Midterm Fantasy - ตอนที่ 130
รถตู้สีขาวติดฟิล์มกรองแสงดำมืดวิ่งไปตามถนน ที่สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ป่ากล้วยที่มีชาวสวนกำลังช่วยกันตัดหญ้าที่ขึ้นที่ด้านล่าง ชายฉกรรจ์บางคนนั่งฟังวิทยุและตกปลาในคลองมองตรงไปที่ถนน
“ทะเบียน 8230 รถของพ่อบ้านจ็อบส์กลับมาแล้ว เปิดทางได้”
“รับทราบ”
เสียงขานรับออกมาจากวิทยุสื่อสารที่รูปร่างเหมือนวิทยุFMข้างกาย ห่างออกไป500เมตร รถอีแต๋นที่จอดขวางถนนอยู่ค่อยๆเคลื่อนตัวเลื่อนให้พ้นจากเส้นทาง รถตู้สีขาวคันนั้นวิ่งผ่านฉิวไปอย่างรวดเร็ว
ถนนเส้นนั้นทอดเข้าไปผ่านรั้วไร่ อาณาบริเวณรอบๆดูสงบเงียบมองผาดๆคล้ายบ้านไร่ในละครทั่วๆไป หากแต่เสาส่งสัญญาณที่ตั้งอยู่บนหลังคาอันดูแปลกตา และโรงเก็บอุปกรณ์เกษตรที่รูปร่างเหมือนบังเกอร์ บอกให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ฟาร์มไร่ทั่วๆไป
ประตูรถตู้เปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาลเดินลงมาจากรถ สวมหมวกปีกว้างทับลงไปบนศีรษะที่ล้านเลี่ยน ขยับผ้าปิดตาซ้ายให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าไปในอาคาร
“พ่อบ้านจ็อบส์สวัสดีครับ เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย เชิญพักที่ห้องรับรองแขกก่อนครับ”
“ไม่ต้องมากพิธี รายงานพี่ใหญ่ให้ด้วยว่ามาถึงแล้ว”
“ได้ครับ”
คนรับใช้เดินกลับเข้าไปในตัวตึกขณะที่จ็อบส์ยืนรออยู่อย่างใจเย็น
“พี่ใหญ่รออยู่ที่ห้องทำงานแล้วครับ พ่อบ้านจ็อบส์เชิญได้”
จ็อบส์เดินเข้าไปโดยไม่รอให้คนรับใช้นำทาง เขาเดินไปถึงห้องทำงาน ถอดหมวกออก จากนั้นเคาะประตู
“เข้ามา”
“พี่ใหญ่ปัญญ์ ผมกลับมาแล้วครับ”
“นั่งก่อนสิพ่อบ้าน งานที่ให้ไปจัดการไปถึงไหนแล้ว”
“ปัญหาที่มีได้ถูกจัดการไปเกือบหมดแล้วครับ มีห้างร้านพ่อค้าวาณิชย์บางรายที่ฉวยโอกาสนี้ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง แต่ผมส่งคนไปก่อกวนห้างของพวกมันแล้ว จนตอนนี้ไม่มีใครที่กล้าค้างค่าคุ้มครองกับเราอีก”
“ดีมาก ถึงแม้แก็งค์เมษาของเราจะเกิดปัญหาขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนพวกนี้มาแข็งข้อกับเราได้” พี่ใหญ่ปัญญ์บอก “แต่นายบอกว่าเกือบหมด แปลว่ายังมีเรื่องอื่นอีกสินะ”
“ใช่ครับ มีเรื่องที่ต้องการการตัดสินใจจากพี่ใหญ่อยู่อีก”พ่อบ้านจ็อบส์เลื่อนเอกสารในมือให้ เป็นภาพของคุณวิทวัส
“รายนี้ต่อรองเรื่องการจ่ายค่าคุ้มครองให้กับเรา บอกว่าต้องการต้องการมาจ่ายด้วยตนเองและจ่ายกับมือของพี่ใหญ่ครับ”
“เหตุผลคืออะไร? จ็อบส์ นายไม่รู้สึกแปลกใจรึว่าทำไมถึงได้มาขออะไรแบบนี้ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธไป”
“ทางนั้นให้เหตุผลว่าก่อนหน้านี้ได้จ่ายเงินค่าคุ้มครองให้เราไปแล้วสองครั้งครับ ครั้งแรกกับสาขาของเป๋งโมบาลย์ ครั้งที่สองกับโต้งมิวสิค แต่ทั้งสองที่นั้นถูกถล่มไปก่อนเราเลยยืนยันไม่ได้ว่ามีการจ่ายเงินแล้วหรือยัง ทางนั้นเลยขอเดินทางมาจ่ายด้วยตนเองที่นี่ครับ” พ่อบ้านจ็อบส์บอก “อีกอย่าง ทางนั้นร่วมงานกับเรามานาน จ่ายค่าคุ้มครองให้แก็งค์เรามาตั้งแต่รุ่นก่อตั้งมากว่า60ปีแล้ว ผมเลยไม่อยากปฏิเสธไปแต่อยากให้พี่ใหญ่ตัดสินใจ”
พ่อบ้านเลื่อนเอกสารส่งให้ พี่ใหญ่ปัญญ์รับไปถืออ่านในมือ
“ห้างทองแม่หยดย้อยวัฒนา อืม จริง ห้างทองนี่จ่ายค่าคุ้มครองให้กับพวกเรามานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังไม่เกิด” พี่ใหญ่ปัญญ์เอ่ย “เจ้าของคนปัจจุบันชื่อ วิทวัส เป็นลูกเขยของเจ้าของรุ่นที่แล้วรับสือทอดกิจการที่กำลังจะล้มและพลิกฟื้นจนกิจการปัจจุบันรุ่งเรืองขยายสาขาไปทั่วประเทศ แล้วเบื้องหลังมีอะไรน่าสงสัยไหม”
“ไม่มีครับพี่ใหญ่ นายวิทวัสคนนี้เบื้องหลังไม่มีอะไรน่าสงสัย ไม่มีความเชื่อมโยงกับตำรวจ มีแต่สายสัมพันธ์กับพวกขนของเถื่อนและกลุ่มตลาดมืด ดูเหมือนคนๆนี้จะเปิดร้านทองคำบังหน้าและมีที่มาของทองบางส่วนจากทองคำเถื่อน ไม่น่าจะเป็นพวกของตำรวจได้” จ็อบส์บอก
“คงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าเท็นสไควร์หน้ากากดำนั่นหรอกใช่ไหม เพราะที่มันขอเข้ามาที่นี่ก็ด้วยเหตุผลว่าจ่ายค่าคุ้มครองไปแล้ววืดทั้งสองครั้ง ทำไมมันบังเอิญจ่ายเงินก่อนที่ฐานของเราจะถูกถล่มพอดีล่ะ”
“เรื่องนั้นผมคิดว่าบังเอิญครับ เพราะความจริงไม่ได้มีแต่นายวิทวัสคนเดียว แต่ห้างร้านหลายแห่งในเขตที่แก็งค์รุ่งโรจน์และเจ้าหน้ากากดำนั่นยึดครองไป ต่างก็ร้องขอเข้ามาจ่ายเงินค่าคุ้มครองโดยตรง แต่ผมเห็นว่าพวกนั้นไม่ได้ร่วมมือกับเรามานานเหมือนกับร้านของนายวิทวัสก็เลยไม่ได้ตอบรับไป”
พี่ใหญ่ปัญญ์เคาะนิ้วกับโต๊ะไตร่ตรองข้อดีข้อเสีย ค่าคุ้มครองปีละ60ล้านนับว่ามากอยู่ยิ่งในตอนนี้ที่แก็งค์กำลังต้องการเงินเพราะถูกทำลายฐานใหญ่ไปหลายแห่ง
แต่ความเสี่ยงมันก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะตอนนี้ทั้งตำรวจ แก็งค์รุ่งโรจน์ และเจ้าหน้ากากดำเท็นสไควร์กำลังรุมกินโต๊ะแก็งค์เมษาอยู่
ปัญญ์ยกมือขึ้นลูบแผลเป็นที่ใบหน้า แผลเก่าที่ได้จากการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อ30ปีก่อน เขายังจำได้ดีถึงตอนนั้นที่แก็งค์ขนาดใหญ่ในภาคกลางถูกทำลายไปทีละแก็งค์ด้วยฝีมือของชายหญิงลึกลับสองคน และในครั้งสุดท้ายที่ปรากฎตัว หน้ากากดำเท็นสไควร์บุกจู่โจมที่มั่นของแก็งค์เมษาส่วนที่เขาประจำอยู่ ฝากแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้ที่ใบหน้าของเขา
30 ปีมาแล้ว ไม่นึกว่ามันจะปรากฎตัวขึ้นมาอีก ในวันที่เขาได้เป็นพี่ใหญ่สูงสุดแห่งแก็งค์เมษาในประเทศแห่งนี้!
“เอาล่ะ เอาเป็นว่าติดต่อกับนายวิทวัสไปว่าตกลงก็แล้วกัน…”
ตู้ดๆๆ
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้น เป็นโทรศัพท์ที่จะใช้ต่อเมื่อมีข่าวสำคัญเท่านั้น ปัญญ์กดเปิดหน้าจออ่านข้อความ หรี่ตามองก่อนจะยิ้มออกมา
“ฮ่าๆๆ เกือบไปแล้ว พวกเราเกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไปแล้ว พ่อบ้านจ็อบส์ เอานี่ไปดู”
“นี่มัน เด็กคนที่เราตามหาอยู่ เจ้าเด็กสาวที่อยู่ในเหตุการณ์ถล่มหมู่ตึกโต้งมิวสิค” จ็อบส์ร้องขึ้น “แล้ว … อ๊ะ นามสกุลนี้มัน!!!!”
“ฮ่าๆ ถูกต้องแล้วจ็อบส์ เจ้าเด็กสาวที่อยู่ในเหตุการณ์การที่หน้ากากดำถล่มหมู่ตึกของแก็งค์เรา บังเอิญมีความเกี่ยวข้องกับนายวิทวัส และบังเอิญว่านายวิทวัสใช้เหตุผลที่หมู่ตึกของเราถูกถล่มในการขอเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง นายคิดว่ายังไงล่ะ”
พ่อบ้านทำหน้าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงว่าเขาเองเป็นคนเสนอให้พี่ใหญ่ยอมให้นักธุรกิจคนนี้มาถึงที่มั่นใหญ่ของแก็งค์
“ผมจะรีบจัดการปฏิเสธมันไปเดี๋ยวนี้ครับ แล้วจะรีบหาทางจัดการมันให้ได้”
“จะรีบทำแบบนั้นไปทำไมกันจ็อบส์” หัวหน้าแก็งค์เมษายกมือขึ้นห้าม “ในเมื่อมันอยากมาก็ให้มันมาสิ”
“อะไรนะครับ?”
“โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ อย่าลืมสิว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราค้นพบจุดเชื่อมโยงเบาะแสที่จะพาเราไปหาตัวของหน้ากากดำเท็นสไควร์ เจ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ในที่เกิดเหตุ ต้องรู้จักกับหน้ากากดำอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเราได้ตัวพ่อของมันมาถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะล้วงข้อมูลเพิ่มเติม” พี่ใหญ่ปัญญ์กล่าว “นายอย่าลืมสิว่าหน้ากากดำเท็นสไควร์คือศัตรูตัวร้ายของแก็งค์เมษาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว. เคยก่อเรื่องทั้งที่ฐานบัญชาการในอเมริกาเหนือและที่นี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยได้เบาะแสใดๆของมันมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เราจะสร้างชื่อให้กับสาขาในประเทศ”
“เข้าใจแล้วครับพี่ใหญ่ ผมจะไปจัดการให้พร้อม” พ่อบ้านรับคำ “เรามีฐานและโกดังที่ท่าเรือภาคตะวันออกอยู่ ที่นั่นอยู่ห่างจากตัวเมืองพวกเราจะรู้ตัวทันทีที่มีการยกกำลังเข้ามา ผมจะนัดมันไปที่นั่น”
“ดีมาก เอ้า เอานี่ไป” ปัญญ์โยนป้ายคำสั่งให้ “เรียกกำลังของเราในซุ้มมือปืนภาคตะวันออกทั้งหมดมาซะ”
“มือปืนภาคตะวันออกทั้งหมดเหรอครับ”
“ใช่ เรียกมาทั้งหมดอนุญาตให้ใช้อาวุธสงครามได้อย่าลืมว่าอีกฝ่ายคือพวกของเท็นสไควร์ พวกเราจะประมาทไม่ได้”
“ครับ พี่ใหญ่! งานนี้ผมจะไปควบคุมด้วยตนเองเลยครับ”
พ่อบ้านจ็อบส์รับเอาป้ายคำสั่งไปไว้ในมืออย่างตื่นเต้น งานนี้เป็นงานสำคัญที่สุดที่เขาเคยได้รับคำสั่ง จะให้พลาดไม่ได้เด็ดขาด เขาลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เตรียมตัวติดต่อลูกน้องคนสนิทเพื่อติดต่อซุ้มมือปืนภาคตะวันออก
ขณะที่พี่ใหญ่ปัญญ์กระหยิ่มยิ้มอยู่เงียบๆ หยิบโทรศัพท์ข้างกายขึ้น กดโทรออกด้วยเบอร์ต่างประเทศและพูดเข้าไป
“นี่ปัญญ์ ผู้เฒ่าแก็งค์เมษาภาคพื้นอุษาคเนย์ จะขอเรียนสายกับตั่วเจ๊เมษา”
เขาบอกออกไป
“ได้เบาะแสของหน้ากากดำเท็นสไควร์แล้ว”