สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 352 อวิ๋นอี้แห่งตระกูลอวิ๋น
เว่ยจือฉีมองคนเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าคนเหล่านั้นก็ถูกดึงดูดมาเพราะการต่อสู้เมื่อคืนเหมือนพวกเรานี่แหละ”
“เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่กลัวถูกหมาป่าหิมะนั่นขย้ำเอาหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ถ้าหากมีเพียงแค่หมาป่าหิมะตนนี้ตนเดียว ก็มิได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นหรอก” กัวเพ่ยเพ่ยกล่าว “คนจากดินแดนอื่นมากันไม่น้อย ในบรรดานั้นมีคนระดับจ้าววิญญาณขั้นสูงอยู่มากพอสมควร บวกกับสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของแต่ละคน ก็ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้หรอกนะ”
“มิได้บอกว่าคราวนี้มีเพียงแค่คนอายุต่ำกว่าร้อยปี และระดับต่ำกว่าระดับเทพเท่านั้นที่เข้ามาได้หรอกหรือ อายุน้อยแแค่นี้ก็ไปถึงระดับจ้าววิญญาณขั้นสูงกันแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถาม
ที่ดินแดนอี้หลิน การเข้าสู่ระดับจ้าววิญญาณได้ตอนอายุร้อยปีก็นับว่าร้ายกาจมากแล้ว นอกจากนี้หลังจากไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วระดับขั้นก็ก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า อาจจะนานเก้าปีสิบปีจึงจะเลื่อนระดับได้สักขั้นหนึ่ง
แต่คนภายนอกอายุยังไม่ถึงร้อยปีก็ได้เป็นระดับจ้าววิญญาณขั้นสูงแล้ว ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงอย่างยิ่งของพวกเจ้าอ้วนชวีอีกครั้ง ทั้งยังดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ คนตระกูลกัวจึงเชื่อสนิทใจแล้วว่าพวกเขามาจากดินแดนอี้หลินจริงๆ
“ตระกูลเรามีท่านปู่น้อยอยู่ท่านหนึ่ง ตอนอายุร้อยปีก็เลื่อนไปถึงระดับเทพแล้ว” กัวเลี่ยงพูด “เขาเข้าตาขุมอำนาจเบื้องบน หลังจากเลื่อนระดับแล้วจึงได้ไปยังเบื้องบนเลย”
“เฮือก…”
“อายุร้อย… ร้อยปี ก็เลื่อนไปถึงระดับเทพได้อย่างนั้นหรือ!”
“ใช่แล้ว! แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนเบื้องบน พรสวรรค์เช่นนี้ก็มิได้นับว่าดีสักเท่าไหร่นักหรอก” กัวเลี่ยงพูด
เพราะท่านปู่น้อยท่านนั้นเคยกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เรื่องราวของดินแดนโบราณอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวเล่อหน้าตาเหยเก อายุร้อยปีก็เข้าสู่ระดับเทพได้ นี่ยังไม่นับว่าดีอีกหรือ…
“พอเกิดมาคนเบื้องบนก็เป็นระดับจ้าววิญญาณแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ คนทางนั้นก็จะถือว่าเป็นคนไร้ค่า” กัวเลี่ยงพูด “ถ้าหากคนเหล่านั้นอายุห้าสิบแล้วยังมิได้เป็นระดับเทพ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ธรรมดาทั่วไป”
“ระดับเทพอายุห้าสิบปี!”
“มิน่าเล่าพวกเจ้าถึงได้บอกว่าต่อให้เป็นระดับเทพก็ใช่ว่าจะขึ้นไปได้ในทันที ก็เพราะพลังยุทธ์เช่นนี้ถือว่าไม่เท่าไหร่เลยที่ข้างบนนั่น!” ซือหม่าโยวเย่ว์รำพึง
“พวกเขาสูงส่งกว่าพวกเราตั้งแต่เริ่มต้น ร้ายกาจกว่าพวกเราสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“พรสวรรค์ของพี่หญิงใหญ่สูงกว่าท่านปู่น้อยเสียอีก จะต้องเลื่อนไปถึงระดับเทพได้ก่อนอายุร้อยปีอย่างแน่นอน!” กัวฝูพูดด้วยรอยยิ้ม
“เพ่ยเพ่ยจะต้องได้เข้าสู่ระดับเทพก่อนอายุร้อยปีแน่นอน” น้ำเสียงทรงพลังดังแว่วมาจากด้านข้าง ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไป
พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองไปก็เห็นชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์ยาวสีดำตลอดร่างกำลังย่างเท้าเข้ามา ด้านหลังเขายังมีชายหนุ่มชุดดำอยู่อีกคนหนึ่งด้วย
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นผู้ที่เข้ามาแล้วสีหน้ามิสู้ดีนัก มิได้ทักทายพวกเขาแต่อย่างใด
ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนที่ข้างกายกัวเพ่ยเพ่ยพลางเอ่ยว่า “ในภายหน้าเพ่ยเพ่ยจะต้องเป็นผู้หญิงของข้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องทำให้เจ้าเลื่อนไปถึงระดับเทพให้ได้ก่อนอายุร้อยปีแน่นอน!”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของชายหนุ่มผู้นั้นแล้วก็มองพวกเขาสองคนอย่างประหลาดใจ
ชายหนุ่มผู้นี้คือเพื่อนชายคนสนิทของกัวเพ่ยเพ่ยอย่างนั้นหรือ
แต่จากท่าทางของชายหนุ่ม ดูไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเอาเสียเลย
นอกจากนี้ดูจากสีหน้าของกัวเพ่ยเพ่ยแล้วดูเหมือนจะไม่ชอบอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าหลังจากนั้น…
“จานเจิ้นซิน ไม่มีการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้าเสียหน่อย เจ้าอย่ามาพูดสามหาวเช่นนี้นะ ระวังฟ้าจะผ่าเอาได้!” กัวเพ่ยเพ่ยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฮ่าๆ เพ่ยเพ่ย ท่านพ่อข้ารับปากข้าแล้วว่ารอให้พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อน เขาจะส่งคนไปสู่ขอที่ตระกูลกัว เจ้าว่าคนตระกูลพวกเจ้าจะปฏิเสธข้าได้หรือไม่เล่า” จานเจิ้นซินพูดแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
“จานเจิ้นซิน อย่าคิดว่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้เป็นรองเจ้าตำหนักแห่งตำหนักผู้วิเศษแล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้ตามใจชอบนะ ท่านปู่น้อยของพวกเราก็เป็นถึงคนของหุบเขามารเทพเช่นกัน!” กัวฝูไม่ชอบใจกับความลำพองของจานเจิ้นซินจึงเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ประสานสายตากับเป่ยกงถัง คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะเข้าไปที่หุบเขามารเทพ ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวโยงกับพวกเขาอยู่พอสมควร
“ท่านปู่น้อยผู้นั้นของพวกเจ้าก็เป็นแค่ศิษย์หุบเขานอกของหุบเขามารเทพเท่านั้น มิได้ถือเป็นศิษย์คนสำคัญแต่อย่างใด บรรพบุรุษของข้าเป็นถึงรองเจ้าตำหนักย่อยแห่งตำหนักผู้วิเศษ ตระกูลกัวของพวกเจ้าถูกตระกูลจานของพวกเราทิ้งห่างเอาไว้เบื้องหลังไกลโขแล้ว!” คนตระกูลจานผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ตอนนี้พี่ใหญ่ข้าอยากจะแต่งงานกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็นับว่าไว้หน้าพวกเจ้าแล้วนะ พวกเจ้าไม่ชอบไม้อ่อน ชอบไม้แข็งกันสินะ!”
“ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าพวกเจ้าจะใช้ไม้แข็งเช่นไรกับพวกเรา!” กัวเพ่ยเพ่ยมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างมิได้ด้อยกว่าผู้ที่เหนือกว่าเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
“อู๋ซิน อย่าพูดจาเช่นนี้กับพวกเพ่ยเพ่ยสิ!” จานเจิ้นซินพูด
“ขอรับ พี่ใหญ่” จานเจิ้นซินมีอำนาจสูงส่งต่อคนเหล่านี้ พอเขาเอ่ยปาก คนเหล่านั้นก็มิกล้าปฏิบัติต่อกัวเพ่ยเพ่ยด้วยความไม่เคารพอีก
“เพ่ยเพ่ย ข้าชอบเจ้าจริงๆ นะ นอกจากข้าแล้วจะมีผู้ใดเหมาะสมกับเจ้าอีกเล่า ตอนนี้แม้กระทั่งอวิ๋นเฟิงพบข้าก็ยังต้องถอยสามก้าวเลย” จานเจิ้นซินพูดอย่างลำพองใจ
กัวเพ่ยเพ่ยยังไม่ทันเอ่ยวาจา น้ำเสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา “จริงหรือ เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่กล้าพบหน้าแม้กระทั่งคนตระกูลจานเลยหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนกลุ่มนี้เดินเลียบตามแนวเขามาก่อนนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาจากดินแดนเดียวกันกับพวกกัวเพ่ยเพ่ยด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่เดินนำมามีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรี เส้นผมยาวดำขลับมัดเอาไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ ดูมีความสง่างามแฝงอยู่ในความเกียจคร้าน
ที่ด้านหลังของเขามีชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีฟ้าหน้าตาดุร้ายอยู่ เมื่อได้ยินวาจาของพี่ชายตนจึงพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สีหน้านั้น น้ำเสียงนั้น ดูเหมือนว่าจะมิได้เห็นจานเจิ้นซินอยู่ในสายตาเลย
คนตระกูลกัวเห็นผู้ที่เข้ามาแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ดูเหมือนได้พบพวกเขาแล้วจะดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนสีหน้าของคนตระกูลจานก็ดูไม่สู้ดีเสียแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าราวกับกินซากแมลงวันตาย
“อ้อ ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน” อวิ๋นอี้พูดอย่างเรียบเรื่อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนี้เจ้าก็ประมือกับผู้มีพรสวรรค์ตระกูลจานเสียหน่อยสิ ดูว่าด้อยกว่าเขามากหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ คราวหน้าก็อย่าลืมถอยสามก้าวด้วยล่ะ”
“ได้เลย” อวิ๋นเฟิงพยักหน้ามองจานเจิ้นซิน
จานเจิ้นซินกล้าประลองกับอวิ๋นเฟิงที่นี่จริงๆ เสียที่ไหนกัน อีกฝ่ายระดับสูงกว่าตนถึงสองขั้น
“ฝากไว้ก่อนเถิด!”
เขาสบถคำหยาบออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะพาคนตระกูลจานหนีหัวซุกหัวซุนออกไป
“ชิ ขี้ขลาดนัก!” กัวเลี่ยงยกนิ้วมือขึ้นแสดงท่าทีดูแคลนใส่แผ่นหลังของคนตระกูลจาน
“พี่อวิ๋นอี้ ท่านมิได้อยู่ที่เบื้องบนหรอกหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” กัวเพ่ยเพ่ยมองอวิ๋นอี้พลางถามด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นอี้ลูบศีรษะกัวเพ่ยเพ่ยแล้วเอ่ยว่า “เพ่ยเพ่ยเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ล้ำเลิศราวหยกงามเลยทีเดียว”
กัวเพ่ยเพ่ยสีหน้ายับย่น “ตอนท่านไปข้าก็เติบใหญ่แล้วนะ”
“ตอนนั้นถึงเจ้าจะเติบใหญ่แล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนเด็กน้อยอยู่เลย ตอนนี้เริ่มจะดูมีท่าทีเหมือนพี่หญิงใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้ว!” อวิ๋นอี้พูดแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
กัวเพ่ยเพ่ยปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ ท่านมิได้ถูกหุบเขามารเทพเลือกตัวไปแล้วหรือ เหตุใดจึงกลับมาเล่า”
“เจ้าหุบเขาบอกว่าข้าแตะถึงขอบกั้นของระดับเทพแล้ว แต่ก็ยังก้าวข้ามไปไม่ได้เสียที จึงให้ข้าไปเดินเล่นทั่วทุกหนแห่ง ข้ากำลังกลับบ้านแล้วพบกับเรื่องนี้เข้าพอดี ก็เลยเข้ามาเล่นสนุกด้วยน่ะ” อวิ๋นอี้พูด “ใช่แล้ว ท่านปู่น้อยของพวกเจ้าทราบว่าข้าจะลงมา จึงได้ฝากของเล็กน้อยให้ข้านำมาให้พวกเจ้าด้วย”
………………………………….