สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 9 เคสที่ 5 ศาลเจ้า
ผมออกมากดน้ำที่ตู้กดน้ำเจ้าเดิมก่อนที่จะกลับไปที่ห้องสภา ระหว่างนั้นก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ…
“อืม…”
…น่าจะไม่ได้คิดไปเองแฮะ
ด้วยความที่เป็นประธานนักเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ผมก็จะส่งสายตาทักทายนักเรียนด้วยความเป็นมิตรเสมอ
แต่ตอนนี้นอกจากจะพากันหลบตากันอย่างรวดเร็ว ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวแปลกๆที่ส่งตรงมาถึงตัวผม
“เฮ้อ ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก…”
เหตุผลที่เป็นแบบนี้ก็เดาไม่ยาก
อาจจะยังจำกันได้ ข่าวลือหนาหูที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ที่ผมใช้ไฟนรกพลาดจนเผาชมรมอนิเมะ(ไปนิดหน่อย)นั้น ได้แพร่ไปเร็วอย่างกับไฟลามทุ่ม
เปรียบเปรยได้ซ้ำซ้อนไปหน่อย …แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมโดนคนอื่นมองว่าเป็นพวกชอบเผาห้องชมรมไปเป็นที่เรียบร้อย
คนที่สังกัดชมรมส่วนใหญ่ก็พากันหวาดกลัวผมไปโดยปริยาย
มีวิธีแก้สถานการณ์นี้ยังไงบ้างนะ?
ระหว่างกำลังคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินเสียงทัก
“คริสโตเฟอร์ไม่ใช่เหรอนั่น?”
“…”
ผมหันไปมองและหันกลับมา กรอกน้ำต่อโดยไม่สนใจ
“เมินกันเลยรึ!?”
“อะไรของแก? น้ำแดงหมดอีกแล้วหรือไง?”
ที่ยืนกรอกน้ำอยู่ข้างๆคือกุมารทองที่ชื่อขุนทอง ครั้งก่อนก็ได้มาขอให้สภานักเรียนช่วยไปครั้งหนึ่ง
เป็นประเภทที่สอง วิญญาณ
แม้จะมีรูปร่างเป็นเด็กอายุน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู แต่เนื้อแท้ข้างในคือวิญญาณที่มีอายุเป็นร้อยปี
วันนี้ขุนทองก็ยังนุ่งแค่โจงกระเบนเช่นเดิม
“ไม่ได้หมด เราแค่อยากดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์เท่านั้นเอง”
“…รู้สึกเดจาวูแปลกๆ”
“จะยังไงก็เถอะ เมื่อวานเจ้าไปก่อวีรกรรมไว้น่าดูชมเลยนี่?”
“ฉันไม่ได้ผิดคนเดียวสักหน่อย …แถมชมรมข่าวใส่รายละเอียดซะเว่อร์เกินไปต่างหาก”
ที่เสียหายก็มีเพียงหนังสือไม่กี่เล่มกับชั้นวาง แต่กลับกลายเป็นว่าคนทั้งโรงเรียนมองผมเป็นคนเผาทั้งห้องชมรมไปซะได้
…ไอ้พวกตามข่าวแต่ไม่คัดกรองเอ๊ย แค่ลองไปดูห้องชมรมอนิเมะก็จะรู้แล้วแท้ๆ
“ลำบากแย่เลยเนาะ”
“พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องตัวเองเลยนะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องของเราจริงๆนี่?”
“ก็ถูก”
ประจวบเหมาะกับที่กรอกน้ำเสร็จพอดี
“งั้นฉันไปล่ะ โชคดีละกัน”
ผมกล่าวลากุมารทองไปแบบนั้น
แน่นอนว่าไม่ได้ยกมือไหว้แต่อย่างใด ในสายตาผมก็เห็นเป็นแค่เด็กอยู่ดี…
“อยากให้คนกลับมาเคารพเหมือนเดิมมั้ย?”
ร่างกายผมหยุดกึกพอได้ยินคำพูดนั้น
“…หมายความว่าไง?”
“เรารู้นะว่าเจ้ากำลังเครียดที่โดนคนอื่นมองด้วยความกลัว เป็นถึงหัวหน้านักเรียนก็ต้องอยากให้คนอื่นมองด้วยความคิดเป็นบวกใช่มั้ยล่ะ?”
“ประธานนักเรียนต่างหาก”
“สำหรับเราที่มีคนเคารพนับถือมากมายน่ะ อยากให้ช่วยสอนเคล็ดลับให้มั้ย? หือ? คริสโตเฟอร์”
“ฉันไม่นุ่งโจงกระเบนแบบแกแน่ๆ”
กุมารทองโบกนิ้วพลางจิ๊ปาก
“ไม่เกี่ยวที่เครื่องนุ่งห่มหรอก เรามีวิธีที่ดีกว่านั้นอีก”
พร้อมหัวเราะคิกคัก
ถ้าให้หมอนี่ช่วยก็อาจจะได้เรื่องก็ได้
ระหว่างที่คุยกันอยู่นี่ ก็เห็นนักเรียนพากันยกมือไหว้ขุนทองกันเป็นกิจจะลักษณะ …กุมารทองเพียงหนึ่งเดียวในโรงเรียนที่เป็นที่รักและนับถือของนักเรียนส่วนใหญ่
น่าจะใช้ได้แฮะ
ผมกอดอก
“เอางั้นก็ได้ แต่ฉันไม่ถือว่าติดหนี้แกหรอกนะ”
“หึหึหึ เราเป็นเทพ แค่ช่วยเหลือมนุษย์สักคนไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
…สรุปจะช่วยกันฟรีๆสินะ? ใครไม่รับก็โง่แล้ว ไม่ต้องจ่ายสักบาทแถมถ้าดูทรงไม่ค่อยดีจะปลีกตัวออกมาตอนไหนก็ได้ด้วย
ว่าแต่ กุมารทองนี่นับเป็นเทพด้วยเหรอ…?
ผมปัดมือ
“เออๆ แล้วต้องทำไง?”
“ตามเรามาเลย”
ขุนทองกวักมือพร้อมลอยละล่องเพื่อนำทาง
…จุดที่พาออกมาคือด้านนอกตึกเรียน บริเวณหน้าประตูทางเข้ามีศาลเจ้าตั้งอยู่
เป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่มีความหรูหราอลังการ ด้านหน้าประกอบด้วยโต๊ะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยของถวายมากมาย ดูเหมือนจะเอาของมาวางไว้ตรงนี้เพื่อถวายสินะ?
อีกทั้งไม่ได้มีแค่ศาลเดียว ข้างๆศาลขนาดใหญ่ก็มีอันที่ขนาดกลางๆ พร้อมด้วยตุ๊กตาเด็กกวักมือที่ใส่โจงกระเบน…
ซึ่งตั้งเต็มไปด้วยขวดแก้วที่มีน้ำแดง ไม่ก็เป็นขวดพลาสติกบ้าง …น้ำอัดลมแฟนตี้นั่นแหละ
ไม่บอกก็รู้ว่าศาลอันที่เล็กกว่านี้เป็นของใคร…
“อันนั้นบ้านเราเองแหละ”
กุมารทองชี้ไปยังศาลเจ้าที่เล็กกว่า
“น้ำแดงเยอะจังแฮะ กินคนเดียวหมดเรอะ?”
“ไม่หมดก็ทิ้งสิ?”
“นี่แกเห็นของที่คนเอามาถวายเป็นอะไรกันแน่เนี่ย?”
เล่นซะไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
กุมารทองหัวเราะ
“ฮะฮะฮ่า ถึงเราจะไม่อยากทิ้ง แต่จะให้กินของเสียๆก็ใช่เรื่อง”
พอหัวเราะแบบนี้ก็ค่อยดูเหมือนเด็กตรงกับรูปลักษณ์ขึ้นมาหน่อย
ถึงจะบอกว่าศาลเจ้านี้เป็นบ้าน แต่ก็เป็นแค่ศาลเจ้าสำหรับความเชื่อเรื่องเจ้าที่ทั่วๆไป ดังนั้นก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่พอให้เด็กแปดขวบเข้าไปอาศัยได้
ลักษณะเฉพาะของวิญญาณที่จะสิงในสิ่งของหรือสถานที่อย่างนั้นสินะ…
“แล้วให้ฉันทำอะไร? อย่าบอกนะว่าให้ซื้อน้ำแดงมาถวายแก?”
“ถ้าคริสโตเฟอร์จะทำล่ะก็ เราจะกินให้หมดเป็นขวดแรกๆเลย!”
ไม่เห็นจะน่าดีใจเลยสักนิด ที่แน่ๆคือต่อให้โลกแตก ผมก็ไม่ซื้ออะไรมาถวายเด็กเวรนี่เด็ดขาด
อ๋อ…แต่ถ้าช่วยได้จริงๆ จะเก็บไปพิจารณาก็แล้วกัน
กุมารทองกอดอกขณะลอยตัวแบบผิดหลักธรรมชาติพลางพูด
“ถ้าเอาแค่ความเคารพล่ะก็นะ เราอยากให้คริสโตเฟอร์ลองคุยกับคุณตาคุณยายมากกว่า”
“คุณตาคุณยาย?”
“เห็นของพวกนี้มั้ยล่ะ? นี่เป็นของถวายที่นำมาถวายให้คุณตาคุณยายแหละ”
พร้อมผายมือไปยังศาลเจ้าข้างๆ
ผมมองตาม …ของก็เยอะๆจริงนั่นล่ะ ทั้งของกินของใช้ ถ้าเทียบกับศาลเจ้าของกุมารทองที่มีแต่น้ำแดงล่ะก็ เรียกได้ว่าจำนวนห่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ
ผมหรี่ตา
“…คือจะให้สองคนนั้นช่วย ส่วนแกแค่นำทางมาให้เฉยๆเรอะ?”
“ก็พูดไป…ถ้าเราไม่พามา อย่างคริสโตเฟอร์คงไม่รู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ”
“ก็พูดเกินไป ศาลเจ้าตั้งอยู่หน้าโรงเรียนแบบนี้ก็ต้องเห็นทุกวันอยู่แล้ว”
“หึหึหึ ช่างอวดดีจริงๆเลยนะ คริสโตเฟอร์ …เราจะไม่ถือโทษโกรธแล้วกัน เพราะเรามีความเป็นผู้ใหญ่สู๊งมว๊าก”
คนเป็นผู้ใหญ่เขาไม่พูดคำว่า ‘สู๊งมว๊าก’ ออกมาหรอกเฟ้ย
ขุนทองชี้นิ้วอย่างภาคภูมิ
“เอาล่ะ! งั้นก็หยิบธูปขึ้นมาจุดเรียกคุณตาคุณยายออกมาเล้ย!”
“ต้องซัมม่อนด้วยเรอะ?”
“ซัมม่อนบ้านพ่**สิ! พูดมาแต่ละคำจะลบหลู่มากไปแล้วนะ!!”
“…”
สงสัยเป็นวิญญาณนี่จะมีเรื่องเครียดน่าดูเลยนะ ตบะแตกง่ายชะมัด ตอนแรกพูดซะเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่โกรธแท้ๆ
…ใช้ธูปจุดเรียกสินะ
อย่าพึ่งดูถูกผมล่ะ แม้ผมจะไม่ได้มีโอกาสได้ไหว้อะไรอย่างนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็ใช้ธูปเป็นอยู่นะ
อยู่ไทยหลายปีแล้วด้วย ของแค่นี้ง่ายๆ
ผมหยิบธูปขึ้นมาและใช้ไฟแช็กจุด กลิ่นควันลอยเข้าจมูกจนรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อย
“ต้องเรียกยังไง?”
“นี่เจ้าจุดธูปไหว้พ่อเจ้าเหรอ?”
“เล่นพ่อเลยเรอะ? ไหน ฉันทำผิดตรงไหน?”
“หยิบขึ้นมาเพิ่มอีกสี่ดอกเดี๋ยวนี้!!”
ผมขมวดคิ้วพร้อมมองไปยังแพ็คธูปสำหรับใช้กราบไหว้
“ถึงที่เหลืออยู่จะมีเยอะก็เถอะ…แต่ใช้แค่ดอกเดียวก็น่าจะพอไม่ใช่หรือไง? มีเหตุผลอะไรต้องใช้ถึงห้าดอกกันเล่า?”
“ดอกเดียวมันไว้ใช้ไหว้คนตาย!!”
“อ้าว? เป็นงั้นหรอกเหรอ?”
“เออ!”
“แต่คุณตาคุณยายที่ว่าก็เป็นวิญญาณนี่? ว่ากันตามเทคนิคก็คือคนตายไม่ใช่หรือไง?”
“พูดมาแต่ละคำนี่นะ …การขยับปากของเจ้าแต่ละทีนี่จะลบหลู่อะไรสักอย่างให้ได้เลยใช่มั้ย?”
กุมารทองกุมขมับ
ผมผิดตรงไหนล่ะเนี่ย? แค่พูดตามที่เข้าใจเท่านั้นเอง
ผมล่ะอยากถามคนของประเทศนี้ต่างหากว่าจะตั้งจำนวนการใช้ธูปไปเพื่ออะไร
แค่ใช้ทีละดอกในทุกโอกาสก็ทั้งประหยัด แถมไม่วุ่นวายด้วย
เด็กชายนุ่งโจงกระเบนมองมาทางผมด้วยแววตาเหนื่อยหน่ายใจ
“…เราเดาว่าที่เจ้ากำลังคิดอยู่ตอนนี้ก็ลบหลู่เหมือนกัน”
ผมก็ไม่แน่ใจว่ากุมารทองจะคิดถูกอย่างที่พูดหรือไม่ ผมไม่มีสิทธิ์ให้คำตอบนี่นะ
“ระวังจะตกนรกหมกไหม้นะ เจ้าน่ะ”
“ในมุมมองฉันก็ถือว่าได้กลับบ้านเกิดเท่านั้นแหละ”
“บ้านเกิดคริสโตเฟอร์อยู่ในนรกเหรอ?”
“ก็ลูกซาตานนี่นะ…”
ความเชื่อเรื่องนรกของคนในประเทศนี้กับของผมนั้นก็แตกต่างกันหลายอย่าง
อีกอย่าง คนปกติก็ได้เห็นนรกเอาก็ตอนที่ตายนั่นแหละ ส่วนผมนี่สามารถเล่าถึงนรกได้เป็นฉากๆเลยล่ะ อารมณ์เหมือนบอกเล่าเรื่องในสมัยเด็กเลย
เพราะฉะนั้น ในเมื่อความเชื่อต่างกัน และคนที่พูดถึงนรกส่วนใหญ่ก็ยังไม่ตาย ที่บอกเคยเห็นนรกสวรรค์กันอย่างนู้นอย่างนี้น่ะ ก็แค่มโนเอาเองเท่านั้นแหละ
ไม่มีทางที่คนที่ยังไม่ตายจะได้เห็นอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว …ถ้าไม่ได้เป็นลูกซาตานล่ะก็นะ
“หืมๆ เกิดมาก็ชั่วเลยสินะ? เจ้าถึงได้ไปอยู่ในนรกน่ะ”
“นี่แกเข้าใจคำว่าซาตานจริงๆใช่มั้ยเนี่ย?”
ผมพูดอย่างรำคาญ พลางหยิบธูปมาจุดเพิ่ม
“อ่ะๆ ครบห้าดอกแล้ว ไงต่อ?”
“หลับตาสิ…คริสโตเฟอร์”
“ได้งั้นก็ดี ควันเข้าตาจนแสบไปหมดแล้วเนี่ย”
“…….”
รู้สึกได้ว่าขุนทองกำลังข่มความโกรธเอาไว้ …เมื่อกี้ก็ถือว่าลบหลู่ด้วยเหรอ? ละเอียดอ่อนจริ๊ง…
ผมหลับตาลง
ขุนทองพูดต่อด้วยเสียงราบเรียบฟังสบาย
“ต่อไปก็ตั้งจิตอธิษฐาน ทำจิตใจให้ผ่องใส …กล่าวในใจว่า คุณตาคุณยายที่ปกป้องรักษาที่แห่งนี้ ได้โปรดปรากฏออกมาช่วยลูกช้างด้วยเถิด…”
“ลูกช้างไหน?”
“******!!!”
ด่ามาซะแรงจนออกสื่อไม่ได้ซะงั้น
…ไหนๆก็โดนด่ามาขนาดนี้ ดังนั้นผมจึงเลิกตั้งคำถามและทำตามที่ขุนทองบอกแต่โดยดี จะเรียกว่าตามน้ำไปก่อนก็ว่าได้
ผมหลับตา …ส่วนไอ้ตั้งจิตอธิษฐานกับทำจิตใจให้ผ่องใสนี่ไม่เข้าใจแฮะ
เอาเป็นนึกถึงเรื่องดีๆแล้วกัน
…เรื่องดีๆที่ผมคิดก็คือ สมาชิกในสภามารอช่วยเหลือนักเรียนที่ห้องสภาครบทุกคนทุกวัน
แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่นานๆจะเกิดขึ้นสักที แต่ผมก็ถือว่านั่นเป็นเรื่องดีที่สุดเท่าที่จะเกิดได้
จากนั้นก็ …คุณตาคุณยายที่ปกป้องรักษาที่แห่งนี้ ได้โปรดปรากฏออกมาช่วยลูกช้างด้วยเถิด…
คิดจบผมก็ลืมตาขึ้น
พร้อมหันไปหากุมารทองที่ยืนอยู่ข้างๆ
“แล้วไงต่อ ไม่เห็นจะมีอะไรเล…เชี่*!”
ในทิศทางที่หันไป ปรากฏหญิงสาวมีอายุจนมองเห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ากำลังยิ้มให้ผม ที่สำคัญคือกำลังลอยอีกด้วย
สวมใส่เสื้อสีขาวและห่มผ้าถุง
ร่างกายโปร่งใส มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นวิญญาณ
หน้าตาก็ดูเป็นคนแก่ใจดีคนหนึ่ง
…แต่เล่นโผล่มาซะใกล้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา ขอโทษที่พูดคำหยาบครับ…
“สวัสดีจ่ะ พ่อหนุ่ม”
“อะ เอ่อ สวัสดีครับ”
หญิงสูงอายุพยักหน้ารับคำทักทาย
กุมารทองจับไหล่ผม
“สบถไม่เหมือนคนต่างชาติเลยนะ เจ้าน่ะ”
“แล้วคนต่างชาติต้องสบถแบบไหน?”
“โอ้มายก็อด!!”
“ดูหนังเยอะไปแล้วนะแก …แล้วฉันอยู่ไทยตั้งหลายปี ก็ต้องติดคำสบถแบบไทยๆไว้บ้างสิ”
และไอ้คำอุทานว่าโอ้มายก็อดนั่น …คนต่างชาติคนอื่นก็คงจะอุทานประมาณนั้นแหละ แต่สำหรับผมแล้วเป็นกรณีพิเศษ
เพราะต้นกำเนิดผมไม่ค่อยถูกกับพระจงพระเจ้านี่นะ จะให้ไปร้องเรียกก็ใช่เรื่อง
“อยากให้ช่วยสิ่งใดรึ? พ่อหนุ่ม”
คุณยายถามไถ่
ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมก็ถามอย่างสงสัย
“แล้ว…คุณตาหายไปไหนน่ะครับ?”
เป็นศาลคุณตาคุณยายแต่กลับเจอแค่คุณยายคนเดียว …ความสงสัยผมเยอะเกินไปรึเปล่านะ?
“ตาแกไปออกกำลังกายที่สวนหลังโรงเรียนน่ะจ่ะ”
“เป็นวิญญาณแล้วทำไมถึงต้อง…”
ก่อนผมจะพูดจบประโยค กุมารทองก็รีบใช้มือปิดปากผมเสียก่อน
“จะ เจ้านี่ชื่อคริสโตเฟอร์เป็นประธานนักเรียนน่ะคุณยาย! เขาอยากให้คุณยายช่วยทำให้คนกลับมาเคารพนับถือเหมือนเดิม…ใช่มั้ย!? คริสโตเฟอร์!”
ผมพยักหน้าทั้งๆที่โดนอุดปาก
ขอทีเถอะ ผมก็แค่อยากถามว่าทำไมเป็นวิญญาณถึงต้องออกกำลังกายแค่นั้นเอง ไม่ได้จะลบหลู่สักหน่อย
คุณยายยิ้มอย่างอบอุ่น
“พ่อหนุ่มคือคนที่เผาห้องชมรมไปเมื่อวานสินะจ๊ะ?”
ผมดึงมือขุนทองออก
“…ว่างั้นก็ได้ครับ ช่วงนี้โดนนักเรียนคนอื่นกลัว ถ้าคุณยายช่วยได้ก็รบกวนด้วยครับ”
ที่คนอื่นได้ยินได้รู้มาก็คงประมาณนั้น ถ้าไม่ได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าก็ต้องเชื่อสิ่งที่ชมรมข่าวนำเสนอ จะผิดก็ตรงที่ชมรมข่าวดันนำเสนอเกินจริงไปไกล จนดวงซวยมาตกที่ผมนี่แหละ
“ก่อนจะให้ยายช่วย…”
“หือ?”
“จะถวายยายด้วยอะไรดีจ๊ะ?”
“อ๋อ…มีค่าดำเนินการสินะครับ รอแป๊บนะครับ”
ผมล้วงไปที่กระเป๋ากางเกง จากนั้นหยิบแบงก์จากกระเป๋าตังค์
“พันนึงพอมั้ยครับ?”
“คริสโตเฟอร์ว้อย!”
กุมารทองหวดกบาลผมดังโป๊ก
ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็อัศจรรย์ใจในความน่าพิศวงของวิญญาณ ที่ถึงจะไม่มีกายเนื้อแต่กลับยังสัมผัสร่างคนมีเนื้อมีหนังได้
“อะไรของแก? พันนึงนี่เยอะแล้วนะ?”
เท่าค่ากินวันนึงของดิวเลยด้วยซ้ำ …แล้วก็อย่าตบหัวได้มั้ย? ขอล่ะ ผมไม่ชอบ
“คุณยายท่านเป็นวิญญาณ จะเอาเงินไปทำอะไรกันเล่า!!”
“นั่นสินะ…แถมกินฟรีอยู่ฟรีแบบนี้ก็คงไม่ต้องใช้เงินจริงๆ…”
“หุบปากไปเลยนะไอ้หรั่ง!!”
“อย่าตะโกนใส่หูได้มั้ยเนี่ย? อีกอย่างแกหมดหน้าที่แล้ว จะไปไหนก็ไปเลยป่ะ”
ผมเขี่ยมือไล่ขุนทองให้ไปพ้นๆ
มาอยู่ต่อหน้าคนที่สามารถช่วยได้ คนที่มีหน้าที่แค่นำทางจะไปไหนก็ตามสะดวกเลยจ่ะ
“พ่อหนุ่มสนิทกับเจ้าขุนจังเลยนะ”
“หือ? ก็ไม่หรอกครับยาย แค่เด็กนี่มันกวนเฉยๆเอง”
“เจ้าต่างหากกวนเรา! เราอุตส่าห์ออกตัวช่วยเจ้าเลยนะ!”
“ยังอยู่อีกเรอะ? ไปได้แล้วไป๊”
“หนอย…!”
กุมารทองกำหมัดแน่น
จากนั้นก็ทำเสียงชิชะ
“ขอให้คนเกลียดเยอะๆเลยแล้วกัน! เดี๋ยวเราจะไปใส่ไฟเพิ่มด้วย! รู้มั้ยวันวันหนึ่งมีคนมาไหว้เรากี่คนกัน!!”
เป็นคำทิ้งท้ายที่ไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไหร่
และแล้วขุนทองก็เคลื่อนตัวเข้าไปยังศาลเจ้าที่บอกว่าเป็นบ้านตัวเองและหายไป ถึงจะเข้าใจว่าสิงในสิ่งของก็เถอะ แต่เล่นเห็นเด็กตัวขนาดนั้นหายวับไปในศาลเจ้าเล็กๆก็แปลกตาดีเหมือนกัน
“อย่าไปโกรธแกเลยนะ เห็นยังงี้ก็เป็นเด็กดีไม่เคยทำอะไรแย่ๆเลยสักครั้ง”
คุณยายเห็นผมเถียงกับขุนทองแรงไปหน่อยจึงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าคล้ายผู้ปกครองใจดีที่เป็นห่วงลูกหลาน
“อ๋อ ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ …แต่กุมารทองนั่นอายุเป็นร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“แล้วเธอคิดว่ายายอายุกี่ปีกันล่ะ?”
แสดงว่าอายุเยอะกว่ากุมารทองหลายเท่าเลยสิเนี่ย? สิงอยู่ในโรงเรียนนี้มากี่รุ่นกันนะ…อาจจะตั้งแต่ปีมะโว้หรือก่อนจะสร้างโรงเรียนเลยก็ได้มั้ง?
“งั้นสำหรับผมที่อายุแค่สิบเจ็ด คุณยายไม่มองผมเป็นแค่วุ้นในท้องแม่เลยหรอครับ?”
“หุหุ พ่อหนุ่มนี่ตลกดีนะ”
กำลังโดนชมหรือโดนล้อเลียนกันแน่ ผมไม่ค่อยแน่ใจ
ผมนั่งลงข้างๆจุดที่ตั้งศาลเจ้า
“ของถวาย…เป็นของมือสองที่ใช้มาไม่กี่เดือนได้มั้ยครับ?”
“ยายไม่เข้าใจเลย พ่อหนุ่มจะถวายอะไรรึ?”
ผมรับฟังพร้อมแสดงออกด้วยการกระทำ
สองมือคลายเชือกรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่ใส่อยู่และถอดออก
“ว่าจะเอาไอ้นี่ถวายน่ะครับ เห็นยายบอกตาไปออกกำลังกายสินะครับ? ไหนๆผมก็ไม่มีอะไรติดมือมาซะด้วย …ผมไม่ค่อยได้วิ่งเท่าไหร่ เอาคู่นี้ไปให้ตาเขาใส่วิ่งแล้วกันครับ”
“…ยายรู้สึกว่าพ่อหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจคำว่าถวายเท่าไหร่เลยนะ…”
“งั้นเหรอครับ?”
พึ่งใช้มาไม่กี่เดือนเองนา รุ่นนี้แพงซะด้วย
มองเห็นว่าคุณยายแกถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
คุยกับผมมันน่าละเหี่ยใจขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เอาอันนั้นมาก็ได้จ่ะ …พ่อหนุ่มเอารองเท้าแตะคู่นั้นไปใส่ก่อนแล้วกัน”
คุณยายชี้ไปยังของกองพะเนินที่ตั้งอยู่หน้าศาลเจ้า นอกจากของกิน หนึ่งในนั้นยังมีรองเท้าแตะยี่ห้อดังในสภาพยังไม่แกะวางอยู่ด้วย …ยี่ห้อที่มีรูปช้างเป็นโลโก้นั่นแหละ
ผมหยิบมัน แกะและใส่ทันที
“ขอบคุณมากครับ กำลังคิดเลยว่าไม่อยากเดินเท้าเปล่ากลับห้องสภา”
อารมณ์เหมือนแลกของเลยนะ…เอ๊ย ถ้ามาอีหรอบนี้สงสัยผมจะไม่เข้าใจคำว่าถวายจริงๆสิเนี่ย?
เอาเถอะ ไว้ค่อยไปถามพลอยทีหลัง
“ดีลนะครับ?”
“อย่าใช้ภาษาอังกฤษกับยายสิ”
“โทษทีครับ งั้นก็ตกลงเรียบร้อยนะครับ ยายจะช่วยผมยังไง?”
“พ่อหนุ่มกลับได้เลยจ่ะ”
“อ้าว?”
ผมเผลออุทาน
ขณะนึกว่ากำลังโดนหลอกให้ถวายของฟรีและจะโดนโกง …ซึ่งผมจะได้รู้ทีหลังว่าไอ้ที่ผมให้ไป ยายแกไม่ถือว่าเป็นของถวายเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าเป็นของที่แย่หรอกนะ แค่วิธีคิดเรื่องของถวายสำหรับผมมันผิดแปลกก็เท่านั้น
แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ผมจะได้รู้ในภายหลัง
ส่วนตอนนี้ ยายแกก็ตอบกลับมา
“เดี๋ยวยายจะช่วยแก้ข่าวกับนักเรียนที่มากราบไหว้ …ไม่มีเด็กคนไหนไม่เชื่อคำพูดยายหรอก”
ภายนอกก็เป็นคุณยายใจดีที่หน้าตาเป็นมิตรนี่นะ ดูจากจำนวนของถวายก็พอจะทราบความนิยมได้อยู่
กรณีที่มีผู้อาวุโสประจำโรงเรียนช่วยแก้ข่าว ก็คงจะง่ายกว่าที่คิดเยอะ
“ใช้วิธีนี้เองสินะ …ขอเจาะจงหน่อยนะครับ ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผมเป็นคนเผาห้องชมรม”
“จ่ะ”
“ถึงผมจะไปคนเริ่มใช้ไฟตั้งแต่ต้น ผมก็ไม่มีเจตนาจะเผาทรัพย์สินโรงเรียนเด็ดขาด เพราะงั้นก็อยากให้คนอื่นรู้ประมาณนี้น่ะครับ”
“จ่ะๆ…”
“ไม่ต้องโกหกมากก็ได้ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายใช่มั้ยล่ะครับ? ให้คนอื่นรู้ความจริงที่เกิดขึ้นก็พอ”
“…สั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเลยนะ”
“เมื่อกี้ยายว่าไงนะครับ?”
ผมเอ่ยถาม เมื่อได้ยินคุณยายบ่นอุบอิบจนฟังไม่ได้ศัพท์
คุณยายบอกปัด
“เปล่าจ่ะ…เดี๋ยวยายจัดการให้ ไม่ต้องห่วงนะพ่อหนุ่ม”
“แล้วอีกอย่างก็…”
“เดี๋ยวยายจัดการให้ ไม่ต้องห่วงนะพ่อหนุ่ม”
จู่ๆก็โดนยายพูดตัดบทด้วยเสียงแข็งกร้าวเล็กน้อย
ยายแกคงจะเข้าใจที่ผมจะสื่อแล้วสินะ? เลยไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่ม
ผมไตร่ตรองไปในทิศทางนั้น
“ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอตัว”
“โชคดีจ่ะ…”
…ทำไมถึงเห็นว่ายายแกทำหน้าเหนื่อยๆชอบกล? คิดไปเองล่ะมั้ง?
ผมเดินทางกลับมาที่ห้องสภา ระหว่างนั้นก็เจอกับพลอยที่กำลังไปที่ห้องสภาเช่นกัน
“สวัสดีค่ะประธาน…เอ๊ะ? รองเท้าประธานหายไปไหน? ทำไมใส่แตะแบบนั้นล่ะคะ?”
เด็กสาวนางรำมองที่เท้าของผมพลางถาม
“เอาไปถวายมาน่ะสิ”
จู่ๆพลอยก็ทำหน้าเอือมระอา
ผมขมวดคิ้ว
“อะไร?”
“นี่ประธานโง่หรือบ้ากันแน่คะ?”
“รองเท้าฉันมูลค่าเยอะกว่าของที่คนเอามาถวายรวมกันซะอีก มองอีกมุมนึง ฉันถือเป็นผู้บริจาครายใหญ่เลยนะ?”
“บริจาค!? ประธานพูดว่าบริจาคเหรอคะ!!!?”
…กลายเป็นจากนั้นผมก็โดนพลอยด่าจนหูแทบดับ อีกทั้งยังโดนบอกแกมบังคับว่าให้พรุ่งนี้ซื้อของไปถวายใหม่ด้วย
แต่ก็ต้องดูผลงานนั่นล่ะ จะดีจะเลวผมก็จ่ายค่าตัวยายแกไปแล้วด้วยสิ…
…และแล้วคนในโรงเรียนก็กลับมามองผมในแบบปกติที่ควรจะเป็นจนได้ เรียกว่าใช้เวลาเพียงแค่ช่วงข้ามคืนเท่านั้น
ดูเหมือนคุณยายจะบอกกับนักเรียนอย่างที่ผมพูดให้ฟังไม่มีผิดเพี้ยน รายละเอียดบางส่วนที่ผมไม่ได้พูดให้ฟังก็ยังรู้ได้ จนถึงขั้นสงสัยเลยว่าในวันที่เกิดเหตุ ยายแกอยู่แถวๆนั้นพอดีรึเปล่า?
ได้ยินเสียงซุบซิบของนักเรียนที่เดินผ่าน
“ดูเหมือนประธานนักเรียนจะไม่ใช่พวกชอบเผาห้องชมรมแหละ”
“จริงด้วยๆ ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน เห็นชมรมข่าวออกมาขอโทษยกใหญ่เลยนี่”
เป็นคำนินทาที่ได้ยินพอดิบพอดีจนแอบฉงนว่ามีใครจัดฉากเอาไว้หรือไม่
แต่ก็นับเป็นข้อมูลที่มีค่า อย่างน้อยนักเรียนส่วนใหญ่ก็ได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วล่ะนะ…
“หือ? คริสโตเฟอร์ไม่ใช่เหรอนั่น?”
“…รู้สึกเดจาวูแปลกๆแฮะ”
ผมเดินมาที่ตู้กดน้ำและเจอกับขุนทองอีกแล้ว
ขุนทองไม่มีท่าทีโกรธผมเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่เมื่อวานจากกันด้วยการขึ้นเสียง
อย่างที่เขาว่ากัน เด็กน่ะโกรธง่ายหายเร็ว
“มากรอกน้ำอีกแล้วรึ? เจ้าหัดอุดหนุนคุณป้าเขาบ้างสิ”
หมายถึงคุณป้าร้านของชำสินะ? …แต่อย่างแกที่รอรับแค่ของถวายมีสิทธิ์มาว่าผมด้วยเรอะ?
ขณะขุนทองกระดกน้ำจากแก้วพลาสติกใช้แล้วทิ้งจนหมดและทิ้งลงถังขยะ ผมก็เอ่ย
“ฉันไม่ได้มากรอกน้ำสักหน่อย”
“งั้นมาทำอะไรล่ะ?”
“หาตัวแกไง เอ้านี่”
ผมยื่นน้ำแดงที่ซื้อมาจากคุณป้าร้านของชำให้
ขุนทองรับไว้พร้อมยิ้มกรุ่มกริ่ม
“หึหึหึ เริ่มรู้สึกเคารพในตัวเราขึ้นมาแล้วสิท่า”
“แค่ตอบแทนที่พาฉันไปหายายนั่นแหละ ไม่ได้นึกเคารพในตัวแกสักนิด”
ในผลลัพธ์ก็ถือว่าออกมาได้ดีจนน่าขอบคุณจริงๆ
ขุนทองมองน้ำแดงในมือ
และเงยหน้าขึ้นพลางพูดด้วยเสียงเล็กๆ
“…แต่เราอยากกินน้ำเขียวมั่งอะ…”
“ไหนบอกกุมารทองแ*กได้แต่น้ำแดงไม่ใช่หรือไงหา!!?”
“อะแหะ!”
ว่าแล้วเด็กชายผมจุกก็หัวเราะด้วยท่าทางกวนประสาท
เคสที่ 5 (ศาลเจ้า) /จบ