สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 351 ใช้เป็นค้อนได้เท่านั้น
“นี่มิใช่สิ่งที่ข้าจะจัดการได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์แบมือทั้งสองข้างด้วยท่าทางจนใจ
ก่อนหน้านี้เธอยังถูกหมัวซาหัวเราะเยาะเพราะเรื่องนี้ หากมิใช่เพราะมีหลิงหลง เป็นไปได้ว่าตอนนี้เธออาจจะยังยืนบื้อมองดินโคลนเหล่านี้อยู่เฉยๆ เสียด้วยซ้ำ!
“เจ้ามิได้เป็นคนจัดการมันหรอกหรือ” คนตระกูลกัวมองไปรอบด้าน ที่นี่นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอื่นอยู่อีกเลย
“แหะๆ ฝีมือข้าเอง!” หลิงหลงไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน นางปีนขึ้นมานอนแผ่บนศีรษะเธอพลางมองดูทุกคนพร้อมรอยยิ้มละไม
“นางคือใครกัน” คนตระกูลกัวเห็นรูปร่างเล็กจ้อยของหลิงหลงแล้วก็รู้ว่านางมิใช่มนุษย์
แต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นเช่นนี้ได้ ย่อมมิใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือขึ้นไปหยิบหลิงหลงลงมาแล้วเอ่ยว่า “นางเป็นวิญญาณครวญที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ใช้เป็นค้อนได้เท่านั้น”
เธอพูดพลางแปลงหลิงหลงเป็นค้อนแล้วหยิบออกมา
“คะ… ค้อนหรือ” คนตระกูลกัวมองซือหม่าโยวเย่ว์ อาวุธวิญญาณที่มีวิญญาณครวญ ระดับขั้นย่อมต้องสูงส่งอย่างยิ่งมิใช่หรือ แต่เธอกลับนำมาใช้เป็นค้อนนี่นะ
ช่างเสียของโดยแท้!
เมื่อเห็นค้อนอันนี้ พวกเว่ยจือฉีต่างพากันหัวเราะ ตอนที่พวกเขาเห็นครั้งแรก หลิงหลงนี้ยังมิใช่ค้อนเลยด้วยซ้ำ!
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่นึกถึงตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบกระทะก้นแบนใบหนึ่งมาช่วยพวกเขา พวกเขาก็อดนึกอยากหัวเราะมิได้
ต่อมาพวกเขาจึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วกระทะก้นแบนใบนั้นมีที่มาอันน่าอาย
คนตระกูลกัวเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ไม่คิดจะพูดว่าเป็นหลิงหลง จึงไม่ซักไซ้อีกต่อไป
“เจ้าอ้วน พวกนี้ล้วนเป็นฝีมือหลิงหลงทำลายทั้งสิ้น ข้าก็แค่ช่วยเก็บรวบรวมมาให้เจ้าเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าเก็บรวบรวมมามากมายเลยหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ ทันใดนั้นก็เบิกตาโพลงพร้อมกับชี้ไปที่หลุมแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าบอกข้านะว่าหลุมนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าเก็บรวบรวมมาน่ะ”
“ทำไมล่ะ เจ้าว่ามากเกินไปหรือ เช่นนั้นข้าโยนทิ้งไปบางส่วนก็ได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เฮ้ๆๆ ไม่ต้องๆ! ถึงจะมากกว่านี้ข้าก็ไม่รังเกียจหรอก!” เจ้าอ้วนชวีโอบตัวซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางร้องเสียงดัง
“เจ้าอ้วน ของสิ่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ต่อไปนี้หากข้าไปให้เจ้าช่วยหลอมอาวุธ เจ้าก็เติมสิ่งนี้ลงไปให้ข้าสักหน่อยด้วยล่ะ” กัวเลี่ยงเดินเข้ามาพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าจะมีโอกาสหลอมอาวุธวิญญาณให้เจ้าเสียที่ไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ทำไมจะไม่ได้เล่า ในภายหน้าพวกเจ้าจะต้องขึ้นไปยังเบื้องบนอย่างแน่นอน พวกเราก็จะไปอย่างแน่นอนเช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสในภายหน้าก็ได้นะ!” กัวเลี่ยงพูด
กัวฝูเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “คุณชายซือหม่า เจ้า… เจ้าจะมอบดินนี้ให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าอยากได้หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“อื้ม” กัวฝูพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก่อนเข้ามาที่นี่ข้าได้ให้นักหลอมวัตถุคนหนึ่งหลอมอาวุธให้กับข้า เขาบอกว่าถ้าหากหาวัสดุที่ทนทานมาได้ ก็หลอมอาวุธวิญญาณที่ดียิ่งขึ้นให้กับข้าได้”
“ได้สิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา แล้วเทดินออกมาจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมอบให้นาง
“ขอบใจเจ้ามาก” กัวฝูรับกล่องมาพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างซาบซึ้ง
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แบ่งดินนั้นให้กับน้องสาวของตนโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จึงเกิดความประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นหลายส่วน
ที่ดินแดนของพวกนางมีคนวัยเยาว์ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นจำนวนไม่น้อย แต่คนที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งและมีจิตใจดีด้วยนั้นมีอยู่ไม่มากนัก
นางมองดูทุกคนพลางเอ่ยว่า “พวกเราวางแผนว่าจะไปดูบริเวณที่สัตว์อสูรเทพสองตนต่อสู้กันเมื่อคืนเสียหน่อย พวกเจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ประสานสายตากัน ท้ายที่สุดก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเราก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าที่นั่นมีสิ่งใดอยู่ ทุกคนไปดูพร้อมกันเลยดีกว่า”
“ได้สิ”
จากนั้นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ขี่หลังเจ้าวิหคน้อย ส่วนคนตระกูลกัวก็ขี่สัตว์อสูรบินได้ของตน พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เกิดการปะทะกันเมื่อคืน
ยังไม่ทันเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น คนตระกูลกัวที่บินอยู่ด้านหน้าก็บินร่อนลงไปยังพื้นดินในทันใด พวกซือหม่าโยวเย่ว์สงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ยังตามลงไปด้วย
“ทำไมหรือ” เว่ยจือฉีมองกัวเพ่ยเพ่ยพลางถามขึ้น
“ข้างหน้ามีผู้คนมากมาย ถ้าหากพวกเราบินเข้าไป จะต้องดึงดูดให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้นมาอย่างแน่นอน” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
กัวเพ่ยเพ่ยที่เป็นจ้าววิญญาณมีความสามารถในการรับรู้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากมายนัก ดังนั้นจึงสัมผัสถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างหน้าได้
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตระหนักได้เช่นกันว่าเบื้องหน้ามีคนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เดินเข้าไปกันดีกว่า”
แน่นอนว่าคำว่าเดินที่พวกเขาพูดถึงนั้นย่อมมิใช่การใช้สองเท้าค่อยๆ เดินเข้าไปจริงๆ หากแต่เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเดินทางไปบนพื้นดินเท่านั้นเอง
จากนั้นทุกคนก็เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมา
คนตระกูลกัวนั้นไม่ต้องพูดถึง ย่อมต้องเป็นสัตว์อสูรเทพกันหมดอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างก็เรียกสัตว์อสูรเทพออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
สัตว์อสูรเทพมีมากมายดังเช่นผักกาดขาวตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังย่ากวง ออกวิ่งนำหน้าทุกคนไป
เมื่อพวกเขาออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง กัวเลี่ยงจึงค่อยถอนสายตาของตนกลับมาแล้วเอ่ยว่า “พวกเขามาจากดินแดนอี้หลินกันจริงๆ หรือ เหตุใดจึงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากขุมอำนาจใหญ่ในดินแดนของพวกเราเหล่านั้นเลยเล่า”
“ก็ใช่ เข้ากันได้ดียิ่งกว่าคนทั่วไปในดินแดนของพวกเราเสียอีก!” ชายหนุ่มตระกูลกัวอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“มีทั้งปรมาจารย์ค่ายกลและนักหลอมวัตถุ และทุกคนยังมีสัตว์อสูรเทพกันหมด และบางคนยังมิได้มีเพียงแค่ตนเดียวอีกด้วย ทั้งยังมีอาวุธเทพ ความสามารถนี้ช่างจับตาคนเสียจริง” กัวเพ่ยเพ่ยพูด “แต่มีเพียงแค่ดินแดนอี้หลินเท่านั้นที่ถูกกฎเกณฑ์ยับยั้ง มิอาจเลื่อนเป็นระดับเทพได้ ดูจากการที่พวกเขาพรั่นพรึงก่อนหน้านี้แล้วจะต้องมาจากสถานที่แห่งนั้นไม่ผิดแน่”
“ถ้าหากคนอื่นๆ ในดินแดนของพวกเราได้เห็นพวกเขา ไม่รู้ว่าจะตกอกตกใจกันขนาดไหนนะ!” กัวฝูพูดยิ้มๆ
“คงไม่หรอกกระมัง ถ้าหากได้พบพวกเว่ยจือฉี ข้าว่าคนเหล่านั้นคงไม่เห็นคนดินแดนอื่นอยู่ในสายตากันอีกต่อไปแล้วล่ะ!” กัวเลี่ยงพูด
“ข้าได้ยินมาว่าพวกอวิ๋นเฟิงก็มาที่โลกย่อส่วนแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบกันหรือไม่” กัวฝูกล่าว
กัวเพ่ยเพ่ยถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พวกเขาก็อยู่ข้างหน้านี่แหละ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของพวกเขาได้แล้ว คนตระกูลจานก็อยู่ด้วย คราวนี้พวกเขามากันเป็นจำนวนไม่น้อย อีกประเดี๋ยวเมื่อพบพวกเขา พวกเจ้าต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับพวกเขานะ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว พี่หญิงใหญ่” ทุกคนรับคำ
“ไปกันดีกว่า พวกเราทิ้งระยะห่างกับพวกเขาไกลพอสมควรแล้ว” กัวเพ่ยเพ่ยพูดจบก็ขี่สัตว์อสูรเทพของตนวิ่งตรงไปข้างหน้า
บรรดาคนตระกูลกัวรีบติดตามไป เพียงไม่นานก็ไล่ตามพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทัน
พวกเขาข้ามผ่านภูเขา ไม่นานนักก็มาถึงบริเวณที่สัตว์อสูรเทพสองตนต่อสู้กันเมื่อคืน
ยอดเขาโดยรอบจำนวนไม่น้อยถูกกระทำจนราบเรียบ พืชพรรณในรัศมีหลายลี้โดยรอบก็ถูกทำลายจนสิ้น เห็นเพียงความยุ่งเหยิงระเกะระกะสุดลูกหูลูกตา
“ดูจากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ การต่อสู้เมื่อคืนนี้ต้องรุนแรงสักเพียงใดกัน!” เจ้าอ้วนชวีรำพึง
“นั่นคือหมาป่าหิมะตนเมื่อคืนหรือ” เว่ยจือฉีชี้ไปยังหมาป่าหิมะขนาดยักษ์ที่กำลังรักษาตัวอยู่บนยอดเขาที่ยังสมบูรณ์ดีเพียงหนึ่งเดียวพลางเอ่ยขึ้น
“น่าจะใช่นะ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
“ที่นี่ไม่มีสิ่งล้ำค่าอันใดอยู่เลย เหตุใดจึงมีผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เล่า” กัวเลี่ยงเห็นว่าภูเขาเต็มไปด้วยผู้คนจึงเอ่ยอย่างสงสัย
พวกกัวเพ่ยเพ่ยก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ว่ากันตามเหตุผลแล้ว การจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ควรจะต้องมีสมบัติฟ้าดินอะไรปรากฏขึ้นจึงจะถูกต้อง แต่หลังจากพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว นอกจากจะเห็นผู้คนจำนวนมาก ก็มิได้ค้นพบสิ่งใดที่พิเศษอีกเลย
………………………………..