Midterm Fantasy - ตอนที่ 56
เสียงนกและแมลงในป่าค่อยๆเงียบลงเมื่อมันรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่พื้นเบื้องล่าง นกบางตัวบินออกจากรังหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อเห็นแสงสะท้อนจากชุดเกราะ
“มันจะเห็นพวกเราไหม” รัสกูถามเพื่อนที่อยู่ข้างๆ
“ข้าว่าพวกมันยังไม่รู้ตัว”
“ทุกคนเงียบเสียงลงก่อนและอย่าขยับ … เดี๋ยวพวกนั้นมันจะเห็นที่ตั้งของเรา” อาทูก้าสั่ง
กองทหารเคลื่อนที่เร็วทั้งหมดหลบอยู่ตรงชายป่า มองดูศัตรูที่อยู่ข้างหน้า … พวกมันสร้างหอสัญญาณเตือนภัยไว้ใกล้กับชายป่า … และจากชายป่าไปถึงเป้าหมายที่จะโจมตี อยู่ห่างกัน2-3 ไมล์ ระหว่างนั้นมีหอสัญญาณอีก 2 หอ
ที่ข้างล่างหอ ไม่ใช่เป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่มีการสร้างรั้วไม้ป้องกันไว้ … ต่อให้พวกเขาทั้งหมดบุกโจมตีหอสัญญาณ ก็คงเอาชนะในเวลาสั้นๆไม่ได้และคงจะถูกกำลังหลักของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาจัดการ
“เงียบ หอสัญญาณมันสงสัยแล้ว” อาทูก้าสั่งพลางยกมือขึ้น … นักรบข้างหลังเงียบเสียงและนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว
หัวหน้าหน่วยมองไปข้างหน้า พวกมนุษย์ข้างนอกนั่นกำลังเตรียมพื้นที่รอบเมืองอยู่ เขาส่งหน่วยสอดแนมออกดูเมื่อคืนแล้วพบว่าไร่ข้าวสาลีรอบๆถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วเหลือเพียงแต่ด้านนี้เท่านั้นที่ยังเก็บไม่หมด … และตอนนี้ในไร่ตรงหน้าก็มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยกำลังเกี่ยวข้าวสาลีที่ยังไม่แก่ดีอยู่อย่างรีบร้อน
อาทูก้าค่อยๆมองดู นอกจากหอสัญญาณและในไร่ข้าวสาลีแล้ว มีพวกมนุษย์อีกกลุ่มกำลังตอกเสาและผูกผ้าสีเอาไว้เป็นแนว ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากว่าพวกมันรู้ว่าพวกเขากำลังจะมา …. อาทูก้าคำรามในคออย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเมื่อ2วันก่อนขณะกำลังเดินทัพตรงมาที่เมือง เกิดบังเอิญมีกริฟฟอนของมนุษย์บินผ่าน … พรุ่งนี้กองทัพออร์คคงบุกเมืองโจมตีเมืองได้แบบสายฟ้าแลบแล้ว
แต่ในเมื่อแผนเสียไปแล้ว ท่าน ‘ดราซัค’ ผู้ควบคุมวิญญาณ อันเป็นแม่ทัพ เลยสั่งให้หน่วยออร์คไรเดอร์ 150 นาย วิ่งตะบึงมายังเมืองเพื่อจัดการจู่โจมชาวเมือง ที่คาดว่าจะออกมาเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่นาอย่างเร่งด่วน
คาดไม่ถึงว่าเมื่อออร์คไรเดอร์มาถึงเมื่อคืนนี้ พวกชาวเมืองก็กำลังเก็บเกี่ยวพืชที่ทิศตะวันออกของเมืองอย่างเร่งด่วนโดยมีกองทหารคุ้มกัน … และครั้นพวกออร์คจะบุกโจมตีก็ไม่ไหวแล้วเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน
‘เราจะพลาดตรงนี้ไม่ได้’ อาทูก้าคิดในใจ … ท่านดราซัคไม่มีทางให้อภัยผู้ที่ทำผิดพลาดแน่นอน
“สหายนักรบของข้า” อาทูก้าหันไปแล้วพูดขึ้น
“ตอนนี้ ที่ข้างหน้านั้นคือเหล่ามนุษย์ที่ไม่มีพิษสง ปราศจากอาวุธ …. แต่พวกมันกำลังเก็บเกี่ยวเสบียงอาหารเตรียมตัวรับมือการมาของพวกเรา”
“อาหารทั้งหมดที่พวกมนุษย์เหล่านี้เก็บเกี่ยวได้ จะถูกนำไปเลี้ยงดูทหาร ที่จะมาสู้กับพวกเราในสงครามที่กำลังใกล้เข้ามานี้ … ดังนั้น! ข้าขอให้พวกท่านทั้งหลาย สังหารมันให้สิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เด็ก คนชรา ไม่ว่ามันจะมีอาวุธหรือไม่มีอาวุธ … เพื่อเราทั้งหมดจะได้มีโอกาสชนะในศึกครั้งนี้มากขึ้น”
“ไม่ต้องสนใจหอสัญญาณ ฆ่าชาวบ้านในไร่ก็พอ!” อาทูก้ายกดาบขึ้นชู “ ออร์คไรเดอร์ทั้งหมด แก้ผ้า!”
ออร์คทั้งหมด แก้ผ้าที่ผูกปากเสือสีเทา พาหนะศึกที่พวกเขาขี่มา
“ออร์คทั้งหมด ตามข้ามา ………… บุก!”
“โอ้วววว”
“โฮกกกกก”
ร่างสีเขียวในเกราะโลหะที่ขี่เสือสีเทาตัวโต บุกนำไปเบื้องหน้า จากนั้นพริบตาเดียวทั่วทั้งชายป่าทั้งซ้ายขวา ฝูงเสือที่มีออร์คขี่หลังอยู่ก็โจนทะยานออกมา แล้วบุกไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่
ปู่ปู้นนน ปู่ปู้นนนน แก้งๆๆๆๆ
เสียงเป่าเขาสัตว์ให้สัญญาณและเสียงเคาะระฆังเตือนภัยดังจากหอสังเกตการณ์ทุกหอทางทิศใต้ คนที่กำลังปักธงอยู่ต่างทิ้งของแล้ววิ่งกลับเข้าหอสัญญาณทันที … ทหารบนหอเตรียมธนูและพยายามยิง แต่ยังไม่ทันจะยิงได้
“ระ ระ เร็ว!” ทหารบนหอยิงธนูไปได้เพียงคนละดอกเดียวก่อนที่กลุ่มออร์คจะผ่านไป …
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะออร์คทั้งหมดจัดแถวรบแบบหน้ากระดานเรียงแถวเดียว ไม่มีแถวที่สอง ไม่มีตัวที่ตามหลัง ทำให้เมื่อพลาดกลุ่มนี้ไปแล้วก็ไม่มีกลุ่มตามหลังให้ทหารบนหอได้ยิงอีก …
และที่ออร์คไรเดอร์จัดแถวแบบนี้ เพราะมันเห็นอยู่ชัดๆว่าคนที่อยู่ในทุ่งนา ล้วนเป็นชาวเมืองที่ไม่มีอาวุธ
… ยกเว้นแต่จะเรียกเคียวเล็กๆในมือนั่นว่าเป็นอาวุธ
“ทะ โทรล!” ทหารชี้ไปที่ชายป่า … นอกจากออร์คแล้ว ยังมีโทรลอีก 4 ตัววิ่งมา … ทหารเตรียมยิงธนูใส่แม้จะรู้แก่ใจว่าทำอะไรเจ้ายักษ์ขนาด 4 เมตรนี้ไม่ได้แน่ๆ
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งยิง” ทหารคนนึงร้องขึ้น “สัญญาณธงบนกำแพงเมืองสั่งให้หยุดการโจมตี”
ทหารบนหอมองธงสัญญาณที่กำแพงเมือง เป็นธงสัญญาณที่ตกลงกันไว้ก่อนนี้ว่าไม่ให้หอระวังภัยทำการโจมตีใดๆ
ทหารมองดูโทรลตัวใหญ่ที่เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
** ** ** **
“พวกเรา บุกไปข้างหน้า!”
“โฮกกกก”
“โอ้อ้อ้อ้อ้”
เสียงออร์คตะโกนเป็นภาษาของพวกมัน อาทูก้ามองไปข้างหน้า คนที่อยู่ในทุ่งนาส่วนใหญ่วิ่งหนี … แม้จะแปลกสักนิดที่ทุกคนวิ่งตามกันไปเป็นเส้นทางเดียวเป็นระเบียบ แต่มันก็ไม่คิดอะไรมาก
“ระวัง!” “อ้ากกก”
เสือเทาที่วิ่งอยู่ทางขวามือสะดุดหลุมและก้อนหินขนาดใหญ่ล้มลง บริเวณแถวนี้เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่ และหลุมอยู่มากกว่าไร่นาปกติ
‘คิดจะขุดหลุมดักรึ คิดตื้นๆ’ อาทูก้าคิดในใจ … ดึงเสือที่ตนขี่ให้กระโดดข้ามหินอีกก้อน … ชาวบ้านหลายคนวิ่งถึงกำแพงเมืองแล้ว แต่มีบางส่วนที่พยายามซ่อนในใต้ทุ่งข้าวสาลี … เหลืออีกไมล์เดียวก็จะถึงกำแพงเมืองแล้ว แต่ยังไม่มีทหารถือธนูขึ้นมาบนกำแพงเมือง
“ตายยยยยยยยย”
“ฆ่ามัน”
ออร์คผู้นำกลุ่มยกดาบขึ้นเตรียมฟันลงไปบนร่างคนที่หลบอยู่ … ตาทั้งคู่มองจ้องไปที่คอ …
‘หุ่นฟาง?’
ผึง!!
เสียงเหมือนสายธนูดีดดังมาจากพื้น อาทูก้ารู้สึกว่าตนเองถูกเหวี่ยงลอยไปด้านหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ ร่างของเขาลอยหมุนขึ้นไปบนฟ้าควงสว่าน ภาพที่เห็นคือเหล่าออร์คไรเดอร์ผู้กล้าหาญแทบทั้งหมดกำลังลอยหลุดจากหลังเสือที่ขี่มาด้วยความรวดเร็ว
สำหรับเสือยักษ์ที่ขี่มา บางตัวลอยหมุนมาในอากาศ บางตัวขาขาดไถลไปกับพื้น บางตัวกลิ้งไปโดยมีเสาและเชือกอะไรบางอย่างพันปักเข้าไปในตัวอยู่
พลั่กพลั่กพลั่กตุบพลั่กตุบตั่บตุบ กร็อบ
“โอยยยย”
“อร่า”
“อัคคค”
ออร์คแทบทั้งหมดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อตัวของพวกมันกระแทกพื้น มีบางตัวที่ไม่มีแม้แต่โอกาสร้องออกมาหลังจากถูกเสือที่ขี่มาพลิกทับใส่
“รัสกู เป่าแตรสัญญาณ เรียกโทรลเข้ามา”
“ออร์คไรเดอร์ ขึ้นหลังเสือ ใครที่ยังวิ่งได้ให้รวมกำลังเราจะบุกอีกครั้ง” อาทูก้าร้องประกาศ “ ใครที่ไม่ไหวให้ค่อยๆถอยก่อน”
ออร์คทั้งหลายวิ่งไปที่เสือของตน บางตัวลุกยืนได้ แต่หลายตัวก็นอนหายใจรวยรินหรือขาขาดตัวขาด บางตัวมีเส้นเชือกสีเงินและไม้ปักพันแน่นในร่างกาย
“นี่มันอะไรกัน” อาทูก้ามองเสือเทาที่นอนดิ้นใกล้ๆ ขาหน้าขาดไปข้างหนึ่งทั้งๆที่ขาของมันมีเกราะหนังผูกมัดอยู่
ลำตัวของเสือมีเชือกสีเงินที่มีหนามแหลมคมยื่นออกมามัดไว้ ปลายเชือกมีไม้เสาผูกติดอยู่ แต่จากแรงล้มของเสือที่กลิ้งไปด้านหน้า ทำให้ไม้ที่พันกับเชือกที่ว่านี้ปักเข้าไปในลำตัวแท่งนึง
อาทูก้าใช้ดาบสอดเข้าไปใต้เชือกสีเงินนั้นแล้วพยายามตัด เขาออกแรงสะบัดเต็มที่ … ดาบเหล็กทนแรงกดไม่ไหว หักครึ่งในทันที
“นี่มัน ….” อาทูก้าร้องอย่างประหลาดใจ “นี่ไม่ใช่เชือก … นี่มันเหล็ก … ไม่สิ นี่มันโอริค่อน”
ปู้นนนนนน
เสียงสัญญาณจากแตรของออร์คดังขึ้น โทรลตัวใหญ่ทั้ง4ตัววิ่งตรงมา พวกมันมุ่งไปที่ประตูเมือง
ประตูเมืองตอนนี้มีกองทหารม้าและทหารราบออกมาตั้งรอ … แต่ที่น่าประหลาดใจต่ออาทูก้าผู้เป็นแม่ทัพไรเดอร์คือ … พวกมนุษย์ไม่เตรียมธนูเลย
แม้มนุษย์จะมีเวทมนตร์ที่กล้าแข็ง แต่โทรลมีผิวที่ทนทานต่อเวทไฟและเวทน้ำแข็งหรือแม้แต่เวทฟ้าผ่า และโทรลที่บุก 4 ตัวพร้อมกัน ก็เกินกำลังที่นักเวทหรือนักรบที่ไหนจะหยุดยั้งได้
ทำไมพวกมันไม่เตรียมธนู
“บุกประตูเมือง” รัสกูหัวหน้าหน่วยย่อยไรเดอร์ ชูดาบ แล้วชี้ไปด้านหน้าให้เหล่าโทรลที่ใกล้เข้ามาเห็น … จากนั้นจรดปากเข้าที่แตรอีกครั้ง
ปู้นนนนนนแผละ! ………………….
ออร์คที่กำลังเตรียมรบทั้งหมดหันไปมองเสียงแตรที่หายไปแบบฉับพลัน …. ตรงจุดที่รัสกูเคยยืนอยู่ตอนนี้กลายเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ นอกจากมือสีเขียวที่ยังกำแตรแน่นอยู่และกระตุกเป็นพักๆ กับหินกลมๆเปื้อนเลือดและเศษเนื้อที่ยังกลิ้งไปข้างหน้า … ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้เห็นเลย
“กระสุนศิลา ทุกคนระวัง” อาทูก้าตะโกน … เขาเป็นแม่ทัพไรเดอร์และเคยเห็นพวกนักผจญภัยที่สามารถใช้กระสุนศิลาได้ มันเป็นเวทที่พลังทำลายล้างสูงมากและพวกจอมเวทชั้นสูงมักใช้เป็นท่าเผด็จศึก
“ทุกคนหลบก่อน ไม่ต้องกลัว เวทรุนแรงแบบนี้มันยิงได้อีกไม่กี่ลูกก็หมดแล้ว” อาทูก้าตะโกนอีกครั้งในตอนที่มีมีธงสีเหลืองโบกขึ้นบนกำแพงเมือง … แม่ทัพออร์คมองไปตรงจุดที่พวกตนยืนอยู่ … มีเสาธงสีเหลืองปักบอกระยะอยู่ ….
และหินก็พุ่งลอยมาจากหลังกำแพงเมือง
“เฮ้ย!” ออร์คร้องอย่างตกใจ
ยิงไม่กี่ลูกก็หมดแล้ว
พ่อท่านน่ะสิ!
นี่ท่านเรียกว่ายิงไม่กี่ลูกก็หมดแล้วรึ
แผละ แผละ ผลั่ก
“โฮก”
“อิ๊ง”
“อิ๊”
“อร่าห์”
พริบตาเดียว หินขนาดเท่าหัวคน 25 ก้อนพุ่งตกจากฟ้าเข้าถล่ม ออร์คหลายตัวไส้แตก หัวหลุด เสือยักษ์ที่ถูกกระแทกก็ตายในนัดเดียว ออร์คบางตัวเห็นหินกลิ้งมาดูไม่เร็วมากเลยไม่ทันหลบ หินที่กระแทกหน้าแข้งก็ตัดขาหลุดขาดไป
เสียงร้องยังไม่ทันขาดหายไป หินอีกชุดก็ลอยขึ้นมา
“อ้าก”
“ไม่ม่ม่ม่ม่ม่…”
นี่มันอะไรกัน! อาทูก้ายืนตกตะลึง พวกมนุษย์มีจอมเวทมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ … หินแต่ละก้อนที่หนาหนักขนาดนี้ต้องใช้เวทระดับสูงเท่านั้นไม่ใช่หรือ
“เปิดทางให้โทรล” แม่ทัพไรเดอร์ตะโกน … ออร์คที่ยังวิ่งไหวรีบพาร่างหลบจากเส้นทาง โทรลร่างยักษ์วิ่งแถวตอนเรียงเดี่ยวมุ่งไปตามถนน เจ้าตัวแรกสุดตะโกนร้องคำรามและทำตัวให้ใหญ่ที่สุดเพื่อเตรียมรับธนูจากมนุษย์ไม่ให้ถูกพวกของมันที่มาจากด้านหลัง
ทหารบนกำแพงยกธงสีเขียวแล้วชี้ไปที่ถนน
แล้วหินหลายสิบก้อนก็ลอยขึ้นมา
แผละๆๆๆๆๆ
โครม !
ปราศจากเสียงตะโกนร้อง หรือเสียงร้องก่อนการศึก
ปราศจากเสียงธนู เสียงดาบหรือเกราะเคลื่อนไหว
มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านทุ่งข้าวสาลี และเสียงหินกลิ้งไปตามพื้น …
โทรล 4 ตัว ล้มกองลงเคียงข้างกันเป็นแถวเรียงเดี่ยว หลังจากหินที่ทะลุทะลวงเข้าไปในตัว หัว และหน้าอก เลือดสีแดงน้ำตาลที่กระเซ็นเปื้อนรวงข้าวสาลีที่ชูช่อตรงแถวนั้นจนเหมือนกับใครเอาคอร์นเฟลคมาใส่นมรสช็อคโกแลต
“พวกเรา สู้ตาย” อาทูก้าชักดาบและวิ่งไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว … ก่อนตายเขาต้องพาเอาพวกมนุษย์ให้ตายไปพร้อมกันให้ได้มากที่สุด
แล้วอาทูก้าก็รู้สึกว่ามีเงาบางอย่างตรงเบื้องหน้า … ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
แผละ!
“แม่ทัพตายแล้ว”
“พวกเราถอย”
“นั่น พวกมันดักอยู่ด้านหลัง”
ออร์คในวงล้อมมองไปด้านหลัง ทางหนีของพวกมันถูกปิดด้วยทหารม้าของมนุษย์ที่ดักรออยู่
ส่วนด้านหน้า … พลธนูยกธนูขึ้น
“ยิงได้”
พรึบ!!
ออร์คล้มลงกับพื้นหลายสิบตัว กลายเป็นออร์คเม่นไปในพริบตา
ออร์คในวงล้อมตะโกนอย่างจนตรอกและเตรียมสู้ตาย … แต่ทหารที่ล้อมเข้ามาช้าๆ ระดมยิงธนูใส่อย่างไม่หยุด ตัวที่พุ่งมาใกล้บางตัวเสียจังหวะจากโล่ลมของมนุษย์สะดุดล้มลงก่อนจะเจอแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ
รอนมองจากบนกำแพงเมือง การล้อมจัดการเป็นไปได้ด้วยดี … ด้วยสกิลของรอน เขามองเห็นพลังชีวิตของพวกออร์คไรเดอร์และเสือได้ทั้งหมด เขาชี้จุดที่ออร์คบางตัวหลบซ่อนหรือแกล้งตายอยู่ให้ทหารด้านล่างได้เห็น
เพียงครู่ใหญ่ๆ ทุกอย่างก็จบลง … ออร์คไรเดอร์และพาหนะของพวกมันตายทั้งหมด 150(+150) และโทรล 4 ตัว
ส่วนทหาร ไม่มีการสูญเสียใดๆ
“เราส่งคนไปตามท่านพ่อของข้ากลับมาป้องกันที่เมืองดีกว่าไหม” มีอาพูดขึ้น สายตามองไปที่สนามรบเบื้องล่าง
รอนส่ายหน้า “ผมคิดว่าตอนนี้กองทัพของท่านโซล่าน่าจะใกล้ปะทะกับกองทัพข้าศึกแล้วครับ ไม่น่าทันแล้ว”
เนื่องจากท่านโซล่าและนายทหารอื่นๆ ไม่มั่นใจว่าเครื่องมือของรอนจะสร้างเสร็จทันหรือไม่ และไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของ”รั้วลวดหนาม”นัก … จึงตกลงกันว่าจะยกทัพไปดักซุ่มอยู่ในป่ารอดักโจมตีออร์คขณะเดินทางมาที่เมือง … ทั้งหมดออกเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนนี้ โดยยกกองทหารราบหลักทั้งหมดออกไปแล้วอ้อมไม่ให้ออร์คไรเดอร์ที่มาดักซุ่มอยู่ตรงชายป่ารู้ตัว
ส่วนทหารราบและกำลังสำรองถูกทิ้งไว้เพื่อป้องกันเมืองตามแผนของรอน ซึ่งได้ผลดีเกินคาด
“ผมขอให้ท่านมีอาสั่งทหารและชาวเมือง ให้ช่วยกันขนซากเสือและออร์คที่ตายแล้วไปไว้ที่พื้นที่โล่งห่างจากเมือง 2 ไมล์” รอนบอก “โดยเฉพาะซากโทรล ขอให้ขนเอาไปวางพาดใกล้หอสัญญาณให้มากที่สุด”
“เก็บรั้วลวดหนามกลับเข้ามาให้หมดเพื่อเอามาใช้ซ้ำทำวางแนวป้องกันในเมือง”
“จากนั้นเผาหอสัญญาณรอบๆ และเผานาข้าวสาลีให้หมดครับ”
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอคะ … แล้วอาหารพวกนั้น” มีอาถาม
“งั้นเร่งเกี่ยวให้เสร็จแล้วเผาครับ แต่ต้องรีบหน่อยนะครับ ถ้าเกิดพวกมันรู้ว่าเราเผาเองพวกมันอาจจะไม่ติดกับเราได้”
“ท่านรอนคิดว่าท่านพ่อจะแพ้หรือ?”
รอนมองไปที่ขอบฟ้าไกลๆ ….. แล้วหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นควันไฟเริ่มลอยมาจากเบื้องหน้า
“ ผมหวังไว้ว่าจะชนะครับ ”
*** *** ***
แสงยามเย็นสาดส่องผ่านใบไม้ในป่า ตรงจุดนี้ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 1 วัน ทหารราบหลบอยู่ไม่ส่งเสียงใดๆ ผ้าคลุมสีแดงถูกนำมาห่อปกปิดไม่ให้มีแสงสะท้อนจากเกราะโลหะออกไปให้เห็น
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพเมืองกาล่า ยืนอยู่ใกล้กับถนน ชุดเกราะทรงมัดกล้ามแบบสีน้ำตาล ผ้าคลุมสีแดงของเขาคล้ายคลึงกับของหัวหน้าเซ็นจูเรี่ยนอื่นๆ ต่างกันเพียงหมวกโลหะของเขาประดับไปด้วยพู่ขนสีดำ
“ท่านโซล่าครับ หน่วยสอดแนมกลับมาแล้ว บอกว่ากองทัพออร์คเคลื่อนกำลังเข้ามาใกล้แล้วครับ”
“ดีมาก บอกทุกหน่วยเตรียมพร้อม พอพวกมันเข้ามาถึงครึ่งทาง เราจะโจมตีพร้อมกันทันที”
“ครับ”
ทหารที่มารายงานถือธงคำสั่งวิ่งไปเพื่อบอกหัวหน้ากองทหารทั้ง 20 กองร้อยที่แอบซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทาง …
“ท่านโซล่าไปอยู่ตรงด้านหลังเถอะครับ” โยฮันเดินมาบอก
“โยฮัน ……… ตรงจุดที่เราอยู่ตรงนี้ก็เป็นใจกลางกองทัพแล้ว …. ความจริงข้าควรจะไปอยู่ตรงกองร้อยที่20ที่อยู่แนวหน้าที่สุดด้วยซ้ำไป” เจ้าเมืองตอบ
“ท่านคิดว่าที่เมืองจะเป็นยังไงบ้างครับ”
“ แม้ไรเดอร์จะมีมาก แต่ก็มีแค่หลักร้อย รอยเท้าโทรลที่เราเห็นก็มีไม่ถึง10ตัว และในเมืองเราเหลือทหารกำลังสำรองอีก1000คน ” เจ้าเมืองตอบ “ข้าคิดว่าเราน่าจะสูญเสียไม่เกิน 300 คน … ขึ้นกับว่าโทรลเข้าเมืองไปได้กี่ตัว”
โยฮันไม่พูดอะไร … แผนที่วางไว้คือ หลังจากรบตัดกำลังข้าศึกในป่าได้แล้ว จะถอนกำลังกลับทันที … และเจ้าเมืองคาดว่าอาจจะต้องสู้กับออร์คไรเดอร์ที่ยังหลงเหลือในบริเวณนั้นก่อนจะเข้าเมือง
“ท่านครับ กองหน้าศัตรูมาแล้วครับ” ทหารนายนึงบอก
“งั้นเราหลบก่อน … พวกมันมากันเท่าไหร่” โยฮันบอก
“คนเดียวครับ … ขี่ม้ามา”
“คนเดียวรึ?”
ทุกคนเงียบเสียงลงทันที ถ้ามาคนเดียวก็น่าจะเป็นหน่วยสอดแนม ดังนั้นแต่ละคนจึงไม่ส่งเสียงใดๆออกไป … รอจนหน่วยสอดแนมกลับไปคงเป็นกองทัพของพวกมัน
ทุกสายตาจับจ้องไปเบื้องล่าง ม้าสีดำเดินมาช้าๆ บนหลังม้าเป็นผู้ชายในชุดผ้าสีดำคลุมศีรษะ มือข้างขวาถือไม้เท้ากระดูกสีขาวโพลน
ม้าตัวนั้นเดินมาช้าๆแล้วหยุดลง คนที่มองเห็นจะเห็นว่าชายคนนั้นพูดอะไรบางอย่างอยู่ …. กองทัพทั้งกองมองดูชายคนนั้นและเฝ้ารอให้หันม้ากลับไป …
ลมพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้ผ้าคลุมศีรษะของชายคนนั้นเปิดออก … เผยให้เห็นศีรษะล้านโล่งเตียนและใบหน้าที่ซีดเผือด ปานสีแดงรูปมือคลุมทับที่ใบหน้า
ชั่วขณะนั้นทหารเก่าที่อายุมากต่างค่อยๆลุกยืนขึ้น มือและขาสั่น … แต่ว่าแต่ละคนค่อยๆชักดาบออกจากฝัก แล้วค่อยๆก้าวออกไป
“ เฮ้ยลุง จะไปไหน” ทหารที่อายุไม่มากดึงไว้
“ย้ากกกก”
“ลุย!”
“พวกเราฆ่ามัน!”
“ยิงธนู พลธนูยิงธนู!”
เหล่าทหารอาวุโสกรูผ่านต้นไม้สองข้างทางมุ่งหน้าไปยังชายบนหลังม้า … แม้ปากจะบอกว่าให้ฆ่า แต่ใบหน้าแต่ละคนแสดงออกถึงความกลัวอย่างสุดขีด พลางตะโกนสั่งให้พลธนูข้างหลังตนรีบยิงธนูใส่
“โยฮัน! เป่าแตรสัญญาณรบ สั่งทุกกองฆ่าชายบนหลังม้า” โซล่าชักดาบ “ยิงธนูรุมมัน … สั่งนักเวทและทหารของเราให้ใช้เวทอะไรก็ได้ให้มานาหมด”
“แต่ท่านครับ ทหารของเรายังอยู่ตรงนั้นนะครับ”
“นี่คือคำสั่ง … ทำเดี๋ยวนี้” โซล่าสั่งพลางชักดาบแล้ววิ่งนำหน้าไป
“ทุกคน! บุกไปข้างหน้า! เป้าหมาย … ฆ่านักรบมังกรดราซัค!”