Midterm Fantasy - ตอนที่ 14
“อาหาร! อาหาร!” เสียงชาวหมู่บ้านพูดขึ้นรอบๆแฝงไปด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี
กว่าเดือนแล้วที่หมูบ้านของพวกเขาประสบเหตุเภทภัยนี้ พืชผลที่ควรจะเก็บเกี่ยวได้ ก็มาถูกทำลายไปตอนที่มอนสเตอร์จำนวนมากบุกผ่านมา ซ้ำพอจะเริ่มป้องกันยันมอนสเตอร์ได้ก็ยังมีโรคระบาดเกิดขึ้นมาซ้ำเติม … อาหารที่พอจะมี สัตว์ที่เลี้ยงไว้ก็ถูกเอามากินจนหมดสิ้น จนตอนนี้พวกเขาต้องประทังชีวิตด้วยเนื้อมอนสเตอร์ที่ดุร้าย
“เดี๋ยวก่อน” พ่อเฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านร้องขึ้นดังจนแทบจะเป็นตะโกน เมื่อเห็นว่าลูกบ้านกำลังช่วยรอนยกกระสอบขึ้นแกะ
“บอกราคาของอาหารนั้นมาก่อน” ชายชราพูด “หมู่บ้านของเราไม่ได้มีเงินหรือทรัพย์สินอะไรมากมาย”
ทุกคนหยุดชะงักกันหมด จริงของพ่อเฒ่า ถ้าหากทุกคนเปิดและกินเข้าไปแล้วราคาที่เรียกมามันสูงจนไม่สามารถจ่ายได้ เรื่องยุ่งยากย่อมตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ผมไม่ได้ต้องการเงิน” รอนบอก
“เป็นไปได้ยังไง … ใครที่ไหนจะขนอาหารเดินทางเพื่อเอามาให้ฟรีๆในช่วงที่มีมอนสเตอร์ออกอาละวาดแบบนี้”
ตอนแรกรอนก็ฉุนอยู่ในใจ แต่เมื่อลองคิดตามดูดีๆก็จริง ใครที่ไหนจะขนอาหารไปแจกคนฟรีๆ
“ผมแค่ต้องการที่พักสักระยะหนึ่ง”รอนตอบไป… เขาคิดคำตอบที่ดีกว่านี้ไม่ออกเช่นกัน
“ตกลง” หัวหน้าหมู่บ้านตอบในทันทีจนรอนงง …
ทำไมตกลงง่ายแบบนี้
หัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านคนอื่นๆมองหน้ากัน … ที่รอนไม่รู้ก็คือ จากคำตอบที่ว่าทำให้ทุกคนเชื่อไปเหมือนๆกัน
อาหารประมาณนี้ถ้าเอาไปขายในเมืองก็พอสำหรับค่าที่พักหลายวัน นี่ยังไม่นับว่าในเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ที่อาหารมีค่ายิ่งกว่าอะไร การนำอาหารมาให้แลกกับที่พักแบบนี้ย่อมมีความหมายเดียวว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังหนีหรือต้องการที่หลบซ่อนอะไรบางอย่าง ดังนั้นก็คงไม่ต้องกลัวว่าเด็กคนนี้จะมาแว้งกัดอะไรภายหลัง
“แต่ท่านทราบใช่ไหมว่าหมู่บ้านเรากำลังมีโรคระบาดอยู่” พ่อเฒ่าเบรเซอร์พูด …
“อ้อ ใช่ สำหรับเรื่องนั้น ข้ามียาที่ใช้รักษาโรคBlackdeathนี้มาด้วย”
สิ้นคำพูดว่ายารักษาโรค ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงฮือขึ้นมา
แม้จะฟังดูเกินจริงแต่เมื่อคิดดูดีๆ เด็กหนุ่มคนนี้มาที่หมู่บ้านแล้วรอบนึงและรู้อยู่แล้วว่าหมู่บ้านมีโรคระบาด ซึ่งด้วยเหตุผลแล้วเขาควรจะกลัวและหนีไปให้ไกลที่สุด ไม่ใช่ย้อนกลับมาแบบนี้
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมียารักษาโรคจริงๆ
“ไปตามท่านนักบวชรอคโค่มา” พ่อเฒ่าบอก พอลรีบวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนรอนวางกระเป๋าเป้ลงแล้วหยิบกระปุกยาDoxycyclineออกมา …
สักครู่หนึ่ง พอลก็กลับมาโดยมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินตามมา รอนหันไปมอง … แล้วก็ต้องกลั้นไอสำลัก
‘นี่มันชุดนักบวชแบบในเกมชัดๆ’ รอนคิด
นักบวชรอคโค่ที่เดินมา เป็นชายวัยกลางคนในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีดำ แล้วมีเสื้อคลุมไม่มีแขน ชายเสื้อคลุมยาวครึ่งขา ในมือมีไม้เท้าซึ่งส่วนหัวเป็นผลึกสีแดงที่น่าจะเป็นแกนมอนสเตอร์
ดูแล้วคือชุดนักบวชในเกมRPGชัดๆ
“คนๆนี้หรือที่ท่านบอกว่ามียารักษาBlackdeath” นักบวชถามกับพ่อเฒ่าเบรเซอร์ซึ่งพยักหน้ารับ นักบวชหันไปมองรอน จากนั้นยกไม้เท้าขึ้น
“รีวีว!” นักบวชพูดขึ้นแล้วยกไม้เท้าขึ้นมาแตะที่แขนของรอน แสงเรืองสีแดงขึ้นที่ผลึกบนหัวไม้เท้าก่อนจะจางหายไปพร้อมกับผลึกที่เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วกลายเป็นผงหายไป
“ชายคนนี้ก็ถูกBlackdeathเหมือนกัน” นักบวชพูดก่อนจะขมวดคิ้ว “แต่เขากำลังหายดีขึ้นได้หนึ่งในสี่แล้ว”
“ไหนเจ้าลองกินยาที่ว่าให้ดูหน่อยซิ” นักบวชรอคโค่บอก
รอนเช็คสถานะตนเอง …
[ติดเชื้อ Blackdeath : Bubonic Plague]
[พลังชีวิต -0.1/ชั่วโมง]
[สถานะ ไม่แพร่เชื้อ / รักษาแล้ว 25% ]
ดูเหมือนนักบวชจะตรวจสอบสถานะการป่วยของเขาได้จริงๆ … รอนหยิบยาในขวดขึ้นมา1เม็ดใส่เข้าปาก แล้วดื่มน้ำตามลงไป ตัวเลขที่รอนเห็นเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
[สถานะ ไม่แพร่เชื้อ / รักษาแล้ว 55% ]
“ดีขึ้นจริงๆ … ไม่ได้มีการแอบใช้เวทย์รักษา” รอคโค่ลืมตากว้างอย่างแปลกใจ “พ่อเฒ่า … ยานี่ได้ผล ตอนนี้การป่วยของเขาดีขึ้นเป็นครึ่งหนึ่งแล้ว”
สิ้นเสียงของนักบวช ชาวบ้านในที่นั้นต่างร้องฮือขึ้น โรคร้ายที่เป็นเหมือนคำสาปที่มาตกบนหมู่บ้านจนมีคนตายไปหลายคน ทำให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียคนที่รักไปและทุกคนต้องอยู่อย่างหวาดกลัว … มาบัดนี้มียาที่ใช้รักษาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว …
แล้วทุกคนก็เงียบเสียงลงอีกครั้งเมื่อระลึกได้ว่า ที่เคยได้ยินมายาที่ใช้รักษา Blackdeath ต้องปรุงโดยนักเล่นแร่แปรธาตุและขายในราคาแพงมาก เพียงยาแค่ชุดเดียวก็ราคาเท่ากับรายได้จากการขายผลผลิตหลายเดือนแล้ว
เพียงคิดเท่านี้สีหน้าของทุกคนก็กลับไปหมองคล้ำดังเดิม
“ท่านจะขายยาที่ว่านี้ให้หมู่บ้านเราได้หรือไม่” พ่อเฒ่ากัดฟันพูด อาหารนั้นพอหาได้ แต่โรคที่กำลังกัดกินชาวบ้านอยู่นี้รอไม่ได้
“ไม่ๆ ผมไม่ขาย” รอนปฏิเสธทันที ทุกคนแทบจะกรีดร้องออกมา
บิดาท่านเถอะ! ถ้าไม่ขายแล้วจะเอาออกมาโชว์เพื่ออะไร !
และระหว่างที่ทุกคนกำลังจะถามนั้นเอง…
“ผมไม่ได้ขาย อันนี้ผมเอามาให้เฉยๆ” รอนเทยาลงในมือเพื่อเก็บไว้กินเองอีก10เม็ด แล้วปิดฝายื่นยาทั้งกระปุกใส่มือหัวหน้าหมู่บ้าน
“ห๊ะ!”
“ห๊ะ”
“เฮ้ย”
“พ่อเฒ่าเป็นลมไปแล้ว”
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆเข้าไปอุ้มพ่อเฒ่าที่เป็นลมลงไป แต่ถึงแม้จะเป็นลม แต่มือที่ถือขวดยาไว้ก็กำแน่นเหมือนจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปได้
*******
ชายชราลืมตาขึ้นช้าๆ ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มบ่งบอกเวลาบ่ายเย็น กลิ่นหอมจางๆลอยเข้ามาที่จมูกของเขาจนรู้สึกหิว
“พ่อเฒ่าเป็นยังไงบ้าง” พอลเข้าไปประคองชายชราขึ้น “มา พ่อเฒ่ากินอาหารก่อน”
ชายหนุ่มยกชามอาหารมาให้ ควันขึ้นกรุ่นๆจางๆ ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านรับไปมองแล้วขมวดคิ้ว แทนที่ภายในจะเป็นข้าวโอ๊ตต้มเละๆสีน้ำตาล กลับเป็นเม็ดสีขาวดั่งหิมะอยู่ในน้ำขาวขุ่น มีเนื้อชิ้นเล็กๆหั่นผสมอยู่ เมื่อลองใช้ช้อนไม้ในมือตักขึ้นชิม ก็พบว่าเม็ดสีขาวที่ว่าช่างนุ่มแสนนุ่มแทบจะไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวบด
“คุณรอนบอกว่าที่บ้านเกิดของเขาเรียกอาหารนี้ว่าข้าวไรซ์” พอลพูด “ทีแรกเค้าจะสอนวิธีทำแบบแห้งให้ แต่ว่าพวกเราฟังแล้วไม่เข้าใจกัน ก็เลยสรุปกันว่าทำเป็นข้าวไรซ์ต้ม”
พ่อเฒ่ามองภายในชามและค่อยๆกินจนหมด อาหารมื้อนี้เป็นเหมือนความฝันจริงๆ … เม็ดแป้งที่ขาวแบบนี้แสดงว่ามีการกระเทาะแยกชั้นเปลือกหุ้มที่แข็งออกไปจนหมด … ถ้าหากนำไปทำเป็นแป้งก็จะได้แป้งขนมปังที่นุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยว … จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กินอะไรแบบนี้ก็น่าจะ10-20ปีก่อน ตอนที่ไปร่วมงานฉลองในโอกาสที่ท่านเจ้าเมืองได้ลูกสาวคนแรก
ไม่นึกเลยว่าจะได้มาลิ้มรสอีกครั้งในยามที่ยากลำบากแบบนี้
“พาข้าไปพบเด็กหนุ่มคนนั้นหน่อย” พ่อเฒ่าลุกขึ้นลงจากเตียงและเดินไปนอกบ้านโดยมีพอลเดินประคองไป ข้างนอกนั้นเขาเห็นคนในหมู่บ้านกว่าครึ่ง กำลังกินอาหารหรือไม่ก็ต่อแถวเพื่อตักอาหารจากหม้ออยู่ แต่ละคนเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าที่มีความสุขอย่างที่สุด
“คุณรอนอยู่ที่ไหน” เบรเซอร์ถาม
“อยู่ที่โบสถ์ค่ะพ่อเฒ่า” หญิงคนนึงบอกขึ้น
พ่อเฒ่าเดินต่อไปจนถึงโบสถ์ … ทุกครั้งที่มาที่นี่ เขาจำได้ว่าภายในมีแต่กลิ่นของความตาย ผู้ที่มีอาการป่วยหนักจะถูกพามาที่นี่เพื่อให้ท่านรอคโค่ช่วยรักษา … แม้ว่าเวทย์รักษาจะใช้ได้ผลแต่ก็ต้องอาศัยพลังมานาที่สูง จนในแต่ละวันช่วยได้ไม่กี่คน
แต่วันนี้ช่างต่างออกไป เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนก็ลอยออกมา
ภายในโบสถ์ นักบวชรอคโค่กำลังดูคนป่วยที่มุมด้านหนึ่ง โรล่า มาเรีย และผู้หญิงอีกหลายคนกำลังช่วยกันป้อนอาหารให้คนที่นอนป่วยหนักจนลุกไม่ไหวอยู่ ส่วนรอน กำลังโรยอะไรบางอย่างลงในข้าวต้ม
“นี่คือ…” เบรเซอร์ถาม
“อ๋อ นี่เป็นผงปรุงรสช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นครับ … ข้าวต้มเฉยๆจืดไป ผมกลัวว่าคนป่วยจะกินไม่ลง เลยคิดว่าใช้ผงปรุงรสผสมเพิ่มลงไปบ้างจะทำให้กินได้มากขึ้น” รอนตอบ
เบรเซอร์คิดในใจ ความจริงอาหารนี้ดีกว่าอาหารทั่วไปมาก ไม่ต้องอะไรมากมายนักก็ได้
“แต่ยังไงก็น่าเสียดายที่นี่เป็นข้าวหักปลายข้าว…” รอนพูด “ถ้าได้ข้าวแบบดีกว่านี้น่าจะอร่อยกว่านี้”
ข้าวที่ดีกว่านี้ ! ชายชราสำลัก อาหารระดับนี้ยังสามารถเรียกว่าน่าเสียดายได้อีกเรอะ ยังมีแบบที่ดีกว่านี้อีกเรอะ!
เบรเซอร์ไม่ได้พูดอะไร ส่วนรอนก็ไม่แน่ใจว่าที่ชายชรานิ่งเงียบไปนี้เนื่องจากอะไร เขาเลยลุกไปหาโรล่าที่รวมอยู่กับกลุ่มที่ป้อนอาหารคนป่วยอยู่
ในอ้อมกอดของเด็กสาวมีเด็กทารกวัยไม่กี่เดือนอยู่ เธอพยายามป้อนน้ำข้าวและข้าวบดให้
“ถ้าไม่ได้คุณรอน เด็กคนนี้คงต้องตายแน่ๆ” เธอพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มขณะที่ป้อนน้ำข้าวให้เด็กน้อย
“แล้วแม่ของเด็ก…” รอนถาม
“แม่ของเด็กอยู่โน่นค่ะ”เธอหันหน้าไปทางนักบวชรอคโค่ “เธอป่วยหนักมากจนไม่มีน้ำนมแล้ว ทีแรกท่านรอคโค่ก็บอกว่าหมดหวังแล้ว แต่ตอนนี้พอได้ยา ท่านนักบวชบอกว่ามีหวังบ้างแล้ว”
รอนมองทารกน้อยในอ้อมกอดของเด็กสาว เด็กน้อยมีผิวแห้งปากแตกเหมือนกับขาดน้ำมาหลายวัน และดูดน้ำข้าวกับข้าวบดละเอียดอย่างหิวกระหาย …
นี่ถ้าเขาตัดสินใจอยู่แต่ในห้องศิลาต่อโดยไม่ออกมา ชะตากรรมของเด็กคนนี้และคนในหมู่บ้านนี้จะเป็นยังไงกัน …
ช่างเถอะ ถึงยังไงตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่แล้ว…