Midterm Fantasy - ตอนที่ 25
เด็กหนุ่มกลับมาที่ห้องพักแขกของหัวหน้าหมู่บ้านเบรเซอร์อีกครั้งพร้อมกับข้าวสารในมือขวา กล่องยาในมือซ้าย … เขาถอนหายใจกึ่งผิดหวังกึ่งดีใจ
ที่เขารู้สึกแบบนี้เพราะว่าเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาเคลื่อนย้ายมาโลกฝั่งนี้ด้วยการเริ่มต้นที่นอกห้องนอนของตนเอง … เขาแอบลงมาที่ชั้นล่างขณะที่พ่อและแม่นอนหลับไปแล้วและออกมาในสวน ก่อนจะลองยกกระสอบข้าวสารและกล่องยาขึ้น
ที่ผิดหวัง เพราะ นี่แปลว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็จะยังโดนย้ายข้ามมิติมายังโลกนี้
แต่ที่ดีใจ เพราะ นี่แปลว่าเขาไม่จำเป็นต้องยกของหนักๆแอบเอาเข้าบ้านแล้วยกขึ้นห้องนอนทุกครั้ง
ในตอนเช้าวันถัดมา รอนมอบกระสอบข้าวให้กับเบรเซอร์ก่อนที่จะขอให้ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านพาเขาไปหากลาสที่กำลังเก็บของเตรียมตัวเดินทางต่อ จากนั้นแจ้งความต้องการที่จะให้กลาสเป็นคนแจกจ่ายยาให้ตามหมู่บ้านรายทางก่อนจะถึงเมือง
“แล้วจะให้ขายในราคาเท่าไหร่” กลาสถามด้วยความฉงนสงสัยพลางคิดถึงเงินที่จะทำได้จากการค้าครั้งนี้
“แจกฟรีครับ”
“ห๊ะ แจกฟรี ….ทำไมกัน” กลาสถามแบบงงสุดๆ วันก่อนเจ้าหนุ่มนี่ยังเพิ่งทำหน้าเหมือนไม่มีเงินอยู่เลยไม่ใช่รึ
“ครับ แจกฟรี” … รอนตอบ ” สิ่งที่ผมต้องการคือ ผมอยากให้หมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงกับหมู่บ้านโอลเซ่นรอดพ้นจากโรคระบาด …. และคนไม่ต้องย้ายถิ่นที่อยู่กัน ถ้าหมู่บ้านรอบๆสงบสุขไม่มีคนต้องย้ายถิ่นที่อยู่ มอนสเตอร์ก็จะมีหมู่บ้านอื่นดึงดูดไปและไม่มาที่นี่”
กลาสพยักหน้าตาม ก่อนจะดูสีหน้าของเด็กหนุ่ม ….รอนทำหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัด … พ่อค้าเร่เองก็เห็นประสิทธิภาพของยานี้แล้วว่าเยี่ยมยอดขนาดไหน เพราะคนในหมู่บ้านโอลเซ่นเองหลายคนมีแผลพุพองที่ผิวหนังซึ่งตามปกติเป็นสัญญาณว่าไม่รอดแทบจะแน่นอน … แต่คนเหล่านั้นหลายคนตอนนี้ลุกมาเดินได้แล้วหลังจากได้ยาที่ว่าเข้าไป
มันต้องเป็นยาที่คุณภาพสูงและราคาแพงที่ใช้ในหมู่ชนชั้นสูงแน่ๆ กลาสคิด นี่แสดงว่าคตวามต้องการหลบซ่อนของเด็กหนุ่มคนนี้ที่หมู่บ้านนี้ต้องสูงมากๆ
รอนมองดูยาDoxycyclineคุณภาพต่ำราคาถูกสำหรับสุนัขในมือแล้วถอนใจ …. ถึงราคาจะไม่แพงมากแต่ทั้งหมดนี่ก็ราคาเป็นหมื่นเลยทีเดียว แต่ทำอย่างไรได้ เพราะนี่เป็นทางเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้
สำหรับเรื่องอาหารที่จะให้หมู่บ้านอื่น เขาก็จนปัญญา ….ถ้าหากหมู่บ้านนั้นๆขาดอาหารก็คงย้ายออกไปอยู่ดี.
“แล้วทำไมต้องฟรีด้วย เราขายราคาถูกไม่ได้รึ”พ่อค้าเร่ถามพลางเอามือลูบหัวที่ล้านเป็นเงามัน
“ถ้าหากเราแจกยาในราคาถูก คนก็จะสงสัยได้ว่าทำไมยาที่รักษาโรคได้ขนาดนี้ถึงถูกนำมาขายถูกๆ ยิ่งพ่อค้าอย่างคุณกลาสขาย อาจจะเจอหาว่าเป็นของที่ขโมยมา เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นเรื่องยุ่งยากอื่น ๆ ก็ตามมาไม่มีที่สิ้นสุด … แต่หากตั้งราคาแพงตามปรกติชาวบ้านก็ไม่สามารถซื้อหาได้ … สุดท้ายก็จะย้ายที่อยู่อยู่ดี”
“แล้วให้แจกฟรีคนจะไม่ยิ่งสงสัยรึ” พ่อค้าเร่ถามอีก
” ผมเลยอยากให้คุณกลาส แจกยานี้เฉพาะในหมู่บ้านตามรายทาง โดยไม่ให้ไปแจกในตัวเมืองไงครับ เพราะในหมู่บ้านเล็กๆเหล่านี้ อย่างน้อยเรายังขอร้องให้เขาปิดบังเป็นความลับได้” ….
“และผมอยากจะให้คุณกลาสบอกกับชาวบ้านไปว่ายาตัวนี้เป็นผลงานของนักปรุงยาที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปกับโรคระบาดครั้งนี้ ทำให้เขาปรุงยาแจกจ่ายโดยไม่คิดเงินใดๆเพื่อจะได้ไม่มีคนต้องสูญเสียแบบเขา”
กลาสพยักหน้าเห็นด้วย ในช่วงที่มีภัยพิบัติขนาดนี้คนทุกคนย่อมมีญาติพี่น้องเพื่อนพ้องที่ตายไปด้วยโรคนี้แน่ และเรื่องเล่าที่เร้าอารมณ์ร่วมแบบนี้ย่อมทำให้คนเชื่อแบบไม่ค่อยตั้งข้อสงสัย
“นอกจากนี้ผมยังให้หัวหน้าหมู่บ้านเบรเซอร์กับนักบวชรอคโค่ช่วยกันเขียนจดหมายขึ้นมาสำหรับให้คุณกลาสนำไปยืนยันกับแต่ละหมู่บ้านว่ายานี้ได้ถูกใช้ได้ผลที่หมู่บ้านโอลเซ่น คุณกลาสจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก”
กลาสรับกล่องยาและจดหมายไป แม้เขาจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้คิดอะไรตื้นๆไปหน่อยสำหรับเรื่องนี้ แต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของรอน
ในความเห็นของกลาส รอนควรจะขายยาในราคาปกติและนำเงินที่ได้มาใช้กับหมู่บ้านโอลเซ่น ถ้าทำแบบนี้ก็จะสามารถขายยาในตัวเมืองได้
…. แต่ถ้าเลือกวิธีนั้น ก็จะมีคนจำนวนมากที่ต้องตายไปจากโรคระบาด …
ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนี่จะเลือกหนทางที่ช่วยคนได้มากกว่าแม้จะเสี่ยงกับตัวเองมากขึ้น …. เป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่น่าสนใจไม่น้อย
“แล้วถ้าหมู่บ้านนั้นมีคนเหลือไม่มากล่ะ”
“ผมอยากจะรบกวนคุณกลาสให้คำนวณยาที่จะแจกให้พอดีจำนวนคนครับ ถ้าหากเหลือก็ให้เก็บไว้ …. ถ้าหากเหลือจริงๆจะนำไปแจกหรือขายในตัวเมืองก็ได้”
ขบวนรถของพ่อค้าเร่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านไป ชาวบ้านไปยืนโบกมือลาที่ทางเข้าหมู่บ้าน …อีกนานนับเดือนกว่าพ่อค้าเร่จะกลับมาอีก
ใจจริงแล้วรอนก็อยากจะซื้อของจากโลกมาขายให้กลาสและนำเหรียญทองไปแลกเงินเพิ่ม แต่ว่าเขาก็กลัวว่ากลาสและคนในขบวนรถเร่จะสงสัย …. และในเมื่อเมื่อวานพ่อของแพทพูดเองว่าสนใจผลึกสีแดงที่น่าจะหมายถึงแกนมอนสเตอร์ และเขายังมีเงินเหลืออยู่ในบัญชี ดังนั้นก็ไม่น่าจะรีบร้อนอะไรตอนนี้
“นำข้าวสารกระสอบใหม่ไปรวมกับของเก่าแล้ว เราน่าจะอยู่ไปได้อีกสักห้าถึงสิบวัน” มาเรียจดลงบนกระดานหน้าหมู่บ้าน
“ยาที่คุณรอนให้มา แจกจ่ายให้คนในหมู่บ้านไปจนครบแล้ว และเหลือสำรองไว้อีกหน่อย” เด็กสาวจดลงไปอีก
“อาวุธตอนนี้ เรามีหอกทองแดง 20 ด้าม ไม้ยิงลูกหิน30ด้าม แต่ไม่มีหินที่จะใช้ยิง”
“งั้นให้พอลพาคนไป9 คน ไปที่แม่น้ำแล้วเก็บก้อนกรวดก้อนหินมาให้มากที่สุด ” เบรเซอร์บอก
“กำแพงไม้ชั่วคราวที่เราทำปิดทางเข้าออกหลังหมู่บ้านมีรอยแตก”
“เรายังเหลือไม้อยู่ ให้คนไปช่วยกันซ่อมสัก5 คน ให้วินเซนต์ที่ดูแลโรงไม้เป็นคนจัดการเลือกคนแล้วกัน”
มาเรียจดงานของหมู่บ้านลงบนกระดาน จากนั้นหันกลับมามอง … คนในหมู่บ้านที่ประชุมกันกลางลาน
“ผู้เฒ่าครับ ผมอยากเสนอให้ดัดแปลงทางเข้าหมู่บ้านด้วย” รอนบอก
” ยังไงรึ”
” ตอนนี้กำแพงของหมู่บ้านเป็นกำแพงชั้นเดียว ถ้าหากมอนสเตอร์วิ่งผ่านเข้ามาได้ก็จะวิ่งเลาะขอบกำแพงเข้าหมู่บ้านได้ทันที” รอนเล่า “อย่างตอนก็อบลินบุกที่ผ่านมา มีอยู่ตัวนึงที่พยายามจะเข้ามาในหมู่บ้านตรงขอบทางเข้า ถ้าวันนั้นไม่มีนักดาบหลบตรงทางเข้า ก็อบลินตัวนั้นอาจจะเข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านได้ ”
ทุกคนพยักหน้าตาม
” ผมเลยอยากให้เราปักกำแพงด้านข้างให้ลึกเข้ามาสักหน่อย ให้สูงแค่เอวก็พอ ถ้ามีการบุกเข้ามา เราก็สามารถปักหลักตรงทางเข้าโดยให้คนช่วยกันถือหอกรุมแทงหรือใช้หนังยางยิงหินจากทั้งสองข้างได้” รอนเสนอ ….
” ใครเห็นว่ายังไงบ้าง” เบรเซอร์ถาม ทุกคนเห็นด้วย ไม่มีใครคิดอย่างอื่น มาเรียเขียนงานที่ต้องทำลงบนกระดาน
ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงาน รอนไปช่วยขุดดินเพื่อปักเสาตรงทางเข้าหมู่บ้านด้วยตนเอง …. เพราะว่าคนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงไม่ก็ยังป่วยไม่หายดี
[Fort Constuction Lv 1 : 01/100]
ดูเหมือนว่าประสบการณ์สร้างป้อมในเกมจะไม่สามารถเอามาใช้ได้แฮะ
เด็กหนุ่มช่วยขุดดินจนเป็นแนวเข้ามาประมาณ 5 เมตรทั้งสองฝั่งของประตู จากนั้นก็ช่วยกันนำท่อนไม้ที่หนาเท่าแขนผู้ใหญ่ วางตั้งลงไปเหลือความสูงประมาณอก พวกผู้หญิงและเด็กช่วยกันขนไม้จากโรงไม้มา คนที่ทำงานช่างเป็นช่วยกันใช้เชือกมัดท่อนไม้แต่ละท่อนให้ติดชนกัน ก่อนจะค่อยๆโกยดินลงไปแล้วใช้ค้อนไม้อันใหญ่ทุบดินบริเวณโคนเสาให้แน่นหนา
[Fort Constuction Lv 1 : 20/100]
รอนนั่งพักเหนื่อยใต้ร่มเงาของกำแพงรั้วหมู่บ้าน … เขาดูผู้ชายในหมู่บ้านที่กำลังทดสอบการซุ่มโจมตี แต่ละคนลองนั่งย่อหลบที่ข้างกำแพง จากนั้นลุกพรวดขึ้นแล้วใช้หอกจิ้มไปตรงกลาง บางคนหลบอยู่แล้วลุกขึ้นใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไป
นอกจากนี้ การมีกำแพงแบบนี้ยังทำให้ใช้อาวุธป้องกันอีกแบบได้ก็คือ น้ำร้อน … หากมีมอนสเตอร์ที่ที่มีชุดเกราะซึ่งยุ่งยากในการใช้อาวุธระยะประชิด ก็สามารถใช้น้ำต้มเดือดๆราดเข้าใส่ได้
แม้ว่าผู้เฒ่าจะบอกว่ามอนสเตอร์ที่มีชุดเกราะไม่ค่อยโผล่มาบ่อยเท่าไหร่นักหรอก อย่างก็อบลินกัปตันที่มีเกราะนั่น ผู้เฒ่าก็บอกว่าไม่เคยเจอแบบนั้นมานานมากแล้ว กลุ่มที่โจมตีครั้งที่แล้วก็ไม่มีเกราะแบบนี้
ฟังดูไม่น่ากังวล แต่รอนกลับไม่สบายใจลึกๆ เพราะถ้าเป็นแบบที่ผู้เฒ่าว่า ก็หมายความว่าก็อบลินที่มาโจมตีหมู่บ้านมีมากกว่าหนึ่งกลุ่ม
ความบังเอิญเป็นสิ่งที่มีกันได้ …. แต่พวกภัยพิบัติหายนะทั้งหลาย ก็คือความบังเอิญที่มันมาเป็นชุดๆนี่แหละ
แต่นั่นให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน
“คุณรอน น้ำค่ะ” โรล่ายื่นแก้วน้ำให้ รอนรับไปดื่มและส่งแก้วคืนให้ เด็กสาวรับไว้และยื่นผ้าชุบน้ำให้เขา เด็กหนุ่มรับไปแล้วเช็ดหน้าตนเอง
‘จะ จะ เจ็บ’ รอนกรีดร้องในใจหลังจากเผลอเช็ดหน้าไปเต็มแรง เพราะผ้าที่เด็กสาวส่งมาให้เป็นผ้าเนื้อหยาบ(มาก)
รอนส่งผ้ากลับคืนให้โรล่าซึ่งรับไปพร้อมกับหัวเราะคิกคิกเบาๆ
“ดูท่าคุณรอนจะเคยใช้แต่ผ้าเช็ดหน้าที่นุ่มกว่านี้นะคะ” เธอกล่าวก่อนจะมองไปที่เสื้อของรอน
“ใช่ครับ … ปกติผ้าเช็ดหน้าของผมจะนุ่มกว่านี้ เวลาเช็ดหน้าผมเลยเช็ดแรงกว่านี้เยอะ” รอนมองตามสายตาของเด็กสาวมาที่เสื้อลายพรางสีเขียวมือสองที่ซื้อมา “นี่ก็เหมือนกัน … ปกติผมไม่เคยใส่ผ้าเนื้อหยาบแบบนี้มาก่อน แต่นี่ต้องสู้กับมอนสเตอร์ก็เลยต้องใส่ชุดนี่จะได้ป้องกันได้มากขึ้น”
ทั้งโรล่าและชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นต่างมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
“ผ้า … เนื้อหยาบเหรอคะ”
“ครับ ?”
“คือ …………. คือ ตอนแรกเราก็คุยกันว่าคุณรอนแปลกดีที่ใส่เสื้อผ้าดูมีราคาไปสู้กับมอนสเตอร์ … ” โรล่าบอก ” ไม่นึกว่า …. นี่เป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบสำหรับคุณรอน “
รอนมองเสื้อผ้าของชาวบ้านรอบๆข้างแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก็จริงของโรล่า เพราะผ้าที่เขาใส่อยู่ที่เนื้อเรียบละเอียดสม่ำเสมอต่างจาก เนื้อผ้าของชาวบ้านโอลเซ่นล้วนทำจากผ้าเนื้อหยาบจากเส้นใยลินินที่การถักทอไม่ละเอียด ซ้ำยังมีรูหรือช่องโหว่ของผ้าให้เห็นเป็นจุดๆ
ช่องโหว่เป็นจุดๆ
ช่องโหว่เป็นจุดๆ
อ๊ะ ………
โรล่าเงยไปมองหน้ารอนที่จู่ๆก็เงียบไป เพียงเพื่อจะพบว่ารอนกำลังมองมาที่ลำตัวของเธออยู่ เธอมองตามสายตาของรอนไปจนถึงรูโหว่ของเสื้อซึ่งเผยให้เห็นผิวขาวที่เนินอก
” ….โน…บรา ” รอนพึมพำเบาๆก่อนจะหน้าแดง และแดงยิ่งขึ้นเมื่อเงยหน้าไปสบตากับโรล่า
“คนบ้า!” เด็กสาวร้องขึ้นก่อนจะวิ่งหนีไปทางโบสถ์ ทิ้งให้รอนนั่งหน้าแดงท่ามกลางผู้ชายคนอื่นๆที่เข้ามาตบบ่าหัวเราะกันอยู่
โดยมีมาเรียมองมาจากลานกลางหมู่บ้านด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่