Midterm Fantasy - ตอนที่ 129
“สวัสดีค่ะพ่อ”
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
คุณวิทวัสวางแฟ้มเอกสารในมือของตนเองลงหันไปคุยกับลูกสาวที่เดินเข้ามา เด็กสาวยื่นผลึกแกนมอนสเตอร์ในมือให้กับพ่อ
“นี่ค่ะ รอนฝากมาให้”
คุณวิทวัสรับเอาผลึกสีแดงทั้งสี่ชิ้นจากลูกสาวมาเก็บไว้
“อ้อ ลูก สัปดาห์หน้าคุณตาคุณยายจะมาเยี่ยมนะ”
“จริงเหรอคะพ่อ เยี่ยมไปเลย แพทมีเรื่องจะเซอร์ไพรส์คุณตาคุณยายอยู่พอดีเลย” แพทบอก
“อะไรเหรอลูก บอกพ่อก่อนได้ไหม” พ่อถาม
“พ่อทายสิคะ”
“ลูกเตรียมสอบจนมั่นใจว่าจะสอบขึ้นม.4ในสายที่ต้องการได้”
“เกือบถูกแล้วค่ะอีกนิดนึง”
“พ่อไม่รู้หรอก ลูกเฉลยเถอะ”
“หนูสอบแข่งขันวิชาการได้ที่2ค่ะ” แพทบอก
“ที่2เลยเหรอ!” วิทวัสร้องขึ้นอย่างแปลกใจ “ได้ที่สองของโรงเรียนเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะพ่อ ไม่ใช่ที่สองของโรงเรียน แต่เป็นที่สองของประเทศค่ะ”
“ที่2ของประเทศ! จริงเหรอลูก” วิทวัสร้องอย่างประหลาดใจ
“ใช่ค่ะพ่อ พ่อนึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่าหนูจะทำได้แบบนี้ หืม? ทำไมพ่อทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ” แพทถามอย่างสงสัยเพราะพ่อของเธอยิ้มแค่ช่วงแรกก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นทำหน้าเครียด
“ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อแค่แปลกใจเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาลูกมีปัญหาเรื่องอ่านตัวหนังสือไม่ออก รักษายังไงก็ไม่หายจนพ่อถอดใจไปแล้ว แต่ลูกเรียนจนสำเร็จได้แบบนี้พ่อก็ดีใจ” พ่อบอก “นี่ถ้าแม่รู้แม่คงต้องดีใจมากๆแน่ที่ลูกทำได้ขนาดนี้ ว่าแต่ตอนนี้ลูกอ่านตัวหนังสือได้แล้วเหรอ”
แพทตื่นตัวขึ้นทันที จริงสินะ! ที่ผ่านมาเธอมีภาวะดิสเลคเซียอ่านตัวอักษรหนังสือไม่ได้ ถ้าหากจู่ๆมาหายล่ะก็ทุกคนคงต้องสงสัยแน่ๆ ยิ่งมาสอบได้คะแนนดีแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
แล้วคุณวิทวัสเดินไปหยิบเงินออกจากลิ้นชักใส่ซองให้
“นี่ลูก พรุ่งนี้ฝากให้รอนด้วย เป็นค่าของแล้วก็ถือซะว่าเป็นโบนัสที่เขาช่วยติวให้ลูกจนสอบได้คะแนนดีแบบนี้”
“พ่อไม่โอนให้เขาเอาล่ะคะ”
“แบบนี้แหละ ให้เป็นซองกับมือจะเป็นการแสดงออกถึงความขอบคุณได้ดีกว่าโอนให้เป็นตัวเลข” พ่อบอก
แพทรับเอาซองเงินมาและกำลังจะเดินเอาไปใส่กระเป๋านักเรียน พ่อก็พูดขึ้นมา
“อ้อ ลูกแพท ช่วยหยิบแฟ้มสีฟ้าที่เขียนว่า ผลการดำเนินงานประจำเดือนเมษายนของร้านทองในภาคเหนือให้พ่อหน่อยสิ แฟ้มอยู่บนชั้นข้างกระเป๋าลูกน่ะ”
“ได้ค่ะพ่อ”
แพทเงยหน้าขึ้นไปที่ชั้น เธอกวาดตามองแฟ้มสีฟ้า20-30แฟ้มบนชั้นนั้นอ่านอย่างรวดเร็วและก็เห็นแฟ้มที่ต้องการ เด็กสาวกำลังจะยกมือขึ้น
[คุณรับรู้ได้ว่ากำลังถูกเฝ้ามอง]
“อ๊ะ!” แพทอุทานขึ้น ในห้องที่ไม่มีใครอื่นนี้สัญญาณแบบนี้บอกได้เพียงอย่างเดียวว่าพ่อกำลังจ้องเธออยู่
จริงสิ! ถ้าเธอเลือกแฟ้มได้ในเวลาสั้นๆ พ่อต้องสงสัยแน่ว่าทำได้ยังไง จริงๆเธอต้องอ่านหนังสือได้ช้ามากๆนี่นา!
“โธ่ พ่อคะ หนูอ่านตัวหนังสือได้ไม่คล่อง หายังไงก็ไม่เจอหรอกค่ะ”
“อ้อ ขอโทษทีๆ พ่อลืมไปสนิทเลย” พ่อหัวเราะขึ้น “แฟ้มที่สี่จากซ้ายมือน่ะลูก ช่วยวางไว้ที่โต๊ะที”
เด็กสาวหยิบเอกสารเล่มที่สี่ออกมา เธอเหลือบมองหน้าปกและเห็นว่ามันเป็นเอกสารเดือนตุลาคม! แต่แพทก็ทำไม่รู้ไม่เห็นเดินมาที่โต๊ะ
[คุณรับรู้ได้ว่ากำลังถูกเฝ้ามอง]
เด็กสาวทำหน้าไม่รู้เรื่องใดๆวางแฟ้มนั้นลง พ่อมองหน้าเธออย่างพิเคราะห์แล้วมองที่แฟ้มก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ขอโทษทีลูก พ่อจำผิดน่ะ ทำลูกต้องเดินหลายรอบเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ”
“งั้นลูกช่วยเอาแฟ้มไปคืนที่ชั้นด้วยแล้วกัน” คุณวิทวัสบอก “แล้วช่วยหยิบแกนมอนสเตอร์ที่โต๊ะพ่อไปไว้ที่ชั้นหนังสือด้วย เดี๋ยวลุงบัวมาพ่อจะให้เขาเอาไปจัดการเสียหน่อย”
“ได้ค่ะ”
เด็กสาวหยิบแฟ้มกลับขึ้นมาพร้อมกับหยิบแกนมอนสเตอร์ทั้ง4ชิ้นบนโต๊ะเอาไปวางไว้ที่ชั้นหนังสือก่อนจะออกจากห้องไป ใจนึกอยู่ว่าเกือบไปแล้ว เพราะพ่อเล่นทดสอบดักทางไว้หลายชั้น ถ้าไม่ได้เสียงเตือนของSystemล่ะก็เธอต้องเผลอหลุดความลับเรื่องที่อ่านหนังสือออกแล้วไปแน่ๆ
คุณวิทวัสนั่นหน้าเครียดที่โต๊ะทำงานครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แล้วลุงบัวก็เปิดประตูเข้ามา
“นายท่านผมมีเรื่องจะรายงาน …มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ลุงบัวถามเมื่อสังเกตว่าคุณวิทวัสมีสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าปกติ
“เมื่อครู่ชั้นให้ลูกแพทช่วยหยิบแกนมอนสเตอร์นั่นไปวางที่ตู้” พ่อของแพทบอก “และแพทหยิบได้ถูกต้อง ทั้งที่ตอนที่บอกชั้นใช้คำว่า ‘แกนมอนสเตอร์’ ”
“หรือว่า!”
“แปลว่าเจ้าหนุ่มรอนคงจะบอกเรื่องของโลกฝั่งโน้นให้กับลูกแพทบ้างแล้ว” คุณวิทวัสบอกอย่างครุ่นคิด “บัว ต่อจากนี้ให้เริ่มแยกเด็กสองคนออกจากกัน ให้ไปรับส่งคุณหนูทุกวัน”
“แล้วแบบนี้จะไม่มีปัญหาเหรอครับ” ลุงบัวถาม
“ไม่มีปัญหาหรอก ด้วยแกนมอนสเตอร์ที่ได้มาก่อนหน้านี้ทำให้ตอนนี้ชั้นชาร์จพลังเวทในร่างกายไว้เต็มที่แล้ว ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแกนมอนสเตอร์จากรอนแล้ว”
“ครับนายท่าน”
“สำหรับวันธรรมดา นายไปรับส่งลูกแพททุกวันซะ ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ช่วงนี้คุณตาคุณยายมาเยี่ยม ลูกแพทคงไม่ออกไปกับเจ้าหนุ่มนั่น” คุณวิทวัสบอก “จริงสิ ที่มานี่มีเรื่องอะไรเรอะ”
“มีสองเรื่องครับ เรื่องแรกคือเรื่องที่คุณท่านทั้งสองจะเดินทางมาครับ เมื่อครู่ติดต่อมาว่าตอนนี้อยู่ที่สุสาน เสร็จจากเยี่ยมหลุมฝังศพคุณอารยาแล้วก็จะมาที่นี่เลยครับ” ลุงบัวบอก “ส่วนเรื่องที่สอง เรื่องแก็งค์เมษา ทางนั้นเร่งรัดสั่งให้เราจ่ายค่าคุ้มครองร้านทองครับ”
“อะไรกัน พวกเราเพิ่งจะจ่ายไปไม่ใช่เรอะ” คุณวิทวัสขมวดคิ้ว
“ใช่ครับนายท่าน แต่ว่าที่พวกเราจ่ายไปนั้นเป็นการจ่ายผ่านแก็งค์เมษาสาขาของโต้งมิวสิค หลังจากพวกเราจ่ายเงินค่าคุ้มครองไปได้ไม่กี่วันโต้งมิวสิคก็ถูกถล่มยังไม่ทันได้ส่งเงินให้กับแก็งค์ส่วนกลาง ดังนั้นแก็งค์เมษาก็เลยปฏิเสธความรับผิดชอบและขอให้เราจ่ายค่าคุ้มครองไปใหม่ครับ” ลุงบัวบอก “หรือว่าเราจะไม่จ่ายพวกมันดีครับ ตอนนี้พวกมันอยู่ในขาลงและตกต่ำแล้ว”
“ไม่ได้หรอกบัว แม้ตอนนี้พวกมันจะกำลังแย่ สาขาในเมืองหลวงถูกทำลายไปหลายสาขาแต่ว่าแก็งค์เมษามีสาขากระจายอยู่หลายภาค” คุณวิทวัสบอก “ธุรกิจร้านทองของเราไม่ได้มีแค่เมืองหลวงจังหวัดเดียวแต่กระจายอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ ถ้าเราไม่จ่ายล่ะก็พวกมันคงเล่นงานสาขาร้านที่อยู่จังหวัดอื่นๆของพวกเราแน่”
ยิ่งตอนนี้แก็งค์กำลังสั่นคลอน คงมีร้านค้าจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเลิกจ่ายค่าคุ้มครองให้ ถ้าหากเขาไม่จ่ายล่ะก็มันคงถือโอกาสนี้โจมตีห้างทองของเขาให้เป็นตัวอย่างกับร้านค้าอื่นๆแน่
จะหวังให้แก็งค์ของมันถูกถล่มจนหมดอำนาจเรอะ ก็คงยาก เพราะว่ามีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าศูนย์บัญชาการใหญ่ของแก็งค์อยู่ที่ใด สมัยที่เขาเองยังมีศิลานักปราชญ์ในตัวเคยพยายามค้นหาเพื่อกำจัดถอนรากถอนโคนแต่ก็ยังหาไม่เจอเลย
วิทวัสเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด
“บัว แจ้งแก็งค์เมษากลับไป เราจะจ่ายค่าคุ้มครองให้มัน”
“ครับ!?”
“แต่บอกข้อแม้ไปว่า ชั้นจะเป็นคนถือเงินไปเอง และจะไปขอไปพบกับนายใหญ่ของพวกมันด้วยตนเอง”
“แต่พวกมันจะยอมหรือครับ ที่ผ่านมาพวกมันไม่เคยยอมรับเงื่อนไขนี้เลยนะครับ”
ลุงบัวถามกลับอย่างสงสัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วิทวัสพยายามแบบนี้ ถ้าแผนนี้ได้ผลพวกเขาคงรู้ที่ตั้งของพวกมันไปนานแล้ว
“ต้องยอมสิ บอกพวกมันไปว่าที่ผ่านมาพวกเราจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกมันไปแล้วสองรอบกับเป๋งโมบาลย์และโต้งมิวสิค หากให้จ่ายครั้งที่สามผ่านคนกลางอีกแล้วอ้างว่าไม่ได้รับ จะให้เราทำยังไง” วิทวัสบอก “ถ้าเป็นเหตุผลนี้พวกมันต้องไม่สงสัยแน่นอน”
ลุงบัวพยักหน้ารับแล้วก็นึกขึ้นได้ “แต่เราเพิ่งจ่ายไปครั้งเดียวกับโต้งมิวสิคนะครับ ตอนเป๋งโมบายล์เจอถล่มเรายังไม่ได้จ่ายเลย”
“หึหึ เป๋งก็เจอจับไปแล้ว พวกมันจะรู้ได้ยังไง” วิทวัสบอก “เอาตามนี้แหละ บอกพวกมันไปแบบนี้”
“ครับ”
“แล้วนายเอาแกนมอนสเตอร์ทั้ง4ชิ้นตรงนั้นไปให้ช่างจัดการด้วย ทำเป็นเครื่องประดับซะ ชั้นจะใส่มันไปในวันนั้น”
ในเวลาเดียวกันที่ริมถนน ชายสองคนที่โต๊ะอาหารยกมือขึ้น
“เฮีย เก็บเงินด้วย”
พ่อค้าเหลือบมองหน้าของชายทั้งสองก่อนจะลุกไปเก็บเงิน ชายทั้งสองล้วงเงินจ่ายให้พลางมองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม มีชายชาวจีนสองคนที่นั่งเล่นหมากรุกกำลังมองมาที่พวกเขา ทั้งคู่จ่ายเงินเสร็จแล้วก็ลุกออกมา
“บ้าจริง ทำไมพวกเราต้องกินอาหารแล้วจ่ายเงินด้วยวะ” ชายคนแรกบ่น
“เอาเหอะ ตอนนี้พวกแก็งค์รุ่งโรจน์คุมพื้นที่ไปแล้ว ถ้าเราไปกินแล้วชักดาบอีกมีหวังเละแน่” ชายอีกคนตอบขณะที่กระเป๋ากางเกงสั่น “ใครส่งข้อความมาวะ”
ทั้งสองคนเดินไปตามถนนเลียบโรงเรียน ที่ข้างโรงเรียนนั้น บราเดอร์สมนึกกำลังคุมคนงานขึ้นป้ายอยู่
“ดี ดี แบบนั้นแหละ เอาให้เห็นชัดๆแบบนั้น” บราเดอร์บอกอย่างพอใจ ภาพของรอนและแพทที่ได้รางวัลวิชาการระดับประเทศโดดเด่นอยู่ที่ข้างโรงเรียน ขณะที่นักเลงทั้งสองเดินผ่านมา เจ้าคนแรกก็มองไปที่ป้าย
“เฮอะ เจ้าพวกนี้ แค่เรียนดีหน่อยก็ขึ้นป้าย ไอ้พวกคนอวดร่ำอวดรวย” ชายคนแรกพูดขึ้นก่อนจะถุยน้ำลายลงพื้น “อ้าว เฮ้ย หยุดเดินทำไม”
มันถามขึ้น เพราะเพื่อนของมันหยุดเดินแล้วจ้องไปที่ป้ายสลับกับมองมือถือ
“อะไรวะ”
“มึงดูนี่สิ”
ในโทรศัพท์มือถือเป็นภาพของแพทที่ถูกถ่ายไว้ขณะเผลอยืนตรงหน้าต่างในวันที่ช่วยรอนถล่มรังของโต้งมิวสิค นักเลงสองคนมองรูปในมือถือแล้วเงยหน้ามองไปที่ป้ายที่กำลังแขวนขึ้นมา
“คนเดียวกันนี่มึง แล้วมีอะไรวะ”
“นายใหญ่ประกาศมา ใครมีเบาะแสของเด็กคนนี้จะได้รางวัล2แสน”
“เหยดดด ลาภลอยแล้วมึง”
มันสองคนร้องขึ้นก่อนจะช่วยกันถ่ายรูปป้ายตรงหน้า ป้ายที่มีทั้งชื่อนามสกุลและชื่อโรงเรียนรวมทั้งใบหน้าชัดๆของแพท