Midterm Fantasy - ตอนที่ 251
“จริงด้วย คุณพ่อก็เป็นนักรบมังกรแห่งความมืดนี่นา” รอนนึกได้ “ที่เคยบอกว่าได้ถอดศิลานักปราชญ์เก็บเอาไว้ในบ้านใช่ไหมครับ”
คุณวิทวัสพยักหน้า
“ไม่ได้นะคะคุณ” อารยาวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก
“แต่ลูกของเราติดอยู่ที่ด้านโน้น ถ้าผมไม่ไปลูกของเราก็ต้องอยู่ในอันตราย” วิทวัสบอกภรรยา
รอนมองอย่างงุนงงครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้
“หรือว่า…”
“ถูกต้อง ถ้าพ่อข้ามไปโลกโน้นเมื่อไหร่ จะถูกDimension Lock และกลับมาที่นี่ไม่ได้” วิทวัสบอก “จนกว่าDimension Lock จะหมดฤทธิ์ หรือไม่ก็จนกว่าจะจัดการกับทรอนได้”
รอนรู้สึกลำบากใจ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ยากเย็นอะไรนักเพราะในที่สุดทั้งวิทวัสและอารยาก็ตัดสินใจได้
แพทสำคัญที่สุด!
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณ ถ้าผมใช้ศิลานักปราชญ์ พลังของผมก็จะไม่ต่างจากเวก้า” วิทวัสบอก “แม้แต่มังกรของมันยังเคยโดนผมซ้อมซะหมอบเลย”
“แต่ถ้าเวก้ามันมากับมังกร…” อารยาถามอย่างกังวล
“คุณลืมไปแล้วเหรอ ผมคือเท็นสไควร์ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของราชาอันเดท” วิทวัสบอก “เวทเพิ่มพลังของผมคือเวทที่แข็งแกร่งที่สุด”
เวท Power Overwhelming ของเท็นสไควร์ในร่างมนุษย์ธรรมดา ยังแข็งแกร่งพอที่จะฉีกรถได้ และฆ่าคนของแก๊งเมษาได้เป็นร้อยๆคน
แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับการใช้ในตอนที่ได้บูสพลังจากศิลานักปราชญ์
“ถ้างั้นคุณพ่อจะไปตอนไหนครับ” รอนถาม
วิทวัสส่ายหน้า
“Rally point ของพ่ออยู่ในที่ที่ยุ่งยากสักหน่อย”
“ที่ไหนครับ”
“พระราชวังแอสคาลอน”
“ห๊ะ”
แล้วรอนก็ต้องเหงื่อแตกเมื่อรู้ถึงเหตุผล
เรื่องก็คือ หลังจากที่ให้อารย่าแสดงละครแกล้งตาย เท็นสไควร์ก็บุกไปที่พระราชวังของแอสคาลอน
จากนั้นเข้าไปในท้องพระคลังของวัง แล้วก็วาร์ปมาฝั่งนี้ แล้วก็ไม่กลับไปอีก
รอนคลับคล้ายคลับคลาว่า ในวังนั้น มีพื้นที่หนึ่งที่มีทหารองครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนที่อยู่ในสภาพพร้อมรบ เฝ้ายามจุดจุดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
เฝ้ารอคุณพ่อวาร์ปกลับไปสินะ!
“ว่าแต่ทำไมคุณพ่อต้องบุกพระราชวังด้วยล่ะครับ”
“เธอเคยได้ยินชื่อของวิเศษที่ชื่อว่าตาข่ายอิดิปุสไหมล่ะ”
รอนนึกแล้วก็นึกออกว่าได้ยินชื่อนี้มาก่อนในวันที่โดนวางยาปลุกกำหนัดที่พระราชวัง
“ตาข่ายที่ใช้ขนของจำนวนมากระหว่างมิติใช้ไหมครับ” รอนบอก
“ใช่ ตอนนั้นพ่อขโมยตาข่ายที่ว่าเข้าไปในท้องพระคลัง จัดการคลุมเงินทองของมีค่าในคลัง แล้วก็วาร์ปมาฝั่งนี้ยังไงล่ะ จากนั้นก็ใช้เงินทองที่ได้มาตั้งตัวที่นี่” วิทวัสบอก
“ถึงว่าถึงได้แค้นขนาดตั้งกำลังรอการกลับไปอยู่ตลอด” รอนบอก
“ก็ส่วนนึงแหละ แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะอารย่า” วิทวัสบุ้ยไปทางภรรยา “ตอนอยู่ที่โน่นทั้งพระราชาลูเซียสและเจ้าโซล่าต่างหลงรักอารย่าแบบหัวปักหัวปำ หลังจากที่ให้อารย่าแสดงละครว่าตาย เจ้าสองคนนั่นถึงกับคลั่งไปเลย”
“ถ้าอย่างนั้น …”
“รอน พอเธอกลับไปที่โลกโน้น เธอต้องรีบเดินทางไปที่เมืองวาเลนเทีย พบไอ้เจ้าลูเซียสนั่นแล้วบอกมันซะ พอพ่อข้ามไปฝั่งโน้นได้จะได้ไม่ต้องสู้กัน”
“ครับ”
“อีกอย่าง ติดต่อหลิวลี่จงให้หาอาวุธสงครามให้ได้มากที่สุด เราจะขนอาวุธไปโลกโน้นแล้วถล่มกองทัพของมัน”
“เดี๋ยวนะครับ เราขนปืนข้ามไปฝั่งโน้นไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“จริงๆเราขนปืนไปได้ แต่กระสุนจะติดอยู่ที่ฝั่งนี้ ซึ่งนั่นคือในกรณีปกติ” พ่อบอก “แต่ว่าถ้าใช้ตาข่ายอิดิปุสล่ะก็ ไม่ว่าจะขนอาวุธอะไรไปก็ทำได้ทั้งนั้น จะเครื่องยิงจรวด ระเบิด รถถัง ก็เอาไปได้หมด ส่วนเรื่องลิมิต30วันมันก็พอช่วยได้ระดับนึง ถ้าของไม่มากเกินไปมันก็จะขนเอาไปได้”
“โอ้ ของดีขนาดนี้!”
“แต่มันใช้เวลา50ปีในการชาร์จพลัง ชั้นใช้มันไปแล้วครั้งนึงตอนขนเงินทองมาโลกนี้ ดังนั้นมันจะใช้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” พ่อของแพทบอก “นายกำชับหลิวลี่จงให้ดี ไม่ต้องเกรงใจใดๆ ขนไปให้เต็มที่”
รอนยกโทรศัพท์โทรทันที คุยกันครู่หนึ่งแล้วก็วางสายไป
“คุณหลิวบอกว่าถ้าในเวลาสั้นๆนี้คงหาลำบากครับ” รอนบอก “แต่ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยสั่งให้คุณหลิวหาชุดเกราะ โล่กันกระสุน และพวกมีดดาบทั้งหลาย คุณหลิวขนไปเก็บซ่อนในคอนเทนเนอร์ในฮ่องกงเป็นเดือนแล้ว ถ้าเป็นของพวกนั้นเราก็ขนไปได้เลย”
“ดีเลย” วิทวัสตาเป็นประกาย “ตาข่ายอิดีปุสมีพลังจำกัด ถ้าของมันอยู่ที่นั่นเป็นเดือนแล้วตาข่ายก็จะใช้พลังงานน้อยลงขนของได้มากขึ้น งั้นตกลงเอาของที่โกดังนั่นแหละ”
รอนกลับบ้านเพื่อตระเตรียมการเดินทาง
แผนที่วางไว้คือ เขาจะยังไม่เอาอาวุธข้ามไปฝั่งโน้น เพราะว่าถ้าขนไปทั้งคอนเทนเนอร์ เขาจะไปโผล่บนหอสังเกตการณ์ หออาจจะถล่มได้
เขาจะต้องไปที่โลกโน้น เตรียมตัวเดินทางไปวาเลนเทียให้เร็วที่สุด เมื่อไปถึงหากไม่คับขันก็จะรอที่โอลเซ่น 12 ชั่วโมง เพื่อขนคอนเทนเนอร์ไปทิ้งไว้ก่อนไปวาเลนเทีย
แต่หากสถานการณ์คับขัน เขาจะออกเดินทางทันที
แต่จะไปยังไงให้เร็วที่สุดล่ะ
“จริงสิ เราทิ้งไอ้นั่นไว้ที่หมู่บ้านโอลเซ่นนี่นา”
*******
ตัดกลับไปก่อนหน้านั้น ที่หมู่บ้านโอลเซ่น เด็กสาวยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์อย่างงุนงง
รอนหายไปไหน?
“รอน เธออยู่ไหน รอน ได้ยินหรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา เด็กสาววิ่งลงจากหอสังเกตการณ์ลงไปเบื้องล่าง เจอโรล่ากับคุณเบรเซอร์
“โรล่า เธอเห็นรอนหรือเปล่า”
“ไม่เห็นค่ะ” โรล่าตอบ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“รอนหายตัวไปค่ะ” แพทบอก “จู่ๆรอนก็หายไปเฉยๆเลย”
ก่อนที่พ่อเฒ่าเบรเซอร์และโรล่าจะออกความเห็นใดๆ เสียงฮือฮาสับสนก็ดังมาจากในเมือง เสียงม้าควบดังมาตามถนน
“คุณเบรเซอร์ แย่แล้วครับ”
“กัปตันเรย์ เกิดอะไรขึ้นเรอะ”
“ท่านนักรบมังกรจิลหายตัวไปครับ”
“หายตัวไป?”
“ครับ ท่านจิลเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อมาเตรียมการใช้ลูกแก้วไพล่อน กำลังคุยกับพวกเราเรื่องการเตรียมกำลังพลอยู่ จู่ๆท่านจิลก็หายไปเฉยๆเลยครับ” กัปตันเรย์บอก
เบรเซอร์ โรล่า และแพทชะงักงัน นักรบมังกรแห่งแสงสว่างหายตัวไปเฉยๆสองคนพร้อมกัน หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว
“ทุกคน ดูนั่น บนท้องฟ้านั่นเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนเงยหน้าขึ้นไป บนท้องฟ้าปรากฎจุดสีดำขึ้นหลายจุด กระจัดกระจายไปไกลจนสุดสายตาปกคลุมทั้งหมู่บ้านโอลเซ่นและดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วพื้นที่โดยรอบ
คนหนุ่มสาวต่างไม่เข้าใจกัน แต่คนที่อายุมากกว่า 40 ต่างหน้าซีดเซียว
“ม่านหมอกแห่งความมืด!” เบรเซอร์ร้องออกมา “ตีระฆังเตือนภัยเร็วเข้า แล้วรีบติดต่อเมืองกาล่าด่วน”
แก๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงระฆังดังก้องเป็นสัญญาณให้ทุกคนกลับเข้ามาหลบในเมือง ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นโดยทั่วไป
“เมื่อครั้งนั้นก่อนที่จะเกิดสงครามครั้งใหญ่ ก็เกิดม่านหมอกแบบนี้เหมือนกัน” เบรเซอร์พูดด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “และถ้าเป็นเหมือนครั้งนั้น ต่อจากหมอกสีดำก็จะมีอย่างอื่นอีก”
“อย่างอื่น ? อะไรคะ” แพทถาม ก่อนที่คำตอบจะตามมาอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้วครับคุณเบรเซอร์ เราติดต่อเมืองกาล่าไม่ได้ครับ” คนที่ทำงานในที่ทำการวิ่งมาบอก “พวกเราลองติดต่อเมืองกาล่า ไปจนถึงป้อมและหมู่บ้านใกล้เคียง แต่สัญญาณเวทมนตร์หายไปหมดเลยครับ”
หมอกสีดำค่อยๆปกคลุมทั่วทุกที่ ทุกคนรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นเหมือนกับมีนิ้วสีดำที่สัมผัสไปตามร่างกาย การมองจำกัดลงมองได้ไม่เกิน 10 เมตร
และนั่นไม่ใช่ทั้งหมด
เมื่อหมอกสีดำนั่นลงมาสัมผัสกับเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ ไฟก็จะค่อยๆลดขนาดลงจนดับในที่สุด
เปลวไฟตามที่ต่างๆค่อยๆดับลงเรื่อยๆ หมู่บ้านโอลเซ่นตกอยู่ในความมืดมิด เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวดังไปทั่วพื้นที่
ยกเว้นเพียงจุดเดียวคือที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
เสาที่รอนปักเอาไว้ตอนนั้น เสาติดตุ๊กตานิชลีนที่เปิดไฟส่องสว่างไว้ แสงสว่างรอบๆผลักดันหมอกสีดำให้ห่างออกไป
“หมอกมันสู้แสงไฟฟ้าไม่ได้ คุณเบรเซอร์ สั่งการเปิดไฟค่ะ เปิดไฟทั้งหมู่บ้านเดี๋ยวนี้เลย”
ปึง ปึง ปึง เสียงสับคัทเอาท์ดังขึ้นก่อนที่หลอดไฟแอลอีดีที่ติดตั้งไว้ทั่วเมืองจะส่องสว่าง ขับไล่หมอกสีดำให้กระจายออกจากเมืองไป เสียงโห่ร้องยิงดีดังขึ้นทั่วทั้งหมู่บ้าน
หากมองจากภายนอกที่กลายเป็นพื้นที่อันมืดมิดไปจนหมด หมู่บ้านโอลเซ่นเป็นแสงส่องสว่างเดียวที่มองเห็นได้ในรัศมีหลายร้อยไมล์ เป็นเหมือนประภาคารส่องสว่างในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
“เปิดไฟกำแพงเมือง”
ปึง
แสงไฟส่องไปนอกเมือง หมอกในรัศมี500เมตรสลายตัวไป และเผยให้เห็นใบหน้าอันตกใจของมนุษย์ตัวเขียวกลุ่มใหญ่ที่อาศัยความมืดเคลื่อนตัวอยู่
“ก็อบลิน!”
“ทุกคนระวังตัวด้วย มีก็อบลินอยู่ข้างนอก”
คนที่ยังอยู่นอกหมู่บ้านต่างละทิ้งข้าวของวิ่งหนีเข้ามา นักผจญภัยและทหารรับจ้างในเมืองวิ่งกันให้วุ่นไปหมด แม้แต่กัปตันเรย์ก็ยังสับสน ความจริงการบังคับบัญชากองทหารเป็นของท่านโยฮัน แต่ว่าท่านโยฮันกลับเมืองกาล่าไป เหลือแต่เขาที่เป็นนายทหารคุมหน่วยทหารม้าเท่านั้น
พ่อเฒ่าเบรเซอร์เตรียมจะไปที่กำแพงหมู่บ้านเพื่อบัญชาการ แล้วเสียงก็ดังมาจากหอสังเกตการณ์ใจกลางหมู่บ้าน
“หน่วยป้องกันเมือง ประจำกำแพงทั้ง4ด้าน”
“หน่วยยิงหิน ยังไม่ต้องตั้งเครื่อง ตอนนี้ข้าศึกมีไม่มาก ทัศนวิสัยไม่ดี ด้านนอกยังมีชาวบ้านที่กลับมาไม่ถึงอยู่ ระวังจะยิงโดนกันเอง”
“ทหารรับจ้างและนักผจญภัย มีก็อบลินจำนวน 200 ที่กำแพงตะวันตก ก็อบลินที่ฆ่าได้ในวันนี้เราจะจ่ายค่าหัวให้เป็น 3 เท่า”
“กัปตันเรย์ มีขบวนรถม้าที่กำลังมุ่งมาทางทิศใต้กำลังจะถูกก็อบลินโจมตี ท่านรีบนำกำลังไปช่วยเร็วเข้า”
เมื่อมีคนสั่งการ ทุกคนก็ลงมือทำอย่างรวดเร็วตามที่ได้ฝึกซ้อมเอาไว้
ส่วนแพทสั่งการออกไปเป็นชุด ในตอนนี้มีเพียงเธอที่มีสกิลแผนที่รบที่สามารถบอกสถานการณ์โดยรอบได้ดีกว่าคนอื่นๆ
เด็กสาวมองออกไป ตอนนี้มีแต่หมู่บ้านที่สว่างไสว หากแต่ภายนอกนั้นล้วนแล้วแต่มืดมิดจนมองอะไรไม่เห็นจนดูน่ากลัว
เธอรู้สึกกลัว
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้ว่าทำไมรอนถึงหายไป
ไม่รู้ว่าเจ้าDimension Lock ที่ทำให้เธอกลับไปไม่ได้นั่นคืออะไร
เธอรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้เท่านั้น
ในเวลาเดียวกันที่หมู่บ้านที่ไกลออกไป
“เฮ้ย นั่นมันอะไรกัน”
“แสงสว่างนั่น ยังกับลางร้ายเลย”
ชาวบ้านสองคนคุยกันที่หน้าสำนักงานรถม้าอูเบอร์ประจำหมู่บ้านมองดูซูเปอร์โนวาที่ระเบิดอยู่บนฟากฟ้า
“ทำไมแกดูไม่กลัวเลยวะ” ชาวบ้านคนนึงถามเพื่อนบ้านที่เป็นพนักงานขับอูเบอร์
“จะลางร้ายหรือไม่ พวกเราก็ต้องทำงานหาเงิน จะกลัวไปทำไมกันวะ” คนขับรถบอกก่อนจะวางผ้าที่ขัดตุ๊กตา(ท่านเทพ)นิชลีนที่ติดหน้าสำนักงาน ยิ้มให้กับตนเองอย่างพึงพอใจก่อนจะกดเปิดสวิทซ์ไฟ
ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มควันสีดำก็ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าแล้วทิ้งตัวลงมาที่พื้น
“เฮ้ย นั่นหมอกสีดำอะไรวะ”
“คบไฟ คบไฟดับหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้น”
“ข้างนอกนั่นมีเสียงก็อบลิน แย่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
จากการพูดคุยธรรมดากลับกลายเป็นตื่นตระหนก ผู้คนในหมู่บ้านต่างวิ่งหนีเข้าบ้านอย่างหวาดกลั
ม่านหมอกสีดำไม่เพียงแต่ปกคลุมหมู่บ้านโอลเซ่น แต่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปซีแลนเดีย กองทัพของทุกอาณาจักรถูกระดมพลอย่างสับสน ประชาชนตกอยู่ในความแตกตื่นจากความมืดที่แผ่ขยายเข้ามา ทุกแห่งตกอยู่ในความมืด แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องผ่าน เปลวไฟมิอาจถูกจุดขึ้น
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอสคาลอน