Midterm Fantasy - ตอนที่ 113
ขบวนทหารแห่งเมืองกาล่าเดินอย่างพร้อมเพรียงกันเข้าไปในตัวเมือง แสงอาทิตย์สาดส่องสะท้อนเกราะและอาวุธจนเป็นประกายจนดูองอาจเข้มแข็ง ประกอบกับกลิ่นหอมประหลาดที่ไม่เคยมีใครเคยได้กลิ่นนี้มาก่อนซึ่งตลบอบอวลไปทั่วท้องถนนทำให้ประชาชนที่อยู่ภายในอาคารต่างโผล่หน้าออกมาดูอย่างสนใจ
กองทหารที่เดินมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย สันกรามนูนขึ้นเหมือนกำลังกัดฟันสะกดกลั้นความหยิ่งผยอง
กองทหารอันมีอาวุธและระเบียบวินัยที่ไม่ต่างจากกองทัพเมืองหลวง
ไม่สิ
ด้วยอาวุธและชุดเกราะเช่นนี้ เผลอๆอาจจะดูพิเศษกว่าทหารเมืองหลวงเสียอีก
ขณะเดียวกัน เหล่าทหารที่อยู่ในขบวนรวมไปถึงรอนเอง ต่างสะกดกลั้นเต็มที่
“ทนอีกนิด ทนไว้ก่อน”
“แรกๆมันก็หอมอยู่หรอก แต่ตอนนี้จมูกข้าจะไม่ไหวแล้ว”
“โอย ข้าเวียนหัว กรอดดดด”
ทหารทุกคนกัดฟันแน่น พยายามสะกดกลั้นเอาไว้อย่างถึงที่สุด เพราะรอนเล่นiใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มแบบเข้มข้นป้ายไปที่ผ้าคลุมของทุกคน
ขนาดชาวเมืองที่อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยเมตรยังได้กลิ่น คงไม่ต้องบอกว่าที่ใจกลางขบวนกลิ่นหอมเอียนนั้นจะมากขนาดไหน
“กองทหารทั้งหมด ระวัง หยุดได้!”
เสียงคำสั่งดังมาจากเบื้องหน้า ทหารทั้งหมดหยุดการเดินลง ทหารม้าเดินไปเรียงแถวกันที่ด้านหลัง ณ จุดนี้คือลานกว้างใจกลางเมือง มีเสาโรมัน อาคารโรมัน รูปปั้นเทพเจ้ากรีกโรมัน คล้ายกับในภาพยนตร์ จะต่างกันก็ตรงที่รูปปั้นและเสาอาคารในภาพยนตร์ล้วนแต่เป็นสีขาว แต่ที่นี่เวลานี้ ทั้งสิ่งก่อสร้างและรูปปั้นล้วนมีสีสรรสดใสดูแปลกตา
และที่ข้างๆนั้น คือขั้นบันไดสูงใหญ่ที่ทอดขึ้นไปตามเนิน ตรงส่วนยอดนั้นเป็นอาคารโรมันขนาดใหญ่ มีทหารในเกราะสีดำพู่หมวกดำยืนอยู่ ตรงกึ่งกลางนั้นมีชายผมสีขาวในชุดโทกาสีม่วงยืนเด่นอยู่
เสียงแตรดังก้องลงมาเสมือนเป็นสัญญาณให้ผู้ที่มารับชมพิธีเงียบเสียงลง แล้วเสียงทหารผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ชาวเมืองแห่งวาเลนเทียเอ๋ย จงชื่นชมและต้อนรับ ผู้พิทักษ์แห่งวาเลนเทีย เพรเตอร์ผู้มีอำนาจเต็มแห่งกองทัพ ผู้ดูแลอาณาจักรแอสคาลอน”
“ข้ารับใช้แห่งจักรพรรดิ ผู้พิทักษ์แห่งโรม”
“เพรเตอร์ ลูเซียส ลาตินัส ที่6”
เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ทหารทั้งหมดต่างเรียบอาวุธและยกมือขวาขึ้นประทับที่หน้าอกแสดงความเคารพต่อพระราชาแห่งแอสคาลอน ชายผมสีขาวผู้นั้นค่อยๆเดินลงมาตามบันไดอย่างช้าๆแต่องอาจ
แพทเองหันไปมองรอนด้วยสีหน้าที่งงและสับสนตั้งแต่ทหารประกาศว่า ‘ข้ารับใช้แห่งจักรพรรดิ ผู้พิทักษ์แห่งโรม’แล้ว
หากแต่รอนไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะขณะนี้สายตาของเขามองไปที่ธงยอดอินทรีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางบันได
ที่ตรงกลางธงนั้นเขียนไว้ว่า
‘Legio IX Hispana’
“กองพลที่ 9 อย่างที่คิดจริงๆ” รอนพูดขึ้น
“เอ๊ะ” แพทมองอย่างงงๆ
“ก็ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ทั้งเรื่องที่อาณาจักรนี้มีลักษณะหลายอย่างคล้ายโรมัน ทั้งการแต่งกาย ทหาร กองทัพ และประวัติศาสตร์ที่ย้อนหลังไป 2พันปี พอประกอบกับที่ท่านโซล่าเล่ามาเมื่อวันก่อน พูดถึงการเดินทางผ่านประตูบางอย่างมาที่โลกนี้ เราเลยเอาข้อมูลไปค้นในอินเตอร์เนทดู” รอนบอก “ชื่อวาเลนเทียกับแอสคาลอน ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อเมืองที่มีปรากฎในสมัยโรมัน อยู่ในพื้นที่ที่นักประวัติศาสตร์บอกว่ากองพลที่ 9 แห่งโรมันเคยเดินทัพผ่าน”
“ซึ่งกองพลที่ 9 นี้ หายไปจากประวัติศาสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 1 บ้างบอกว่าถูกทำลายโดยทัพกบฏ บ้างก็ว่ายุบรวมไปอยู่กับกองพลอื่น แต่ดูจากสิ่งที่เราเห็นอยู่นี่กับที่ท่านโซล่าเล่ามา กองพลที่ 9 คงถูกกองทัพกบฏล้อมและเผาเมือง ก่อนที่ประตูมิติจะเปิดแล้วอพยพทหารและชาวเมืองหนีมาที่โลกนี้” รอนบอก
“นี่เธอรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน” แพทถามอย่างฉงน
“เรื่องนี้ถูกเอามาทำเกมกับนิยายเต็มไปหมด แต่ก่อนเวลาเล่นเกมก็ชอบไปค้นน่ะ”
“มิน่าล่ะ เธอเลยสอบเกือบตกทุกครั้ง มัวแต่เอาเวลาอ่านหนังสือไปทำอะไรแบบนี้นี่เอง”
“…”
พระราชาลงมาที่ลาน จากนั้นพูดคุยกับเจ้าเมืองโซล่าครู่หนึ่งก่อนจะสวมพวงช่อมะกอกให้ที่ศีรษะของโซล่า แล้วเดินคู่กันตรวจแถวทหารเมืองกาล่าที่ตั้งแนวอยู่มาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจุดที่ชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นยืนอยู่
“นี่รึ เด็กสาวที่กำจัดแม่ทัพออร์คได้” พระราชามองไปที่โรล่าที่ยืนอยู่ข้างรถม้า
“ใช่ครับ เธอกำจัดแม่ทัพออร์คไปสองตัว ครั้งแรกในตอนที่กองทหารของเรากำลังถอยร่นกลับเมือง อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่เมืองกาล่าถูกโจมตี” โซล่าบอก
พระราชาพยักหน้าและเดินต่อไป ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่นั้นหยุดนิ่งอึ้งลงเมื่อเห็นรอนและแพท
“นี่คือท่านรอน ผู้ที่กำจัดนักรบมังกรดราซัค และ ‘เด็กสาว’คนนี้ชื่อแพท เป็นเพื่อนจากบ้านเกิดของท่านรอนครับ ทั้งคู่มีความสามารถในการต่อสู้มากช่วยพวกเราปราบมอนสเตอร์มากมาย ทั้งยังเป็นเจ้าของร้าน ARMAMENT อันโด่งดังด้วย”
“มีอะไรเหรอแพท” รอนถามเมื่อรู้สึกว่ามือของแพทกำลังกำเสื้อของเขาไว้แน่น
“รอน มีแถบพลังชีวิตขึ้นที่พวกองครักษ์และพระราชา”
“เห?”
รอนพยายามมองไปที่พระราชาและองค์รักษ์เกราะดำที่ล้อมรอบอยู่แต่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของพระราชา
“แม่หนู พ่อของเธอชื่ออะไร”
รอนและแพทหันไปมองตามเสียงนั้น เป็นองครักษ์เกราะดำวัยกลางคนที่ถามคำถามนี้
“ท่านกิลเลี่ยน พระราชากำลังตรวจแถวอยู่นะครับ” องครักษ์ที่หนุ่มกว่าทำท่าแย้ง แต่องครักษ์ที่ชื่อกิลเลี่ยนไม่สนใจ เขายังคงถามต่อ
“พ่อของเธอชื่ออะไร”
แพทถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ตอนนี้เด็กสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนที่มีแถบพลังชีวิตอันบ่งบอกว่ามีจิตคิดเป็นศัตรูนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนวัย 40-50 ปีกันทุกคน
ทำไมต้องถามชื่อพ่อ
คนพวกนี้คิดอะไรอยู่
หรือว่าเธอจะโกหกดี
และขณะที่แพทกำลังคิดอยู่นั้นเองว่าจะโกหกออกไปนั้นเอง
“พ่อของเธอชื่อวิทวัสครับ”
“หือ?”
ทุกคนหันไปมองรอน องครักษ์กิลเลี่ยนเองขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่ลูกแก้วในมือ
“ใช่ค่ะ พ่อของชั้นชื่อวิทวัสค่ะ” แพทตอบออกไปแทบจะทันที เพราะเธอเห็นว่าจังหวะที่รอนตอบออกไปนั้น แถบพลังชีวิตของกิลเลียนที่บ่งบอกว่ากำลังเป็นศัตรูหายไปแทบจะทันที
“ลูกแก้วจับโกหกไม่ทำงาน เด็กคนนี้พูดความจริง”
“หรือว่าพวกเราจะจำคนผิด”
“แต่ใบหน้านี้เหมือนกันมาก เหมือนกันไม่มีผิด”
เหล่าองครักษ์ที่มีอายุต่างกระซิบกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาเถอะ ไม่มีอะไรหรอก เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถนับเป็นเรื่องที่น่ายินดี” พระราชาบอก “คืนนี้เราขอเชิญพวกท่านไปร่วมงานเลี้ยงที่ปราสาทร่วมกับบรรดานายทหาร ขอให้ทุกท่านไปกันให้ได้ล่ะ”
พระราชาลูเซียสหันหลังเดินกลับออกไปพร้อมกับบรรดาองครักษ์ ขณะที่ท่านโซล่าเองก็เดินตามออกไปด้วยท่ามกลางความงุนงงของแพทและคนอื่นๆ
“ยังดีที่เมื่อกี้เธอไม่ได้โกหกออกไป” รอนบอก “ในมือขององครักษ์คนนั้นมีลูกแก้วจับโกหกอยู่ ถ้าโกหกออกไปไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เด็กหนุ่มนึกถึงเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับพวกสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกาล่าที่มีการใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้กับเขา
ว่าแต่ทำไมต้องมาซักถามแพทด้วยล่ะ
หรือว่า!
“ว่าแต่ทำไมคนพวกนี้ต้องมาซักถามอะไรแพทเรื่องนี้ด้วยล่ะ เราไม่ใช่คนของโลกนี้ด้วยซ้ำไป จะมารู้จักกับคนพวกนี้ได้ยังไง”
“อือ สงสัยจะมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างแหละ ไม่มีอะไรหรอกแพท” รอนบอก
หากแต่เป็นการบอกที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น
ลุงวิทวัส พ่อของแพทหน้าตาคล้ายแพทมาก แถมที่ผ่านมายังมีอะไรหลายๆอย่างที่น่าสงสัยทั้งเรื่องที่ขอให้เอาแกนมอนสเตอร์ไปขายให้ในราคาสูง ทั้งเรื่องที่ไม่ได้สงสัยหรือถามอะไรเขามากว่าเขาไปเอาเหรียญทองมาจากไหน
แต่แม้ว่ารอนจะสงสัยเพียงใดก็ตาม เขาก็คิดว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่จะไปถามตรงๆ
“โซล่า เด็กผู้หญิงคนนั้น..”
“ครับ เหมือนกับนักรบมังกรเท็นท์สไควร์มาก ถ้าไม่ใช่ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง ข้าเองก็คงคิดว่าเป็นคนๆเดียวกันแล้ว”
โซล่าตอบพระราชา
“แล้วไว้ใจได้ไหม”
“ข้าคิดว่าไว้ใจได้ครับ เพราะถ้าเราไม่ได้ท่านรอน ตอนนี้เมืองกาล่าก็คงแตกพ่ายไปแล้วด้วยฝีมือของนักรบมังกรดราซัค” โซล่ากล่าว “ถ้าหากพวกเขาคือคนของราชาอันเดดจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะช่วยพวกเรามาจนขนาดนี้”
“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจ”
พระราชาตอบ แต่ก็ด้วยสีหน้าที่ยังดูไม่สบายใจเท่าไหร่ และนั่นก็ไม่ได้พ้นจากสายตาของคนอื่นๆที่ติดตาม
“ท่านกิลเลี่ยน เด็กหญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนนักรบมังกรเท็นสไควร์มากเลยเหรอครับ” ทหารองครักษ์ที่อายุไม่มากถาม
“อือ คล้ายมาก คล้ายจนข้าและคนอื่นๆตกใจ” กิลเลี่ยนตอบ “ถ้าให้องครักษ์เพรเตอร์เรี่ยนในเหตุการณ์ที่นักรบมังกรเท็นท์สไควร์โจมตีพระราชวังในครั้งนั้นมาดู ก็คงออกความเห็นเหมือนกัน”
“แต่เท็นท์สไควร์เป็นผู้ชายนี่ครับ”
“ใช่ แต่อย่าลืมว่านี่ผ่านมา 30 ปีแล้ว ไม่แน่ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจ้าหมอนั่นก็ได้” กิลเลี่ยนบอก “ถึงแม้ว่าลูกแก้วจับเท็จจะไม่แสดงปฏิกริยาใดๆ แต่พวกเราก็ต้องระมัดระวังเอาไว้”
“ครับ”
กิลเลี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจถึงสิ่งที่จะทำต่อไป ในขณะที่ทหารองครักษ์หนุ่มผู้นั้นก็คิดอยู่ในใจ ว่าจะรายงานให้วุฒิสมาชิกจัสตินอย่างไรดี