สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 92 เคสที่ 44 ของ (2)
ด้านในเป็นห้องกว้าง ภายในยังคงแบ่งส่วนต่างๆไว้เป็นห้องเล็กอีกหลายห้อง ห้องดูทีวี ห้องนั่งเล่น ห้องสนุกเกอร์ ห้องออกกำลังกาย บลาๆ…เรียกได้ว่าเหมือนมีบ้านทั้งหลังอยู่ในห้องนี้เลยก็ไม่แปลก
ที่มะเฟืองพามาคือห้องฝั่งขวา เมื่อเข้ามาก็พบเตียงนอนขนาดคิงไซส์…เรียกแบบนั้นมั้ง? และยังตั้งอยู่ริมผนังอย่างที่เดาไว้ นี่คงจะเป็นห้องนอนของคุณพ่อมะเฟือง เพราะเป็นห้องเดียวที่ต้องเข้าจากประตูผิดกับห้องอื่นๆที่มีลักษณะแบบเปิดโล่ง
“เฟืองเหรอ?”
คุณพ่อของมะเฟืองเอ่ยทักขณะนอนอยู่บนเตียง
“หนะ หนูเองค่ะ …นี่เพื่อนๆที่หนูบอกไว้เมื่อเช้า”
มะเฟืองที่พึ่งได้ยินข่าวเมื่อครู่ พยายามคุยกับคุณพ่อด้วยน้ำเสียงตามปกติ แม้จะปิดไม่มิดก็ตาม
พวกผมสวัสดีคุณพ่อของมะเฟือง
“สวัสดีๆ ขอโทษที่ลุกไปไม่ได้นะ ตอนนี้แค่จะเข้าห้องน้ำยังลำบากเลย”
“ไม่เป็นไรครับ คุณพ่อป่วยอยู่นี่ครับ?”
“เรียกคุณพ่อเลยเหรอ? ฮะฮ่าฮ่า”
เป็นคนอารมณ์ดีน่าดู แต่สัมผัสได้ถึงอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยจากคำพูด
“ผมเรย์นะครับ ส่วนสองคนนี้ สไปรท์กับเชอรี่”
“ดีค่า!” “หวาดดี!”
ส่วนสองคนนี้ก็ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด นั่นรุ่นพ่อเลยนะเฮ้ย
“เห็นเฟืองบอกว่ามาจากสภานักเรียนสินะ?”
“ใช่ครับ …เอ่อ คือถ้าไม่ว่าอะไร พวกผมขอเดินดูรอบๆห้องนี้หน่อยนะครับ”
“เชิญๆ ไม่ต้องกลัวทำอะไรพังนะ พังก็ดีจะได้ซื้อใหม่ ฮะฮะฮะ!”
ผมพยักหน้าให้ ก่อนจะเริ่มหาร่องรอยของวิญญาณหรือคำสาปอะไรเถือกๆนั้น ควันสีดำที่คงมีแค่ผมกับเชอรี่มองเห็นส่งผลให้ทัศนวิสัยกลายเป็นเหมือนเดินในหมอก ต่อให้เอามือปัดไปก็ไม่ช่วยอะไร
คุณพ่อมะเฟืองเหลือบมองผมกับเชอรี่
“สภานักเรียน…ไม่ได้จะดูถูกนะ แต่เด็กอย่างพวกเธอจะช่วยอะไรได้เหรอ?”
“คุณพ่อ!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่? อาการแบบนี้ที่จริงควรจะเรียกหมอผีมาด้วยซ้ำ แต่ลูกพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าถ้าเป็นเด็กหนุ่มจากสภานักเรียนคนนี้จะช่วยได้”
ฟังแล้วผมก็มองมะเฟือง
“เธอบอกพ่อเธอแบบนั้นเหรอ?”
“ก็…เราคิดว่าเรย์น่าจะช่วยได้นี่นา”
มั่นใจในตัวผมก็ดีใจอยู่หรอก แต่ผมกลับไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น เพราะขนาดร่องรอยที่หาอยู่ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลยด้วย เชอรี่ก็พยายามสอดส่องสายตาเหมือนกัน ซึ่งน่าจะยังไม่พบอะไร
ควันสีดำคงเป็นร่องรอยของคำสาป คุณพ่อมะเฟืองป่วยมาสามวัน คำสาปที่ออกฤทธิ์มาถึงสามวัน จึงทำให้ควันปกคลุมทั่วห้องอย่างข้นคลั่ก
ด้วยเหตุนั้นจึงหาต้นตอที่ปล่อยคำสาปไม่เจอ
“ฝากหาต่อด้วยนะเชอรี่ อาจจะอยู่ที่ห้องอื่นก็ได้”
“จ้า”
ผมวานเชอรี่ไปแบบนั้น ในห้องนอนไม่พบอะไร แต่ยังเหลือห้องอื่นนอกจากห้องนอน ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจว่าคงไม่ได้อยู่แถวนั้น แต่ก็ให้เชอรี่ไปเช็กให้ชัวร์สักหน่อย
ผมไปหาคุณพ่อของมะเฟืองที่เตียงนอน ลากเก้าอี้จากโต๊ะเครื่องแป้งมานั่งข้างเตียง
เมื่อเขามองมา ผมก็พูดขึ้น
“อันที่จริง…ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะช่วยได้มั้ย…”
“อืม…”
น้ำเสียงเขาไม่ได้อารมณ์เสีย แต่ออกแนวผิดหวังมากกว่า
“แต่อย่างคุณพ่อคงเรียกหมอผีมาไม่ได้หรอกครับ พวกเราเป็นเชื้อสายภูตผี ต่อให้นี่จะเป็นโดนเล่นของใส่จริงๆ ซึ่งหมอผีช่วยได้ …ผมว่ายังไงก็ไม่คุ้มกับการที่คนอย่างพวกเราต้องเจอหมอผีหรอกครับ”
“ก็จริงแฮะ…”
“และถ้าเป็นแค่อาการป่วย ผมคิดว่าคุณพ่อคงเรียกหมอมาดูอาการแล้วใช่มั้ยล่ะครับ?”
“อืม เรียกหมอประจำตระกูลมาดูอาการให้แล้วล่ะ อย่างที่เธอน่าจะเดาได้ ฉันไม่ได้ป่วยอะไร”
หมอประจำตระกูลเว้ยเฮ้ย…
ผมยิ้มแห้งๆ
“ทีแรกผมยังไม่มั่นใจว่าคุณพ่อโดนเล่นของจริงๆรึเปล่า แต่หลังจากที่เข้ามาก็มั่นใจแล้วล่ะครับ”
พร้อมเงยหน้ามองรอบๆ
คุณพ่อมะเฟืองถอนหายใจบางๆ
“มั่นใจว่าโดนแน่ๆสินะ?”
“เป็นคำสาปหรืออาคมแน่นอนครับ”
อย่างที่ว่าไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาการป่วยแน่นอน
…ครั้งนึงผมเคยคุยเล่นกับประธาน ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงไปยังประเด็นเรื่องคำสาปได้ แต่จุดสำคัญก็คือ ประธานบอกว่าคำสาปหรืออาคม ล้วนแต่นับว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ตามปกติแล้วสามารถปัดเป่าได้เหมือนกับการปัดเป่าวิญญาณร้ายทั่วไป
ผมเคยทำมาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือหาต้นตอของสิ่งที่ทำให้ของคุณพ่อของมะเฟืองแย่ลง และปัดเป่าให้สิ้นซาก
และไอ้ต้นตอนั่นมันอยู่ไหนกัน…
“หรือจะเป็นเพราะสร้อยนี่กันนะ?”
“สร้อย?”
ผมหันไปตามคำพูดนั้นก่อนที่คุณพ่อมะเฟืองจะยกสร้อยออกมาจากคอให้ดู
“ได้เจ้านี่มาหลายวันแล้วล่ะ พอดีเพื่อนฉันที่เป็นนักหาของเก่าเจอเข้าที่ประเทศอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันเห็นว่าแปลกดี จะตั้งโชว์เฉยๆก็ใช่เรื่องเลยใส่ไว้”
พึ่งรู้ว่ามีอาชีพนักหาของเก่าอยู่ด้วย แต่สร้อยที่เห็นแม้จะผ่านการทำความสะอาด แต่ก็ดูเป็นของเก่าจริงๆ
“แล้วอาการแปลกๆก็เริ่มตั้งแต่ได้สร้อยสินะครับ…”
“คิดๆดูแล้ว น่าจะใช่นะ”
“อ่าครับ…”
…โชคดีไป บทจะเจอก็เจอได้ง่ายๆเลย
สร้อยคือต้นตอของคำสาปแน่นอน แค่ผมลองจับดูยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆไหลเข้าฝ่ามือ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าใส่ไว้ตลอดจะผลเป็นยังไง
…แต่ผลลัพธ์ก็เห็นอยู่กับตาแล้วนี่นะ
“เพื่อนคนนั้น…คงไม่ได้คิดร้ายกับคุณพ่อสินะครับ?”
“ไม่หรอก สนิทกันสุดๆเลยล่ะ”
“งั้นก็ตัดเรื่องโดนเล่นของใส่ด้วยเจตนาร้ายไปก็แล้วกันครับ นี่คงเป็นแค่เรื่อง…เอ่อ…โชคร้ายแล้วกันครับ”
“ฮะฮะฮ่า คราวซวยสินะ”
“ถึงยังไงอาการก็เหมือนกับโดนของอยู่ดี …ถอดออกได้มั้ยครับ?”
“ได้สิ”
ว่าแล้วคุณพ่อมะเฟืองก็ถอดสร้อยออกและส่งมาให้
“ขอยืมหน่อยนะครับ”
จากนั้น ผมออกจากห้องนอนและไปหาเชอรี่กับสไปรท์ที่ตอนนี้กำลังตรวจสอบห้องต่างๆ แต่ทันทีที่ผมเอาสร้อยมาด้วยนั่นเอง ที่พวกเธอหยุดการค้นหา
ตอนนี้ก็อยู่ที่ห้องออกกำลังกาย
เชอรี่กอดอกมอง
“เดี๋ยวนะ ไอ้ของน่าสงสัยนี่…อย่าว่าแต่ใส่เลย นึกไงถึงเอาเข้าบ้านกันล่ะเนี่ย?”
“จิตใจคนรวย พวกเราไม่เข้าใจหรอก”
ลองเป็นผมล่ะก็ จะสนิทแค่ไหนแต่ถ้าให้ของแปลกๆแบบนี้มา ถ้าไม่ปฎิเสธก็คงรับไว้และโยนทิ้งเอาทีหลังนั่นแหละ อาจฟังดูนิสัยเสีย แต่ก็นะ…เจ้าสร้อยนี่ให้ความรู้สึกว่าควรทำแบบนั้น
“ถึงเค้าจะพอรู้ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวไปซะทุกอย่างหรอก …อืม…ถ้าถามเค้าก็คงให้ทำลายทิ้งนั่นแหละ”
“หมายถึงเผาทิ้งไรงี้เหรอ?”
“ประมาณนั้น คงได้แหละ…ไม่รู้สิ บางอย่างก็ทนไฟ ต้องใช้ของศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย”
“ถ้าพูดถึงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประธานคงไม่ได้…ฝากพี่เอ็มได้มั้ย?”
เชอรี่ฟังคำถามพร้อมหลับตาหันซ้ายหันขวาครุ่นคิด
“ไม่น่าได้นะ…ว่าไงดีล่ะ ต่อให้เอ็มจะเปิดศาลาแล้วช่วยเหลือนักเรียนในจิตตฯ แต่เพราะเอ็มเป็นเทวทูตเลยยึดกฎว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกแบบเจาะจงเกินไป”
“หมายความว่าไง?”
“หมายความว่าที่คุณพ่อของมะเฟืองเป็นแบบนี้ก็เพราะทำตัวเอง เอ็มไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือน่ะสิ”
“แสดงว่าพวกเราต้องจัดการกันเองสินะ…”
“เค้าก็เสียใจที่ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
งั้นก็ต้องลองทำลายดูก่อน และถ้าเป็นอย่างที่เชอรี่ว่าก็ต้องหาวิธีอื่น… …เชอรี่เป็นซัคคิวบัส สไปรท์เป็นเสือสมิง ส่วนผมเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ดังนั้นถ้าจะใช้ของศักดิ์สิทธิ์ ก็คงต้องพึ่งวัดสถานเดียว
แต่ก็อย่างที่รู้ว่าไม่มีใครในสามคนนี้ที่สามารถเข้าวัดได้ จะหาของศักดิ์สิทธิ์มาช่วยทำได้ลำบาก …และก็เกรงว่าอย่างพวกผมจะไม่มีใครจับได้สักคนเลยนี่สิ
ไม่ใช่ปัญหาว่ามือพอง กลัวว่าจะหนักกว่านั้น เพราะไม่รู้ว่าต้องใช้ของศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนถึงจะทำลายสร้อยเส้นนี้ได้ เผลอๆพวกผมจับไป ไม่รู้จะส่งผลอะไรต่อร่างกายบ้าง
มีแต่เรื่องที่ไม่มั่นใจเต็มไปหมดจนน่าใจหาย
สไปรท์ยื่นหน้าเข้ามาในวงสนทนา
“ทำไมต้องทำไรยุ่งยากด้วยอะ? แค่โยนทิ้งไปเฉยๆก็ได้นิ?”
“ของต้องสาปน่ะ แค่โยนทิ้งเฉยๆมันไม่ช่วยหรอกน้า~”
“อย่างที่เชอรี่ว่านั่นแหละ ถ้าไม่ทำลายก็ต้องหาวิธีผนึก”
เมื่อผมพูดไปแบบนั้น เชอรี่ก็หัวเราะคิกคัก
“ฮะฮะ ทำลายน่ะถูกอยู่ แต่ผนึกนี่ไม่ไหวหรอก พวกเราไม่ใช่หมอผีหรือเอ็กซอร์ซิสต์สักหน่อย”
“ก็จริง”
“อย่าหวังว่าเค้าจะมีเพื่อนเป็นเอ็กซอร์ซิสต์ล่ะ พอดีสายเลือดเค้าไม่ค่อยถูกกับเจ้าพวกนั้นเท่าไหร่ เจอหน้าทีไรก็ซัดกันแทบตายทุกที”
“เข้าใจแล้วน่า…เฮ้อ กลับไปหามะเฟืองกันก่อนเถอะ ห้องพวกนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว”
ในเมื่อหาต้นตอพบ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ ไปว่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ห้องนอนดีกว่า…
ขณะที่กำลังจะกลับไปนั่นเอง ที่มะเฟืองวิ่งมาหาพวกผมพร้อมตะโกน
“ระ เรย์! คะ คุณพ่อเขา!!!”
เกิดอะไรขึ้น?
แม้จะสงสัย แต่ผมก็ขยับร่างกายทันที
“เชอรี่! ฝากหน่อย!”
ผมโยนสร้อยให้เชอรี่ ไม่รอให้เสียเวลา วิ่งไปทางห้องนอนทันที
.
.
.
“แค่ก! แค่ก!”
เมื่อมาถึง ก็พบคุณพ่อมะเฟืองกำลังไอเสียงดัง อีกทั้งยังไอออกมาเป็นเลือด ไม่ใช่เลือดธรรมดา แต่เป็นเลือดสีดำที่เห็นแล้วน่าขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!? มะเฟือง!”
ผมประครองเขาขึ้นมาโดยไม่ห่วงว่าจะสัมผัสถูกเลือดนั่น
มะเฟืองเสียงสั่นตอบ
“ละ หลังจากเรย์ไปได้แป๊บเดียว คุณพ่อก็บอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีแล้วก็ไอออกมา…”
“แค่ก! แค่ก…! อ๊อก!”
คุณพ่อมะเฟืองไอจนมันกระเด็นเลอะตัวผม
เสียงเขาเหมือนใกล้จะสำลัก ผมดันตัวเขาขึ้นมานั่งพลางลูบหลัง ใบหน้าอีกฝ่ายที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงเรื่อยๆ
สไปรท์เหมือนจะรู้งานกว่าที่คาด เธอวิ่งไปหยิบผ้าขนหนูจากตู้เก็บเสื้อผ้ามาส่งให้ผม
“นี่นี่! ผ้า! ผ้า!”
“ขอบใจ!”
เมื่อสไปรท์หยิบผ้าขนหนูที่น่าจะแพงเอาเรื่องมาให้แล้ว ผมก็ใช้มันเช็ดเลือดให้คุณพ่อ
คุณพ่อจับผ้าปิดปากเช็ดเลือดพลางพูดด้วยเสียงล้อเล่น
“เสื้อเธอเลอะหมดเลย …ไว้ฉันซื้อให้ใหม่นะ”
“ใช่เวลามาพูดเล่นมั้ยครับเนี่ย!? แล้วแค่นี้ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก! แค่ซักก็พอแล้วครับ!”
“ก็ฉันซักผ้าไม่เป็นนี่ แค่ก!…แค่ก……”
ดวงตาของคุณพ่อมะเฟืองค่อยๆปิดลง ก่อนที่เขาจะหมดสติหงายหลังไปทั้งๆอย่างนั้น ดีที่อยู่บนเตียง
“เรย์! คุณพ่อเป็นอะไรไปน่ะ!?”
มะเฟืองถามด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
แม้จะหมดสติ แต่ก็ยังได้ยินเสียงอืดๆในลำคอ ปล่อยไว้แบบนี้คงสำลักเลือดตัวเองตายแน่
“เชอรี่! ลองทำลายสร้อยได้มั้ย!?”
“ไม่ไหวหรอก! แถมน่าจะไม่ได้ผลด้วย เค้าคิดว่าน่าจะเกิดจากที่เขาใส่ไว้นานเกินไป พอดึงออกเลยเกิดปฎิกิริยาแบบนี้…มั้งนะ”
ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว
“ส่งสร้อยมา!”
“โอ้!”
ผมรับสร้อยและใส่ให้คุณพ่อมะเฟืองทันที เมื่อทำแบบนั้น เสียงในลำคอก็เงียบลง
เมื่อสถานการณ์กลับมาทรงตัว ผมก็ทิ้งตัวลงปาดเหงื่อพร้อมพึมพำ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย…”
“ถามเค้าเหรอ?”
“…จะตอบมาก็ได้”
เพราะตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อเหมือนกัน
เชอรี่พูด
“คิดว่าคงเป็นคำสาปที่จะบั่นทอนร่างกายผู้ครอบครองทีละนิดน่ะ พอถอดออกกลางคันก่อนจะบรรลุเป้าหมาย คำสาปเลยเร่งกระบวนการ…”
“เป้าหมาย?”
“ตายไง”
คำพูดนั้นทำผมเผลอขมวดคิ้ว
“แต่ถ้าทำลายทิ้งได้ ก็จบใช่มั้ย?”
“แน่นอน คำสาปคงอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีต้นตอ”
ถ้างั้น…ทันทีที่ถอดสร้อยก็ต้องทำลายทิ้งทันที เป้าหมายของมันคือทำให้ตาย จังหวะที่ถอดออกก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเร่งกระบวนการไปมากแค่ไหน ดังนั้นก่อนจะถอดรอบต่อไป ต้องมีวิธีทำลายสร้อยที่แน่นอนและรวดเร็ว…
“เรย์ คุณพ่อจะตายงั้นเหรอ…”
มะเฟืองถามด้วยเสียงเศร้าสลด
ผมเงียบไปครู่นึง ก่อนจะตัดสินใจตอบไปแบบนี้
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
…ต้องทำให้สำเร็จ …ผม…ต้องทำให้ได้
ผมออกมานอกห้องนอนเพื่อมาหารือกับสไปรท์และเชอรี่ ผมไม่ให้มะเฟืองอยู่ฟัง แต่ให้ค่อยดูอาการของคุณพ่อไว้ดีๆ
สไปรท์ที่เห็นว่าสถานการณ์เข้าขั้นจริงจังเลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆแทน มุมนี้ก็นับว่าไม่ได้ทำตัวไร้หัวคิดทุกเวลาเสียทีเดียว
ผมถอนหายใจถามเชอรี่
“ให้พี่เอ็มช่วยไม่ได้จริงๆเหรอ?”
“ก็บอกว่าไม่ได้ไง…แต่ถ้าแค่โทรถามก็คงได้อยู่หรอก แต่เค้าว่ายังไงก็ไม่ยอมช่วย”
“แค่โทรก็ได้ เดี๋ยวฉันคุยเอง”
เชอรี่อิดออด แต่สุดท้ายก็ยอมต่อสายให้
“โดนปฎิเสธอย่ามาโทษเค้าก็แล้วกัน”
และยื่นโทรศัพท์มาให้ทั้งๆแบบนั้น ผมรอสักพักก็ได้ยินเสียงใสๆของเทวทูต
“ว่าไงเรย์? มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ผมดึงโทรศัพท์มอง เช็กให้แน่ใจว่านี่ใช้เครื่องใครโทรอยู่กันแน่ …มันก็ของเชอรี่ไม่ใช่เรอะ?
“ฮะฮะ ฟังแค่เสียงหายใจผมก็รู้แล้วว่าใครโทรมา”
นั่นใช่ความสามารถที่ควรจะมีกันทุกคนเหรอ?
…ผมอธิบายสถานการณ์ให้พี่เอ็มฟังอย่างละเอียด ส่วนคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากที่เชอรี่พูดไว้เท่าไหร่นัก…
“…น่าเสียดายที่ผมยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ได้”
“ครับ เชอรี่ก็บอกแบบนั้น ผมแค่…ไม่รู้จะพึ่งใครดี”
“นั่นสินะครับ กรณีนี้คริสโตเฟอร์คงทำอะไรไม่ได้ คงต้องให้คนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เหมือนผมจัดการ”
“พอดีแถวนี้ไม่มีใครเข้าข่ายว่าจะเป็นเทวดาหรือนางฟ้าสักคนเลยน่ะครับ…”
ซัคคิวบัสหนึ่ง เสือสมิงหนึ่ง ส่วนผม…
“ฮะฮะ คุณนี่ตลกเหมือนเดิมเลยนะครับ”
พูดอะไรของเขา? อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ได้ตลก แถมที่พูดไปเมื่อกี้ก็ไม่ได้เล่นมุกด้วย
พี่เอ็มที่สัมผัสได้จากความเงียบก็พูดต่อ
“แหม ขอโทษครับขอโทษ คือมันอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ …ก็…ถ้าให้พูดตามคนของประเทศนี้คงจะเป็น ‘ถ้าเป็นงูคงโดนฉกตาบอดไปแล้ว’ เลยล่ะครับ”
“หา?”
ผมอุทานอย่างไม่เหมาะสมใส่รุ่นพี่อีกทั้งยังเป็นถึงเทวทูตไปแบบนั้น
…หลังจากคุยเสร็จ ผมกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง คุณพ่อมะเฟืองกำลังหลับด้วยใบหน้าทรมานอยู่ริมเตียง
มะเฟืองพูดขึ้น
“เรย์…”
ผมขบริมฝีปาก เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พี่เอ็มพูดเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่ …ไม่สิ พี่เอ็มไม่พูดโกหก เพราะงั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของผมว่าจะทำได้แบบที่พี่เอ็มหวังไว้รึเปล่า…
“ฉันมีวิธีแล้ว”
“จะ จริงเหรอ!?”
“แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ย…”
การเร่งกระบานการของคำสาป ไม่รู้แน่ชัดว่าทำงานไปถึงขั้นไหน ดังนั้นการถอดสร้อยครั้งต่อไปต้องทำลายให้สิ้นซากจนล้างคำสาปออกไป
…แต่ว่า…
“…”
ถ้าพลาดขึ้นมาล่ะ…?
ถ้าทำลายไม่ได้ล่ะ…?
เคสนี้ผมรู้แต่แรกว่าเกินตัว และเมื่อเจอสถานการณ์ของคุณพ่อมะเฟืองกับตา ที่จริงก็ควรถอนตัวและหาวิธีหรือเรียกคนอื่นมาช่วย
แต่ผมกลับอยากลองทำด้วยตัวเองจนมาถึงจุดนี้
ถ้าล้มเหลว…เราจะทนรับความรู้สึกผิดได้เหรอ? และจะทนรับความเสียใจของมะเฟืองได้รึเปล่า…
มะเฟืองเผยสีหน้าคาดหวัง
ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ย… ผมพึ่งรู้ตัวว่าพูดไปแบบนั้น แล้วจะยังมัวลังเลอะไรอีก ขนาดตัวผมเองยังรู้เลยว่าไม่ใช่ความคิดที่ดี
ต่อให้จะปัดความรับผิดชอบ แต่นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด…
“ฉัน…”
ถึงตรงนั้นเองที่สไปรท์เข้ามากอดคอ
“ทำหน้าเครียดจัง? เลย์กลัวอะไรอยู่เนี่ย?”
“นี่มันชีวิตคนเลยนะ? เกิดฉันพลาดขึ้นมา…”
“ทำไมคิดงั้นล่ะเนี่ย? ปกติเลย์เป็นคนนำก็สำเร็จตลอดไม่ใช่เหยอ? ถึงเลย์จะไม่เชื่อใจตัวเอง แต่เค้าเชื่อนะ”
“ฉันไม่ได้เก่งเหมือนประธานสักหน่อย”
“แต่เคสก่อนก็ทำได้นี่นา? มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองซิ๊~”
สไปรท์มองโลกในแง่ดี อย่างที่ผมไม่สามารถทำได้
ต่อให้จะเป็นคำพูดบ้าๆบอๆตามปกติของเธอ แต่มันกลับทำให้ผมมีความมั่นใจขึ้นมา
ถ้าสไปรท์เชื่อในตัวผมล่ะก็…
เชอรี่พูดขึ้น
“ไม่ต้องคิดจะหนีเลยนะ มาถึงขั้นนี้ต้องทำให้จบตรงนี้แหละ”
“รู้แล้วล่ะน่า”
เอาล่ะ…ตัดสินใจได้แล้ว
อาจจะทำได้
ไม่ใช่…แค่นั้นไม่พอหรอก
ต้องเป็น ‘ทำได้แน่’ ต่างหาก
เมื่อผมตัดสินใจได้แบบนั้น ผมพ่นลมหายใจเพื่อผ่อนคลายหรืออาจจะเพื่อขจัดความตื่นเต้นก็ไม่ทราบ ก่อนพูดกับมะเฟือง
“ถ้าทำในนี้ ไม่รู้ว่าห้องจะทนรับแรงระเบิดไหวรึเปล่า เอ่อ…หวังว่าพ่อเธอคงไม่ว่าเรื่องกระจกแตกนะ?”
“โธ่ มาถึงขั้นนี้แค่กระจก คุณพ่อไม่ว่าหรอก”
“เข้าใจล่ะ”
“ว่าแต่…แรงระเบิดงั้นเหรอ…”
มะเฟืองพึ่งจะเข้าใจว่าผมพึ่งพูดอะไรไป จึงออกอาการสงสัยปนกังวล
ผมหัวเราะให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะกำสร้อยที่คอคุณพ่อมะเฟือง
ในห้องนี้มีกระจกหลายบ้าน ผมมองไปยังกระจกที่ภายนอกมองเห็นสวนหลังบ้านเขียวขจี ถ้ากว้างขนาดนั้น ต่อให้ระเบิดแรงแค่ไหนก็ไม่เป็นไร
ผมนับถึงสามในใจ กำสร้อยคอแน่น
“สไปรท์”
“อื๋อ?”
“ขอบใจนะ”
พูดจบ ผมกระชากสร้อย เร่งอาคมทั่วร่างพร้อมวิ่งไปทางหน้าต่าง เร็วเสียจนรอบห้องส่งเสียงลั่น
จากนั้น ผมกระโดดออกไปยังสวนหลังบ้านโดยใช้หน้าต่างที่ว่า ราวกับหน่วยรบพิเศษที่บุกเข้าพื้นที่แต่กลับกันคือผมออกไปข้างนอกแทน
เพล้ง!
กระจกบาดแขนนิดหน่อย พอถึงตรงนี้ก็พึ่งมาคิดได้ว่าทำไมตูไม่เปิดกระจกไว้ก่อนกันนะ…
“อย่างเรย์ทำลายได้อยู่แล้วครับ ต่อให้เป็นคำสาปรุนแรงแค่ไหน …แต่แค่ไรเมย์(ฟ้าร้อง)คงไม่พอ ต้องเป็นอาคมที่รุนแรงกว่านั้น…”
พี่เอ็มเชื่อว่าผมมีอาคมมากพอจะทำลายคำสาป แต่ต้องไม่ใช่ไรเมย์
ถ้างั้น…ต้องเป็นอะไรล่ะ?
คำตอบนั้นลอยเข้ามา ขณะที่ผมกำลังร่วงหล่นลงจากชั้นสาม พร้อมกับสวนหลังบ้านที่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง นอกจากจะทำลายสร้อยไม่ได้ เผลอๆผมจะบาดเจ็บหนักด้วย
“ผมแปลกใจที่คริสโตเฟอร์ไม่รู้นะ แต่อย่างว่า…เขาไม่ค่อยประสีประสาเกี่ยวกับเทพเท่าไหร่”
เชอรี่เคยบอกว่ากลิ่นผมคล้ายกับพี่เอ็ม
ความจริงนั้น…ความจริงที่พี่เอ็มพูดนั้น…จึงสร้างความประหลาดใจให้ผมไม่น้อย
“นายเป็นเทพเหมือนกับผม ‘เทพสายฟ้า ซูซาโนโอะ’”
ผมบีบสร้อยในมือแน่น ตะโกนใส่ท้องฟ้า…
“อินาซึมะ!!! (ฟ้าผ่า)”
ท้องฟ้ามืดครื้ม พริบตาถัดมาสายฟ้าก็ผ่าลงในฝ่ามือ ราวกับชั้นบรรยากาศถูกตัดแยก
รอบข้างกลายเป็นสีขาวสว่างจนมองอะไรไม่เห็น…
…เมื่อรู้สึกตัวอีกที ผมก็นอนอยู่ที่พื้นสนามหญ้า พร้อมรอยไหม้ขนาดใหญ่ที่แผ่กลางจากลำตัว และเศษซากของสร้อยคอที่ไหม้เป็นตอตะโกในมือ
วิญญาณผู้ชายร่างใหญ่ยืนอยู่ตรงปลายเท้า มันจ้องผมด้วยสายตาอาฆาตก่อนจะค่อยๆสลายไปพร้อมกับที่ความรู้สึกแปลกๆในฝ่ามือหายไป
สไปรท์ตะโกนจากหน้าต่างชั้นสาม
“เลย์!!! ได้ผลแหละ!!!”
ผมได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจ
พลางพึมพำใส่ท้องฟ้า
“อะไรกัน…ตกลงไม่ใช่ผีตายจากเสาไฟฟ้าหรอกเรอะ…?”
.
.
.
…เรื่องราวก็จบลงแบบนั้น
สรุปแล้ว คุณพ่อของมะเฟืองก็หายจากอาการป่วยเสียที ครั้นจะเรียกว่าอาการป่วยก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าหายจากคำสาปก็แล้วกัน
สนามหญ้าที่ไหม้เกรียมนั่น มะเฟืองบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง
จบเรื่องลงด้วยดี
ส่วนตอนนี้คือช่วงเช้าของอีกวัน
สไปรท์ที่พึ่งจะเคยเห็นว่ามาเรียนเช้าก็เข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หวาดดีเลย์!”
“อืม หวัดดี”
“หรือต้องเรียกว่าเทพสายฟ้า?”
“ไม่ต้องหรอก แค่ออกเสียงชื่อฉันให้ถูกก็พอ”
“ไม่เอาอะ รอเรือออกเสียงยากจะตาย …เออ! เค้าเจอมะเฟืองตอนมาด้วยแหละ! แปลกเนอะ ปกติไม่เคยจะเจอ!”
“นั่นเพราะเธอไม่เคยมาเรียนเช้าต่างหาก หวัดดี มะเฟือง”
ผมกล่าวทักทายมะเฟืองที่ตามสไปรท์เข้าห้องมาด้วยแบบนั้น
มะเฟืองคลี่ยิ้ม
“อืม สวัสดี เมื่อวานขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ของสภาอยู่แล้ว”
“คุณพ่อเขาฝากขอบคุณมาด้วยน่ะ ส่วนเสื้อนักเรียนที่ซื้อมาคืนน่ะ คือ…ทั้งฉันทั้งคุณพ่อไม่รู้ไซส์เสื้อเรย์ก็เลย…”
“แค่เสื้อเอง ฝากบอกพ่อเธอด้วยว่าไม่ต้องลำบาก…”
พูดถึงตรงนั้น ผมสังเกตได้ว่านอกจากกระเป๋าเรียนแล้ว มะเฟืองเอากระเป๋าที่มีขนาดใหญ่เหมือนจะเดินทางไปต่างประเทศมาด้วย
ไม่ทันจะได้ถาม มะเฟืองพูดขึ้น
“คุณพ่อเขาเลยซื้อมาหมดทุกไซส์เลย คิดว่าน่าจะใส่ได้สักอัน”
“จะบ้าเรอะ!?”
“ระ เราห้ามแล้วนะ! แต่คุณพ่อเขาหัวรั้นน่ะสิ!”
หัวจะปวด แต่ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว ผมจึงรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ …ไว้เอาตัวที่ใส่ไม่ได้ไปเก็บไว้ห้องเก็บของสภาแล้วกัน เผื่อได้ใช้ในเคสอะไรสักอย่าง…
สไปรท์ดึงแขนเสื้อมะเฟืองยิกๆ
“แล้วเค้าอะ? ทำไมไม่ได้อะไรเลยนิ?”
“อ๊ะ จริงด้วย…เดี๋ยวไว้ฉันจะบอกคุณพ่อให้นะ ทั้งสไปรท์ทั้งเชอรี่เลย”
“ของเค้าต้องเยอะกว่าเชอรี่นะ?”
“จ้าๆ ของสไปรท์ต้องเยอะกว่าเชอรี่เนอะ?”
ถึงมะเฟืองจะพูดงั้นก็เถอะ แต่ผมนึกภาพมะเฟืองลำเอียงไม่ออกเลยแฮะ…
“คิกคิก จ้าๆ ให้สไปรท์เยอะๆเลย เพราะเค้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย”
เสียงนั้นทำผมตกใจกันทั้งคณะ
““เชอรี่!? นั่งอยู่นานยังเนี่ย!?””
ผมกับมะเฟืองตะโกน
เชอรี่นั่งไขว้ห้างตอบ เป็นความยาวกระโปรงที่เห็นแล้วประธานต้องด่าแน่นอน
“เค้าอยู่ตั้งนานแล้วต่างหาก ไม่สังเกตกันเลยเหรอ?”
ไม่เลยสักนิด
“นั่นแหละๆ~ ไม่ต้องให้ของตอบแทนอะไรเค้าหรอก …แต่ถ้าเรย์อยากตอบแทนเค้าเป็นการส่วนตัว เค้าก็ยินดีน้า~”
เธอนำนิ้วมาดันคางผม
ผมหรี่ตาตอบ
“…เธอนี่มันซัคคิวบัสจริงๆ”
“ใช่มั้ยล่า? แต่หน้าแบบนั้นคงไม่เอาด้วยสินะ? ช่างเต๊อะๆ เค้าขอตัวไปหาเอ็มก่อน ไว้เจอกันตอนเข้าแถวน้า~”
เมื่อเชอรี่จากไป สไปรท์ก็ถามด้วยสีหน้าอึนๆ
“เชอรี่โกรธเค้าบ่นิ?”
“ไม่โกรธหรอกจ่ะ เชอรี่เธอก็รู้จักสไปรท์ดีนี่?”
“งั้นเหยอๆ แต่เชอรี่พูดไปแล้วนะ! เพราะงั้นของตอบแทนต้องเอาให้เค้าหมดเยย!!!”
หน้าด้านหน้าทนไม่มีใครเกิน สมเป็นสไปรท์จริงๆ
และสไปรท์ก็เข้ามากอดคอผมอีกแล้ว
“ก่อนเข้าแถว! เลย์ปล่อยสายฟ้าให้ดูหน่อยจิ! ขอแบบตู้ม!!!เลยนะ!”
“เดี๋ยวโดนประธานด่าเอาหรอก”
“ก็ทำแอบๆสิ?”
“ตู้ม!!!ของหล่อนมันก็แอบใครไม่ได้แล้วต่างหาก!”
สไปรท์หัวเราะคิกคัก ขณะเดียวกันที่มะเฟืองกอดอกมอง
“มีอะไรเหรอ? มะเฟือง”
“แค่สงสัยน่ะ…ทำไมพอเป็นสไปรท์ เรย์ถึงไม่ดุแบบเวลาเชอรี่ทำเลยล่ะ?”
หมายถึงที่เข้ามากอดคอนี่น่ะเหรอ?
อืม…จะว่าไงดีล่ะ อาจจะเพราะผมไม่อยากให้สไปรท์เห็นตอนผมตัวติดกับเด็กผู้หญิงคนอื่นนั่นแหละ ส่วนถ้าอีกฝ่ายเป็นสไปรท์ ผมก็ค่อนข้างดีใจด้วยซ้ำ
ก็นั่นแหละ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าคนอื่นจะมองยังไง ช่างเป็นความคิดที่ไม่สมกับเป็นสภานักเรียนเลยล่ะนะ
ผมยิ้มตอบ
“ก็สไปรท์นี่นะ”
“งั้นเหรอ…น่าอิจฉาจัง”
มะเฟืองพึมพำเสียงค่อย
“เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
“เปล่าๆ เดี๋ยวเราขอตัวไปกินข้าวกับพวกแสตมป์ก่อนดีกว่า พวกเธอรออยู่โรงอาหารแน่ะ”
“อะ โอ้ว”
และแล้วมะเฟืองก็ออกจากห้องไป เหลือผมกับสไปรท์
“เธอไม่ไปกินกับเขาเรอะ?”
“เค้ากินที่บ้านมาแล้วอะ”
“ไหนๆก็มีเวลา มาทบทวนที่จะสอบย่อยวันนี้แล้วกัน”
“เอ๋~! ไม่เอาอะ!”
…อย่างที่เดาได้ ด้วยเหตุนี้สไปรท์เลยไม่ผ่านสอบย่อยตามคาด พอโดนผมบ่นก็มีเถียงมาอีกว่าของจริงมันอยู่ที่สอบใหญ่ต่างหากเล่า แถมเค้ามีพี่คริสโตเฟอร์ติวให้ด้วย ผมจึงหมดคำจะพูด
พูดถึงประธานแล้ว หวังว่าพอบอกเชื้อสายของผมให้เขารู้ เขาคงจะไม่เกลียดขี้หน้าผมเหมือนที่เป็นกับพี่เอ็มหรอกนะ…
คงไม่หรอกมั้ง?
เคสที่ 44 ของ /จบ