สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 89 เคสที่ 42 เข้าได้จริงเหรอ? (2)
ลืมบอกไป ถึงนี่จะเป็นวัดก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กับจิตตฯ หรือก็คือผมกับเอ็มต้องเสียเวลานั่งรถประจำทางตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อไปโผล่จังหวัดใกล้เคียง เพราะมาวัดนี่นั่นแหละ
แถวจิตตฯมันไม่มีวัดนี่นะ มีก็แปลกแล้ว
เนื่องด้วยเหตุนั้น จึงเริ่มถกกับตัวเองขึ้นมา อินเทอร์เน็ตนี่สามารถทำให้นักเรียนในจิตตฯเกิดความอยากรู้อยากเห็นกับวัดได้มากถึงเพียงนี้เลยหรือ? ทั้งๆที่เป็นสถานที่ที่ไม่น่าเคยพบเจอหรือไปมาก่อนแท้ๆ
“ได้เอาเศษเหรียญมาอย่างที่ผมบอกรึเปล่า?”
เอ็มหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาพลางถามผมแบบนั้น
ผมเหลือบมองโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยดอกไม้ธูปเทียนวางเรียงราย ตู้ไม้สีน้ำตาลเข้มที่มีประโยคแปะในป้าย ‘ทำบุญตามศรัทธา’
หรือก็คือ ต่อให้เขียนไว้ดิบดีแค่ไหน เจ้าดอกไม้ที่วางอยู่นั่น มันก็คือการซื้อดีๆนั่นแหละ
ผมหยิบดอกไม้มาพิจารณา
“ตามศรัทธาคือเท่าไหร่?”
“ก็ตามศรัทธาไง?”
“งั้นไม่ต้องเอาสักบาท”
เพราะผมไม่นึกศรัทธาบ้าอะไรทั้งสิ้น แต่พอตอบไปแบบนั้น เอ็มก็หรี่ตามองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจอย่างถึงที่สุด
“ค่าดอกไม้ผมออกให้แล้วกัน แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
“ฉันไม่ได้กะมาหลายรอบสักหน่อย”
“หมายถึง…จุดทำบุญต่อจากนี้ให้คริสโตเฟอร์ออกเองน่ะ”
บร๊ะเจ้า นี่มีเก็บเงินเป็นซุ่มๆเหมือนงานแต่งเลยหรือเนี่ย???
ดอกไม้ที่เอาเข้ามาด้านในตัววัด ไว้ใช้สำหรับไหว้รูปหล่อทองเหลืองที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้า ผมกับเอ็มวางดอกไม้พร้อมยกมือไหว้ ก่อนจะไปยังจุดถัดไป แน่นอนว่าระหว่างนั้นผมก็ถ่ายรูปไปตามสังเขป…
“ตรงนี้เรียกว่าจุดถวายสังฆทานล่ะ”
“คืองี้นะ ถ้าแกจะรู้เยอะขนาดนี้ ไม่ต้องเรียกฉันมาก็ได้มั้ง?”
“ทำงั้นได้ที่ไหน นักเรียนเขาอยากได้รูปประกอบกับคลิปไปดูด้วยนี่นา ผมมาคนเดียวแล้วใครจะถ่าย?”
“เออๆ …แล้วนี่ไงอีก? ใส่เงินลงกล่องตามกำลังศรัทธา?”
ผมชี้ไปยังกล่องรับบริจาค ที่โต๊ะยาวด้านข้างวางเต็มไปด้วยกล่องพลาสติกซึ่งด้านในใส่ข้าวของเครื่องใช้เอาไว้ ถ้าพูดให้ถูกกว่านั้นคือพวกของใช้ในบ้านเรือน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ยาสีฟัน …อะไรแนวๆนั้น
สังฆทานที่เจ้าเทวทูตว่านั่นแหละ
เอ็มปัดมือให้คำพูดของผมทันที
“เปล่าๆ จุดนี้ขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งร้อยบาทน่ะ”
“ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหน”
“อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องซื้อสังฆทานมาจากบ้านไง …ถึงผมจะขัดใจที่วัดนี้ใช้เป็นสังฆทานเวียนก็เถอะ”
พูดมาแต่ล่ะอย่างไม่เห็นจะเข้าใจ หรือผมควรเข้าใจกับไอ้คำว่าสังฆทานเวียนนี่รึเปล่า? ช่างเถอะ แค่ใส่ลงกล่องบริจาคไปร้อยนึงก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน
ผมหยิบเหรียญสิบมาสิบเหรียญแล้วหยอดลงไปทีละเหรียญอย่างรำคาญใจ
“เอ่อนี่…คริสโตเฟอร์”
“ใช่มั้ยล่ะ? ไม่เห็นมีคนเฝ้าเลยสักคน ยังงี้เกิดมีคนใส่ไม่ครบขึ้นมาจะทำไง?”
“ทำบุญไม่มีใครเขาโกงกันหรอก… แล้วผมไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนี้สักหน่อย แค่สงสัยว่าคริสโตเฟอร์ไม่มีแบงค์ร้อยหรือไง?”
“แกบอกให้เอาเศษเหรียญมา?”
“เข้าใจล่ะ ผมขอโทษแล้วกัน”
เอ็มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หยิบสังฆทานขึ้นมาหนึ่งกล่อง จังหวะที่ผมจะเอื้อมหยิบด้วยนั่นเองที่เอ็มพูดขึ้น
“คริสโตเฟอร์ใช้อันเดียวกับผมก็ได้”
“เรื่องเด่ะ เมื่อกี้ฉันเป็นคนจ่าย ฉันก็ต้องได้คนเดียวสิ”
“โห…”
เอ็มเบิกตากว้าง เหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองได้ยินอะไร
ก่อนจะกระแอมเล็กน้อยและเริ่มสาธยาย
“สังฆทานส่วนใหญ่จะทำกันเป็นหมู่ จะครอบครัวก็ได้ จะเพื่อนฝูงก็ดี มีความเชื่อว่าจะทำให้มีวาสนาต่อกันไปตลอด…”
“งั้นฉันไม่ทำร่วมกับแกแน่”
“เป้าหมายเราคือถ่ายทุกอย่างไปให้นักเรียนดูนะ ขืนคริสโตเฟอร์ทำอะไรตามใจ คนอื่นก็จะเข้าใจผิดพลาดน่ะสิ ผมยอมไม่ได้หรอก”
คนที่มายืนต่อแถวเริ่มทำหน้าเซ็งๆกันแล้ว เฮ้อ…ก็ได้ๆ ทำตามที่เอ็งว่าแล้วกัน เทวทูต
ผมกับเอ็มย้ายมานั่งที่เก้าอี้ที่วางไว้หลายสิบตัว โดยที่ด้านหน้าจะมีคนใส่ผ้าคลุมสีส้มๆหัวโล้นๆกำลังนั่งขัดสมาธิพร้อมไมค์ที่ตั้งเอาไว้…
“ห้ามเรียกพระว่าคนใส่ผ้าคลุมสีส้มหัวโล้นนะ คริสโตเฟอร์”
“ไม่ได้เรียก แค่คิด”
“เริ่มจะสงสัยแล้วว่าตั้งแต่เข้ามาที่นี่ คริสโตเฟอร์ไม่ได้ลบหลู่อะไรบ้าง…”
“ครบตั้งแต่ทางเข้า ไม่ขาดตกบกพร่องสักอย่าง”
“เยี่ยมจริงๆ”
ผู้คนเริ่มเข้ามานั่งบริเวณเก้าอี้จนเต็ม พระก็เริ่มพูดใส่ไมค์ให้ทุกคนทำตาม หลักๆก็คือท่องบทสวดที่สำหรับคนไม่เคยท่องอย่างผม ท่องตามลำบาก
“ไม่ต้องท่องหรอก แค่ศรัทธาก็พอ”
โดยที่มีเอ็มแนะนำอย่างเกินความจำเป็นแบบนั้น
อืม…ใช้เวลานานเอาเรื่อง ถึงจะตั้งกล้องเปิดอัดไว้ก็เถอะ แต่เริ่มจะง่วงๆแล้วนะเนี่ย…
ขณะกำลังคิดแบบนั้นนั่นเอง ที่บทสวดจบลงพอดี พร้อมกับที่ทุกคนพากันเดินไปนั่งคุกเข่ากับพระด้านหน้า
“ทำอะไรอีกล่ะเนี่ย?”
“หลวงพ่อเขาจะพรหมน้ำให้น่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
สังฆทานในตักเอ็มหายไปแล้ว คงยกไปถวายตอนผมกึ่งหลับกึ่งตื่นล่ะมั้ง?
ผมนั่งคุกเข่าพลางพนมมือขอไปที ดูเหมือนจะเอาไม้อะไรสักอย่างเป็นกำ ซับน้ำจากถังดำๆและสาดใส่
สีหน้าของคนที่ได้รับนั้น เผยความปิติจนน่าประหลาดใจ
หลวงพ่อไล่มาเรื่อยๆ จนมาถึงตาผมกับเอ็ม
…กับเอ็มก็ปกตินั่นแหละ แต่ของผมนั้น
ปัง!
เสียงกระแทกที่ศีรษะจนสะดุ้ง ผมยังคงก้มหน้าไว้ เพราะไม่รู้ว่าขั้นตอนพรหมน้ำนี่ใช้เวลานานแค่ไหน…
ปัง!
สังเกตจากการพรหมน้ำที่ผ่านมา คงจะอีกรอบนึงล่ะมั้ง…
ปัง!!
ว่าแต่ คนก่อนหน้าโดนหวดแรงขนาดนี้เลยเหรอ…
ปัง! ปัง! ปัง! พลั่ก!
“ทำห่*ไรของเอ็งเนี่ย ไอ้โล้น”
ผมลุกขึ้นกระชากผ้าคลุมหลวงพ่อด้วยแววตาดุดัน เอ็มที่เห็นแบบนั้นก็รีบล็อกคอผมทันที
“คริสโตเฟอร์! นั่นหลวงพ่อนะ!”
“จะหลวงบ้าอะไรไม่รู้ล่ะ! ตบหัวตูซะเป็นกลอง ไม่เรียกมือกีต้าร์มาเลยล่ะหา!?”
“ยังไม่มีนักร้องนำเลยนะ!”
“ใช่เวลาตบมุกมั้ย!?”
หลวงพ่อไม่แสดงสีหน้าตกใจ เพียงแต่เอ่ยด้วยคำพูดเรียบๆ
“พอดีเห็นความชั่วร้ายติดตัวโยมเยอะ หวดเท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที”
“นั่นปากเรอะ!?”
“สงสัยแค่พรหมน้ำคงไม่พอ เอ้านี่…อาตมาให้น้ำมนตร์กลับบ้านแล้วกัน อย่าลืมเอาชโลมร่างกายหลังอาบน้ำล่ะ”
“น้ำมนตร์หรือแป้งเด็กวะเนี่ย!? ไม่เอาว้อย!”
“กราบลาล่ะครับหลวงพ่อ! ขอบคุณมากครับ!!!”
ไม่รอให้วุ่นวายและเป็นจุดสายตาของคนที่มาวัดไปมากกว่านี้ เอ็มก็รีบลากผมออกมาจากจุดถวายสังฆทาน โดยที่มีหลวงพ่อมองส่งพร้อมพูดด้วยว่า ‘ช่างเป็นเด็กน่าสงสาร ต้องผ่านเรื่องร้ายมามากขนาดไหนกัน’ อีกต่างหาก
ไม่ ไม่ ตูไม่ได้ผ่านเรื่องบ้าอะไรมาทั้งนั้น ตูแค่เป็นซาตานโว้ย
…ก่อนจะไปจุดถัดไป เอ็มก็ลากผมมาที่ม้านั่งและให้นั่งลง ยืนกอดอกพร้อมจ้องด้วยแววตาเฉียบคม
“คริสโตเฟอร์ทำตัวไม่น่ารักเลยนะ”
“เป็นพ่อฉันเรอะ?”
“ต้องเป็นคุณแม่สิ?”
“จะอันไหนก็น่ารำคาญ ฉันไม่ต้องให้แกอบรม”
“เฮ้อ…หัวแข็งจนน่าตีให้แตกสักที เริ่มจะเข้าใจหัวอกหลวงพ่อแล้วล่ะ”
เดี๋ยวๆ ที่หลวงพ่อหวดซะจนกล้ามขึ้นนั่น ไม่ได้มาจากเหตุผลนั้นไม่ใช่เรอะ?
“ต่อไปเข้าโบสถ์”
“เฮ้อ…ค่อยมีอะไรที่คุ้นเคยหน่อย”
“แปลกใจที่คริสโตเฟอร์เคยเข้าโบสถ์นะ แต่ไม่ใช่หรอก โบสถ์ของศาสนาพุทธกับคริสต่างกันนิดหน่อย”
“เอ๊าะเหรอ”
…เมื่อเข้ามาด้านในโบสถ์ ก็พบกับรูปหล่อพระพุทธที่ใหญ่เสียจนเกือบสูงถึงเพดานที่สูงกว่าสิบเมตร เป็นภาพที่ถ้าเป็นยัยพลอยมาเห็นคงพูดว่า ‘สวยจังเลยนะคะ’ แต่ก็อย่างว่า ยัยนั่นเข้าวัดได้ที่ไหน
ด้านซ้ายขวามีตู้บริจาค…อีกแล้ว
“พวกนี้เป็นตู้บริจาคในหลายๆส่วน ตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกตู้ก็ได้”
“งั้นไม่ใส่สักตู้”
“ช่วยคล้อยตามที่ผมพูดสักอย่างจะได้มั้ยเนี่ย…”
วันนี้ก็โดนบ่นมาหลายเรื่อง ผมจึงหยิบเหรียญและหยอดใส่ตู้บริจาคที่อยู่ใกล้มือสุด
“พอใจยัง?”
“อืมๆ แล้วก็นั่งลงนะ…ที่จริงก็มีท่านั่งที่ควรนั่นแหละ แต่อย่างคริสโตเฟอร์นั่งตามใจเถอะ แค่อย่าเอาเท้าชี้ไปทางพระพุทธรูปก็พอ…”
“หกสูง?”
“นั่นไม่เรียกว่าท่านั่งสักหน่อย”
“แต่ปลายเท้าชี้ฟ้าเลยนะ? ควรจะเป็นท่าที่เหมาะสุดๆไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วคริสโตเฟอร์ทำหกสูงได้เหรอ?”
“ไม่ได้”
“แค่อยากกวนปั่นประสาทผมสินะ…”
ถึงจะไม่เข้าใจเจ้าวัดนี่ขนาดไหน แต่สามัญสำนึกผมก็รู้ดีว่าคนที่จะทำหกสูงในสถานที่แบบนี้มันมีแต่คนบ้ากับนักกายกรรมเท่านั้นแหละ ซึ่งผมไม่เป็นสักอย่าง
เอ็มเริ่มท่องบทสวดพึมพำ พอเห็นผมไม่รู้จะทำอะไรต่อ ก็หันสายตาเป็นเชิงว่าให้ท่องตามที่เขียนอยู่ตรงแผ่นป้ายกระจกที่วางไว้ด้านใต้พระพุทธรูปก็ได้
แต่บทสวดยาวเหยียดขนาดนั้น ใครมันจะไปท่องไหว?
“ไม่ต้องท่องตามก็ได้มั้ง? ของอย่างงี้มันอยู่ที่ศรัทธาไม่ใช่เหรอ?”
เอ็มไม่ได้ตอบอะไรกลับเพราะกำลังท่องบทสวด แต่ก็เผยแววตาแปลกใจให้คำพูดของผม และก็ยิ้มด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม
ซึ่งใจจริงผมก็แค่ขี้เกียจเลยหาข้ออ้างก็เท่านั้น โง่ชะมัด
เอ็มพ่นลมหายใจเบาๆ น่าแปลกที่ก็แค่ท่องบทสวดเหมือนคนอื่นในโบสถ์ แต่ท่าทางกับสูงส่งเสียจนเหมือนมีพระพุทธรูปมาอยู่ตรงนี้อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นทำให้สายตาของผู้คนเริ่มมองมาที่เอ็ม
เอาจริงๆก็ไม่น่าแปลกนะ หมอนี่มันเทวทูตนี่นา
“เขย่าเซียมซีกันเถอะ”
“เหลืออีกกี่รายการครับเนี่ย? หา?”
ผมทำเสียงประชดใส่
“อย่าพึ่งบ่นได้มั้ย? เอ้า!”
เอ็มยื่นกระบอกเซียมซีให้ ผมรับไว้และเขย่ามันแบบลวกๆ
“และก็เอาเลขที่ได้ไปหยิบใบทำนายตรงทางออกนะ ของผมได้เลขหนึ่ง คริสโตเฟอร์ล่ะ?”
“อืม…”
“หืม? เลขไม่ชัดเหรอ?”
“เปล่า แค่สงสัยว่าเลขในเซียมซีมันมีกี่หลักน่ะ”
ดูจากความกว้างกระบอก มันไม่น่าจะมีถึงเลขสามหลักนี่นา? หรือว่าเลขจะสุ่มกันนะ?
“ไม่เกินสี่สิบน่ะส่วนใหญ่แล้ว…ขอผมดูหน่อย”
เอ็มที่สงสัยไม่ต่างจากผมก็ดึงแท่งเซียมซีจากมือผมไปดู
“666…เหรอ?”
“หรือก็คือหกร้อยหกสิบหก ถ้าตามที่แกบอก มันก็ไม่น่ามีอยู่ไม่ใช่เรอะ?”
อีกทั้งเจ้าแท่งเซียมซีนี่ อันอื่นๆจะเป็นสีแดงทั้งแท่ง แต่อันของผมกลับเป็นสีดำทั้งแท่งและยังส่งกลิ่นไม่ค่อยดีออกมาด้วย
“ผมว่า…เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งดีกว่า คงมีเทพสักองค์ไม่ชอบคริสโตเฟอร์นั่นแหละ”
“ก็ว่างั้น”
ช่างเป็นการกลั่นแกล้งที่เด็กน้อยซะจริง ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากันก็มาบอกตรงๆให้รู้เรื่องไปเลยสิ มัวแต่มุดหัวอยู่ได้
เอ็มเก็บแท่งเซียมซีลงกระเป๋ากางเกง แต่ยังไม่จบแค่นั้น ดูเหมือนจะยังมีสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำเมื่อเข้ามาในโบสถ์อยู่
ช้างจำลองขนาดกลางๆ เอ็มลากมันมาไว้ข้างตัว
“อันนี้เรียกว่ายกช้างเสี่ยงทาย”
“มีแต่อะไรแปลกๆนะ…”
“วางช้างไว้ข้างตัว ตั้งจิตใจให้มั่น ถ้าผู้ชายให้ยกด้วยนิ้วก้อย ถ้าผู้หญิงให้ยกด้วยนิ้วนาง”
“ถ้าLGBTQ+ล่ะ?”
“นั่นก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขาพวกเธอว่าจะอยากใช้นิ้วไหน”
หมอนี่มันไม่หลุดช่องให้คนด่าจริงๆนะให้ตาย
ผมยกช้างขึ้น ต่อให้ใช้นิ้วก้อยแต่ก็ไม่ยากอย่างที่คาด แต่พอทำได้แล้วก็มีคำถามตามมาทันที
“ว่าแต่ยกเพื่อ?”
“นี่ทำทั้งที่ไม่รู้เหรอเนี่ย…”
“ก็แกบอกให้ทำ?”
“ครับๆ การยกช้างเสี่ยงทายก็คือ เรื่องที่อธิษฐานหรือขอไว้จะสำเร็จหรือไม่…อารมณ์เหมือนทำนายนั่นแหละ ถ้ายกขึ้นก็คือสำเร็จ ถ้าไม่ก็คือไม่สำเร็จ …สำหรับคริสโตเฟอร์ แค่นี้คงพอเข้าใจได้เนอะ? ลงลึกกว่านี้เดี๋ยวจะเข้าใจยาก”
“งมงายชะมัด แล้วถ้าเป็นเด็ก ช้างก็ไม่ใช่เบาๆ จะไปใช้นิ้วก้อยยกไหวได้ไงเล่า นิ้วหักกันพอดี”
“ถ้าเป็นเด็กจะใช้ทั้งกำมือยกเลยน่ะ”
“มั่วซั่วโคตร! ยังงี้เด็กก็ได้เปรียบผู้ใหญ่อีกไม่ใช่เรอะ?”
เอ็มรีบตัดบทสนทนาด้วยการลุกขึ้น
“ไม่เอาน่า ศรัทธากับศาสนาก็งี้แหละ คริสโตเฟอร์ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรไม่เข้าใจหรอก ถ้าเอาเกณฑ์คนที่ไม่เชื่อในสิ่งใดเลยเป็นตัววัดล่ะก็ มันก็งมงายทุกเรื่องนั่นแหละ”
“แกก็ลองมาใช้นิ้วก้อยยกเหมือนฉันบ้างสิ มันปวดไม่ใช่เล่นเลยนะเฮ้ย”
“ฮะฮะ ผมจะไปทำงั้นได้ไงล่ะ”
…พอออกจากโบสถ์ เอ็มก็หยิบใบทำนายของตัวเองมาอ่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พอผมขออ่านด้วยก็ไม่ให้ซะอย่างนั้น …ผมลองเช็กให้ชัวร์ว่ามีคำทำนายสำหรับเลข666หรือไม่ แต่ก็อย่างที่เดาได้นั่นแหละ มีก็แปลกล่ะ
ต่อไปก็มีแต่จุดเล็กๆที่เหมือนมินิเกม ทั้งราดน้ำมันรอบเปลวไฟโดยไร้แก่นสารเอย จุดไฟใส่กระทงและวางลงอ่างที่จำลองว่าเป็นมหาสมุทรเอย ให้อาหารปลาเอย บลาๆ…
ซึ่งอย่างสุดท้ายนั้น ตรงจุดให้อาหารปลากลับมีป้ายเขียนตัวโตๆว่าห้ามให้อาหารนกอยู่ด้วย ผมไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกัน
ซึ่งทุกกระบวนการที่เล่าไป ผมก็ใช้กล้องบันทึกไว้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะรูปถ่ายหรือคลิปวิดีโอ
เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงสิบเอ็ดโมงเข้าไปแล้ว
เอ็มยืดตัวบิดขี้เกียจอยู่ตรงประตูทางออกวัด
“ทันรถเข้าไปจิตตฯพอดี ที่จริงอยากให้คริสโตเฟอร์ไปเห็นพระฉันเพลเหมือนกันนะ”
“ฉันเพลคืออะไร?”
“พระกินข้าวน่ะ”
อีกฝ่ายจงใจใช้คำศัพท์ที่ผมเข้าใจง่าย น่าขอบคุณในความหวังดี
ผมส่ายศีรษะ
“ทำไมฉันต้องอยากเห็นคนกินข้าวด้วย”
“นั่นสิ พอคริสโตเฟอร์พูดยังงั้น ผมก็เริ่มรู้สึกแปลกเหมือนกัน”
และแล้ว…การทัศนศึกษาสั้นๆของผมกับเอ็มก็จบลง ว่าเรื่องคุณประโยชน์ของการมาที่นี่แล้ว อืม นึกไม่ออก
จะมีผิดหวังก็ตรงไม่ได้เห็นผีเจ้าที่ตัวเป็นๆนั่นแหละ สงสัยชะมัดว่าหน้าตาเป็นยังไง ถ้าได้เห็นสักครั้ง ต่อไปต้องแยกออกแน่
จังหวะก้าวออกจากวัด เอ็มก็ตะโกน
“คริสโตเฟอร์! อย่าเหยียบธรณีประตู!”
“อุบ๊ะ! รำคาญจริง!”
เคสที่ 42 เข้าได้จริงเหรอ? (วัด) /จบ