Midterm Fantasy - ตอนที่ 17
รอนนั่งอ่านหนังสือจากหน้าจอสมาร์ทโฟนบนเตียง เข็มนาฬิกาชี้ไปที่5นาฬิกา แสงอาทิตย์ที่เริ่มขึ้นที่ท้องฟ้าของหมู่บ้านโอลเซ่นพร้อมเสียงหอนของสุนัขป่าทำให้เขารู้ว่าเวลาเช้าใกล้เข้ามาแล้ว
เด็กหนุ่มกดดับเครื่อง เก็บโทรศัพท์ แล้วก็หยิบสัมภาระมาติดตัว … ของที่เขานำเพิ่มติดตัวมามีเพียงมีดทำครัวสีเงินจากร้าน20บาทเพิ่มอีกคู่หนึ่ง และเกลือราคา15บาทถุงนึงเท่านั้น
นึกไปถึงว่ายารักษาโรคและอาหารที่ยังขาดแคลน เขาได้แต่ยิ้มแหยๆในใจ
ถ้าเขามีเงินมากกว่านี้อีกสักนิดล่ะก็ …
แล้วรอนก็ถอนหายใจ เงินที่เหลืออยู่มีเพียงแค่300กว่าบาทให้ใช้อีก2สัปดาห์รวมค่าอาหารกลางวันและค่าเดินทาง ส่วนเงินสำรองอีก1000บาทในบัญชีเขายังไม่อยากแตะมันตอนนี้เพราะว่าถ้าหมดจากนี้ไปเขาต้องขอพ่อและแม่เพิ่ม ซึ่งเขาจะไปขอไม่ได้
รอนยังไม่ลืมว่าที่เขาต้องการมากที่สุดคือเรียนให้เกรดผ่านไปชั้นม.4ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโรงเรียน
ที่เขาอยากทำแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าพ่อแม่ไม่ได้มีเงิน เวลาและกำลังพอที่จะไปหาโรงเรียนใหม่ให้เขา
ดังนั้นเขาจะไปขอเงินพ่อแม่โดยไม่จำเป็นไม่ได้
รอนเดินออกมาที่ลานกลางหมู่บ้านที่จุดที่ชาวบ้านจุดกองไฟเพื่อทำอาหาร ตั้งแต่วานนี้พ่อเฒ่าเบรเซอร์สั่งให้นำข้าวมาทำไว้ที่กลางลานหมู่บ้าน หากใครต้องการกินก็ให้มาขอเพิ่มที่กลางลานได้ รอนเดินไปหยิบจานไม้มา กลิ่นเถ้าเขม่าควันไฟลอยมาจางๆ เขาเดินไปขอข้าวต้ม ชาวบ้านที่ดูแลหม้อข้าวอยู่รีบตักให้ด้วยท่าทีให้ความเคารพอย่างสูง ….
นี่คือผู้มีพระคุณที่นำอาหารมาให้โดยไม่ได้เรียกร้องเงินของมีค่าตอบแทน
ไม่ว่าจะอย่างไร ภูมิหลังของเด็กหนุ่มคนนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
รอนตักข้าวเข้าปาก ข้าวต้มจืดๆให้รสหวานจากน้ำต้มเนื้อและกระดูกจางๆ … แล้วรอนก็นึกได้ หยิบเอาถุงเกลือที่ซื้อไว้ออกมา
“นี่ครับ ใส่ลงในอาหาร จะได้มีรสชาติขึ้น”
“นี่คือ…” กลุ่มชาวบ้านชายหญิงที่ดูแลหม้ออาหารรับมาถือในมือ มองผงสีขาวในถุงพลาสติก
“เกลือครับ”
“ห๊ะ!”
ชาวบ้านมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะเกลือในมือนี้ทั้งเป็นผงละเอียดและขาวสะอาด ต่างจากเกลือที่เคยใช้ที่เป็นเม็ดหยาบ และปริมาณในมือของเด็กหนุ่มนี้ก็มากเหลือเกิน อย่างต่ำๆก็6-7เหรียญเงินทีเดียว … แต่นี่เด็กหนุ่มคนนี้กลับมอบมันให้พวกเขาอย่างไม่คิดอะไรเลย
หลังจากกินเสร็จ รอนคว้าไม้และกระทะออกไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ตอนนี้ทางเข้าเปิดกว้างแล้ว รอนเห็นบราวนี่หลายตัวเริ่มเข้าใกล้บริเวณหมู่บ้านมากขึ้นกว่าวานนี้ เขาวางท่อนไม้กระบองและเดินออกไป
“คุณรอนจะไปไหนครับ”
“ผมเห็นบราวนี่เข้ามาใกล้ ผมจะลองออกไปจัดการมันดูหน่อย”
“ให้พวกเราไปด้วยดีกว่า จะได้ช่วยกัน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวแหละ แต่หากดูเห็นท่าไม่ดีอาจจะต้องรบกวนพวกคุณไปช่วยผมด้วยแล้วกันครับ”
รอนออกไปพร้อมกระทะและมีด เขาไม่พกท่อนไม้ไปเพราะวันนี้เขาตั้งใจจะฝึกการใช้มีดโดยเฉพาะ … รอนกำมีดทำครัวสั้นสีเงินไว้ในมือแล้วเดินออกไป บราวนี่สามตัวที่มองเห็นค่อยๆเดินตรงมาที่เขา จากนั้นมันก็ค่อยๆวิ่งเหยาะๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนพุ่งดิ่งเข้ามา
เป้ง! ฉึก!
เสียงกระทะที่ตั้งเฉียงกระทบกับบราวนี่ตัวแรกทำให้มันกระเด็นไปด้านข้าง ส่วนมีดในมือขวาฝังลงไปกับบราวนี่ตัวที่สองที่พุ่งเข้ามา มันวิ่งไปได้อีกไม่กี่เมตรก่อนจะถลาล้มลงบนพื้นดินพร้อมมีดที่ปักคากลางศีรษะ ตัวที่สามพุ่งเข้าใส่รอนที่ไม่มีอาวุธในมือ
รองเท้าคอมแบตฟาดเตะมันลอยขึ้น เด็กหนุ่มชักมีดเล่มที่สองจากเอวฟันบราวนี่ที่เจอเตะลอยกลางอากาศจังๆ โดยไม่รอดูผล หันกลับไปประจันหน้ากับเจ้าตัวแรกสุด เขาก้าวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปักมีดเข้ากลางลำตัวบราวนี่ที่หลบไม่ทัน
รอนดึงมีดออกและเดินไปเก็บมีดที่ปักบนตัวมอนสเตอร์ เขาเช็ดคราบเลือด จากนั้นหันไปมองทางหมู่บ้าน … กลุ่มของบราวนี่ที่กระจายกันอยู่ค่อยๆเดินมาทางเขา รอนยิ้มที่มุมปากก่อนจะค่อยๆเดินตรงไปหาบราวนี่ที่อยู่ใกล้ที่สุด
*****
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงซากบราวนี่กระจายเกลื่อนเต็มพื้นที่ ชาวบ้านที่เฝ้าที่ทางเข้าหมู่บ้านต่างช่วยกันขนซากเข้าไปไว้ในเขตรั้ว และคอยสังเกตระวังว่ารอนจะเพลี่ยงพล้ำหรือไม่ … แต่เด็กหนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะเสียท่า เขาเริ่มจับจังหวะการตั้งท่า กระโดดพุ่งใส่ และความเร็วของมอนสเตอร์นี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามารถกะมุมในการโจมตีหรือตั้งโล่ป้องกันดีขึ้นเป็นลำดับ
เขามองไปด้านหน้า มีรถม้าสามคันวิ่งมาตามถนนดิน คนถือดาบสั้น4คนเดินคุ้มกันโดยมีบราวนี่6ตัววิ่งตีขนาบมา ไม่มีใครโจมตีใครก่อน … เพราะหากนักดาบสักคนเดินออกมา มอนสเตอร์ก็จะมีช่องในการโจมตีม้าที่ลากรถม้าได้ ในขณะที่มอนสเตอร์ตัวไหนที่บุกเข้าไปเดี่ยวๆก็เท่ากับรนหาที่ตาย
เพียงแค่กัดม้าให้บาดเจ็บจนลากไม่ไหวหรือตายกลางป่า พวกมันก็จะได้เหยื่อมากินแล้ว…
นี่คือความคิดของบราวนี่ตัวนึงที่วิ่งอยู่ ก่อนที่มันจะได้ยินเสียงดัง
‘ปุ’
ร่างของมันเหมือนไร้เรี่ยวแรงก่อนจะล้มลง …โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
รอนเล็งหนังสติ๊กในมืออีกครั้ง เขาปล่อยลูกเหล็กพุ่งไปด้วยความเร็วสูงทะลุหัวบราวนี่ตัวที่2จนล้มลง โยนหนังสติ๊กเข้ากระเป๋าเป้ จากนั้นวิ่งเข้าไปหาบราวนี่ทั้ง4ตัวที่เหลือ เขาปักมีดเข้าบราวนี่ตัวแรกและผละไปหาตัวที่2โดยไม่รอดูผล ดึงมีดเล่มที่สองออกมา ปักลงบนตัวบราวนี่ตัวที่สองจนล้มลง ก่อนจะชักเล่มที่3ออกมา ฟันเข้าไปที่มอนสเตอร์ตัวที่3
‘เชี่ยะ!’
เสียงมีดกระทบก้อนหิน บราวนี่ตัวนี้หลบทันและถอยไปได้2-3เมตรก่อนที่จะล้มลงจากการโดนฟันทางด้านหลัง
นักดาบที่คุ้มครองขบวนรถยืนอยู่เบื้องหลัง ดึงดาบสั้นออกจากตัวมอนสเตอร์
รอนหันไปมองรถม้าที่จอดหยุดอยู่ อย่างสนใจ
“นี่คือหมู่บ้านโอลเซ่นใช่ไหม” เสียงทุ้มๆดังออกมาจากรถม้าคันแรก ชายหัวล้านร่างท้วมยื่นหน้าออกมา
“ใช่ครับ”รอนตอบขณะเช็ดเลือดบราวนี่จากมีดและเช็คดู … ยังดีที่ใบมีดไม่มีรอยบิ่นจากการฟันโดนหินเมื่อครู่ เขาเดินไปเก็บมีดที่ปักคาที่ซากอยู่อีกสองเล่มก่อนจะโบกมือให้ชาวบ้านที่ทยอยเดินออกมาช่วยกันเก็บซากบราวนี่ที่กระจายเกลื่อนกลาด
รถม้าทั้งสามคันค่อยๆเคลื่อนต้วไปตามถนนต่ออีกครั้ง นักดาบสองคนต่างตัดหางบราวนี่ตัวที่ตนฆ่าและแหวะผลึกแกนมอนสเตอร์ออกมาอย่างชำนาญ ทั้งคู่เหวี่ยงซากนั้นทิ้งไปก่อนจะสังเกตว่ารอนไม่ได้เก็บซากเลย
รถม้าทั้งสามคันแล่นผ่านประตูทางเข้าหมู่บ้านอย่างช้าๆ ชายหัวล้านมองไปที่สองข้างถนน ซากบราวนี่30กว่าตัวถูกวางเรียงรายกัน มีคนที่ช่วยกันตัดหางไปรวมกันไว้และคนที่ช่วยกันแยกเอาผลึกแกนออกมา
“สวัสดีครับคุณกลาส” พอลวางมีดทองแดงในมือลงแล้วรีบไปทักชายร่างท้วมหัวล้านคนนั้น
“สวัสดีพอลกำลังยุ่งอยู่เลยสินะ … นี่เฒ่าเบรเซอร์ให้ทุกคนมาช่วยกันล่าบราวนี่เรอะถึงได้เยอะกันขนาดนี้”
“ไม่ใช่ฝีมือพวกเราหรอกครับ แต่เป็นคุณรอนต่างหาก” พอลตอบ “ทั้งหมดนี่คือที่คุณรอนจัดการเมื่อสักครู่นี้”
“หืม….” กลาสร้องขึ้นเบาๆก่อนจะหันไปมองรอนในชุดสีเขียวแปลกตา ที่กำลังพูดคุยกับคนที่ช่วยกันแบกซากบราวนี่และเดินมาตามถนนเข้าหมู่บ้าน
“รอนคนนี้เป็นใคร ? เป็นคนหมู่บ้านนี้เหรอ … หรือว่าเป็นนักผจญภัยที่หมู่บ้านจ้างมาจัดการกับบราวนี่?”
“ไม่ใช่ครับ คุณรอนเป็นนักเดินทางที่ผ่านมา เค้าจัดการโดยที่ไม่ได้เรียกร้องเงินทองอะไรจากพวกเราเลย ทั้งหาง ทั้งแกนมอนสเตอร์ คุณรอนยกให้พวกเราทั้งหมด” พอลบอก “เท่านั้นยังไม่พอนะครับ เมื่อวันก่อนนี้ที่หมู่บ้านเรากำลังขาดอาหารและมีคนป่วย คุณรอนยังเอาอาหารและยารักษาโรคระบาดมาให้พวกเราอย่างไม่คิดค่าตอบแทนด้วยนอกจากขอพักที่หมู่บ้านเราสักระยะเท่านั้น”
ตาของกลาส พ่อค้าเร่ เป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เขาหันกลับไปมองเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวที่เดินมาถึงทางเข้า และจ้องมองไปที่มีดสีเงินในมือที่ยังดูเรียบคมเป็นปกติอันนั้น
ในยุคสมัยแบบนี้ ยาที่จะรักษาโรระบาดนี้ได้ต้องมาจากนักปรุงยา และคนที่สามารถจะหาเสบียงอาหารและยาที่พอจะช่วยชาวบ้านทั้งหมู่บ้านได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา มีแต่พวกขุนนางหรือพ่อค้าเศรษฐีเท่านั้น … แต่แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่มีทางเอาสิ่งของมาให้ฟรีๆโดยไม่คิดเงิน เว้นแต่ว่าต้องการหลบพักซ่อนตัวจากอะไรบางอย่างเท่านั้น
กลาสคิดคำนวณในใจว่าเขาจะหาประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง
“สวัสดีคุณกลาส …ขอต้อนรับสู่โอลเซ่น” พ่อเฒ่าเบรเซอร์เดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีเบรเซอร์ สบายดีใช่ไหม” พ่อค้าเร่ทักตอบ
“ก็ยังดีอยู่ … แต่ก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน” พ่อเฒ่ายิ้ม “ท่านเข้ามาก่อนเถอะ ไปจอดรถม้าไว้ที่กลางลานหมู่บ้านก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
พ่อค้าเร่พยักหน้าก่อนจะให้สัญญาณคนที่ขับรถม้าบังคับม้าไปที่ลานใจกลางหมู่บ้าน …
รอนเดินไปถึงบ่อน้ำที่กลางหมูบ้านแล้วเขาก็นั่งลงพักข้างๆบ่อน้ำ และเช็คสถานะดู
[Battle technique : การใช้โล่สะท้อน : Lv 3 : 45/100]
[Battel technique : ท่าหลบ : Lv 3 15/100]
[การต่อสู้ประชิดตัว Lv 6 15/100]
[Edge weapon Lv4 10/100]
ดูทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างละหน่อย
โรล่านำน้ำใส่แก้วไม้มาให้ เด็กหนุ่มขอบใจและรับแก้วมาดื่มจนหมด จากนั้นเขาเอามีดในกระเป๋าออกมา ตักน้ำจากถังไม้ข้างบ่อมาล้างๆคราบเลือด ก่อนจะหยิบขึ้นสะบัดๆน้ำแล้วเก็บเข้ากระเป๋าไปทั้งสี่เล่ม
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของกลาสพ่อค้าเร่ เขาเหลือบไปมองนักดาบคุ้มกันรถของเขา2คนที่กำลังทำความสะอาดดาบอยู่
ดาบของทั้งคู่ทำจากเหล็ก ทำให้ทุกครั้งที่ใช้งานเสร็จจะต้องทำการเช็ดคราบเลือดออกจนหมดเพื่อป้องกันการเกิดสนิมที่จะกัดทำลายดาบได้ …
แต่นอกจากเด็กหนุ่มคนนั้นจะไม่ได้ดูแลอะไรมากมาย เขากลับแค่ล้างน้ำและสะบัดๆ … แปลว่ามีดทั้งหมดนั่นไม่ได้ทำจากเหล็กทำให้ไม่เป็นสนิม
บรอนซ์รึ … ไม่น่าใช่ เพราะสีเงินเงาขนาดนั้นไม่ใช่บรอนซ์แน่นอน
ดูแลไม่เป็นรึ… ก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่มีฝีมือในการล่าบราวนี่คนเดียว30-40ตัวนี้โดยไม่บาดเจ็บ ย่อมไม่ใช่คนที่ดูแลดาบไม่เป็น
และที่กลาสสนใจมากที่สุดคือ ความทนทานของมีดนี้
ปัญหาของมีดดาบคือ ทุกครั้งที่ใช้งานมันจะมีการเสียหายแตกบิ่น ไม่ว่าจะเป็นการฟันเข้าเนื้อเข้ากระดูก การฟันกระทบโลหะหรือหินขณะต่อสู้
แม้แต่ดาบเหล็กที่คนคุ้มกันของเขาใช้ยังเต็มไปด้วยรอยบิ่นเล็กๆทั่วไปหมด
แต่สำหรับมีดทั้งสี่เล่มที่รอนกำลังเก็บอยู่ ทุกเล่มล้วนปราศจากรอยบิ่น ซึ่งหากเมื่อครู่เขาไม่ได้เห็นว่ารอนต่อสู้กับบราวนี่หลายตัวและฟันก้อนหินด้วยตาของตนเอง เขาต้องคิดว่านี่คือมีดใหม่เอี่ยมที่ไม่ได้ผ่านการใช้งานแน่ๆ
กลาสสั่งให้คนงานของตนช่วยกันเปิดฝาด้านข้างของรถม้า เผยให้เห็นภายในที่มีสินค้าหลายอย่างอัดแน่นกันอยู่ สินค้ามีทั้งเครื่องครัวโลหะ ผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาวุธที่ทำจากโลหะ สมุนไพร ฯลฯ สินค้าเหล่านี้บางอย่างอาจจะดูแล้วไม่น่าจะขายได้ในราคาสูง แต่จริงๆแล้วสินค้าเหล่านี้หากคนในหมู่บ้านจะซื้อเองก็จะต้องเดินทางเข้าตัวเมือง ซึ่งนอกจากจะต้องเดินทางไกลแล้ว ในช่วงนี้ที่มอนสเตอร์ต่างๆเริ่มออกอาละวาด ความเสี่ยงยิ่งมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครว่าอะไรกับราคาที่สูงกว่าปกติหลายเท่าแบบนี้
“กลาส…ครั้งนี้ท่านเอาอาหารมาขายด้วยไหม” เบรเซอร์ถาม ตอนนี้เรื่องอาหารยังเป็นเรื่องที่เร่งด่วนสำหรับหมู่บ้าน
“ไม่มี”พ่อค้าเร่ส่ายหน้า ” กว่าจะมาถึงที่นี่ หมู่บ้านอื่นๆซื้อไปจนหมดแล้ว … ปีนี้มอนสเตอร์อาละวาดหนักมากจนผลผลิตในเขตหมู่บ้านรอบนอกแย่กันไปหมด
พ่อเฒ่าพยักหน้ารับ … หากเป็นแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ชาวบ้านทยอยกันมาจากในบ้าน แม้แต่คนป่วยที่อาการเริ่มดีขึ้นยังออกมาซื้อของ ของที่ดูได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นอาวุธโลหะ …เนื่องจากคนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอันตรายจากมอนสเตอร์ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าอาวุธไม้และหินไม่ได้ช่วยอะไรมากในการต่อสู้ระยะประชิด
รอนไปเดินดูกับชาวบ้านคนอื่นๆด้วย เด็กหนุ่มหยิบสินค้าขึ้นมาดูจากนั้นอ่านดูราคาของทีละชิ้นๆ
เขาไม่ได้อยากได้ของ แต่แค่อยากเปรียบเทียบราคาสินค้าว่าของแต่ละชิ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ในโลกนี้ รอนหยิบแล้ววาง หยิบแล้ววาง จนคนรอบๆมอง
“พ่อหนุ่มไม่ซื้ออะไรบ้างเหรอ” คนขายถาม
“ไม่ล่ะครับ” รอนตอบ
จากนั้นเขาก็ไล่ดูไปเรื่อยๆทีละชิ้นๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะซื้อ
…
นี่มันลักษณะของคนที่ร้อนเงินอยากขายของชัดๆ ตาของกลาสเปล่งประกาย มองไปยังมีดที่รอนเหน็บไว้ที่เอว
[คุณรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังเฝ้ามองดูอยู่]
รอนหันไปมองรอบๆอย่างงงๆ …