น เธอวิ่งไปที่ร่างที่กำลังลุกมาจากพื้นแล้วคลำศีรษะอยู่ … แสงสว่างของเปลวไฟใกล้ๆส่องไปยังหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น
“คุณรอน … คุณรอนกลับมาแล้ว”
เด็กสาวสวมกอดเด็กหนุ่ม …. ฤดูหนาวครั้งนี้อบอุ่นกว่าทุกปี