สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 84 เคสที่ 40 โพเดียม (1)
เมื่อมองไปด้านหน้า จะพบกับสมาชิกสภานักเรียนที่กำลังอยู่ในสภาพว่างงานจนเห็นแล้วใจหาย
และไม่รู้ทำไม หมิงหมิงถึงได้มาร่วมวงด้วย ตอนนี้กำลังเล่นบอร์ดเกมกัน
“รุกฆาต!”
“พี่หมิงครับ เกมเศรษฐีไม่ได้เล่นกันแบบนั้นนะครับ…”
เรย์ขัดคอหมิงหมิง
จนถึงตาเรย์ทอยลูกเต๋า ก็พบว่าตัวหมากของตัวเองไปลงตรงที่ดินของพี่ต้น
เรย์ทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะปัดมือพร้อมถอนหายใจ
“เท่าไหร่ครับ พี่ต้น”
“เอ…นายน่าจะจ่ายไม่พอนะ”
“…หือ? เฮ้ย! สองล้านเลยเรอะ!? เฮ้อ…เดี๋ยวผมขายที่ดินสักอันมาจ่ายก็ได้”
“แต่นายขายไปจนเกลี้ยงตั้งแต่รอบที่แล้วแล้วนะ…”
ดูเหมือนเจ้าเรย์จะเล่นเกมเศรษฐีไม่ค่อยเก่ง แต่บอร์ดเกมหรือเกมการ์ดส่วนใหญ่ก็ใช้ดวงซะแปดสิบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วด้วย ดังนั้นปัญหาอาจจะไม่ใช่ว่าเล่นเก่งไม่เก่ง น่าจะดวงไม่ดีมากกว่า
เพราะหมอนี่เล่นทอยเต๋าทีนึงลงที่ดินคนอื่นติดต่อมาห้ารอบได้แล้ว
เรย์ครางในลำคอก่อนหันไปทางธนาคาร
“พี่ดิว ผมขอกู้หน่อยครับ”
ดิวที่รับหน้าที่เป็นธนาคารได้ยินก็ทำหน้าอึนๆ ผมคิดว่าที่ยัยนี่มาเล่นเป็นธนาคารเพราะขี้เกียจต้องมาเสียเวลาทอยเต๋ามากกว่า
“จิ๊บ!”
ทันใดนั้นเองที่เจี๊ยบโบกปีกและปัดเป็นรูปกากบาทใส่หน้าเรย์
“…เจี๊ยบบอกว่าเรย์กู้มาหลายรอบแล้ว ตามกฎคือห้ามกู้อีก”
“แล้วผมจะเอาตังค์ที่ไหนไปจ่ายละครับ!?”
“จิ๊บ!”
“…ก็…ล้มละลาย?”
“ถือว่าพี่หยวนๆให้รอบนึงแล้วกัน ไม่ต้องจ่ายพี่ก็ได้”
“ได้ที่ไหนกันละคะพี่ต้น! แบบนั้นเกมก็ไม่เป็นเกมสิคะ! น้องเรย์แพ้แล้วค่ะ”
“เฮ้อ…เข้าใจแล้วครับ ผมแพ้ก็ได้ แต่ผมเหลือที่ดินกากๆอยู่อันนึง ยกให้พี่หมิงแล้วกัน”
“ขอบใจจ้า! เรย์เรย์! ยังงี้ก็ป๊อกเก้าสองเด้ง!”
“ก็บอกว่าไม่ได้เล่นกันแบบนั้นไงครับ…”
คือเห็นสภานักเรียนเล่นบอร์ดเกมกันสนุกสุดเหวี่ยงแบบนี้ ในฐานะประธานแล้วก็รู้สึกปลื้มอยู่นิดหน่อย แต่ว่านะ…ต่อให้จะว่างสุดๆเพราะไม่มีเคสให้ทำ เหตุจากศาลาพักใจแย่งลูกเคสไปหมดก็เถอะ อย่างสภานักเรียนจะให้มานั่งเล่นบอร์ดเกมกันโง่ๆจนหมดเวลาชมรมนี่มันสมควรแน่เหรอ?
และที่สำคัญกว่านั้น
ผมเดินไปยังโต๊ะรับแขก
พลอยที่สังเกตก็เอ่ยทัก
“เอ๊ะ? ประธานจะเล่นด้วยเหรอคะ?”
“ไม่เล่น แล้วพวกเธอว่างกันขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ว่างสิคะ ดูสิ…ไม่เห็นมีลูกเคสเลยสักคน หรือประธานเป็นพวกโรคจิตที่ชอบเห็นคนอื่นนั่งเงียบๆหลายชั่วโมงแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านหรือไงคะ?”
“มันมีคนโรคจิตแบบนั้นด้วยเหรอ…”
“ไม่รู้สิ มีมั้ยละคะ?”
…ยัยนี่
พลอยจิ้มคาง
“แต่อะไรแบบนี้ก็อยากให้น้องสไปรท์กับพี่น้ำมาเล่นด้วยเหมือนกันนะคะเนี่ย…”
“เลิกพูดถึงคนที่ไม่อยู่ได้แล้วน่า อีกอย่าง พวกเรามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำไม่ใช่หรือไง?”
ที่พลอยพูดก็ถูก เอาจริงๆผมก็นึกแปลกใจเหมือนกัน การที่เล่นอะไรไร้สาระอย่างบอร์ดเกมแล้วไม่มีพี่น้ำกับสไปรท์นั้น ค่อนข้างแปลกใหม่ยังไงชอบกล
“หมายถึงการ ‘เลือกตั้งประธานสภานักเรียน’ สินะคะ?”
เลือกตั้งประธานสภานักเรียน
นั่นคือเรื่องที่เอ็มบอกไว้เมื่อหลายวันก่อน…
‘พอดีมันมีจุดให้กังขาหลายจุดน่ะครับ เป็นไปได้ว่าที่สภานักเรียนไม่มีคนใช้บริการอาจจะเป็นเพราะทุกคนอยากลองใช้บริการชมรมใหม่ที่หมายถึงศาลาพักใจของผมก็ได้ ดังนั้นผมเลยคิดว่าถ้าจัดการลงคะแนนหาเสียงโหวตว่าใครควรเป็นประธานนักเรียนล่ะก็ น่าจะพอทำให้ผมรับรู้ถึงความนิยมที่แท้จริงของสภานักเรียนได้น่ะครับ’
ซึ่งผมก็แย้งไปประมาณว่า ถ้าจะหาความนิยมจริงๆ ทำไมถึงได้เจาะจงเลือกตั้งเฉพาะตำแหน่งประธาน ไม่ให้ลงคะแนนเป็นสภานักเรียนกับศาลาพักใจไปเลยล่ะ?
“หัวหน้าก็ถือเป็นหน้าตาของชมรม แล้วเกิดสภานักเรียนแพ้ขึ้นมาก็โดนยุบชมรมไปเฉยๆเลยน่ะสิ โรงเรียนนี้อุตส่าห์มีสภานักเรียนทั้งที คงให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้ การลงคะแนนหาว่าใครควรได้เป็นประธานนักเรียนน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่าน่ะ อ๋อ…ผมเปิดให้ใครก็ตามที่อยากสมัครสามารถทำได้ แน่นอนว่าผมก็ลงด้วยเหมือนกัน ก็นะ…คริสโตเฟอร์น่าจะได้เปรียบในด้านฐานแฟนคลับเพราะดำรงตำแหน่งมาจะปีได้แล้วนี่นา ฮะฮะฮะ”
นึกถึงขึ้นมาก็อยากวิ่งไปห้องข้างๆแล้วชกให้วงแหวนแตกสักที
ผมเอามือเท้าโซฟา
“เห็นว่าถ้าไม่รวมฉันกับเอ็มก็มีคนสมัครชิงตำแหน่งอีกสองหรือสามคนนี่แหละ”
นับว่าน้อยกว่าที่คาด แต่ก็ดีที่คู่แข่งน้อย
“จะถึงวันเลือกตั้งวันศุกร์หน้า ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลาราวสัปดาห์นึงในการหาเสียง”
“เป็นเวลาที่น้อยจังนะคะ?”
“ใช่…แล้วพวกเธอคิดบ้าอะไรกันอยู่ถึงมานั่งเล่นบอร์ดเกมกันหา!?”
ราวกับพึ่งรู้ว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เหล่าสมาชิกสภาจึงทำสีหน้ารู้สึกผิดกันยกใหญ่ มีเพียงพลอยที่เป็นคนแย้งขึ้นมา
“ประธานเองก็ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยไม่ใช่หรือไงคะ? อันที่จริงนี่ก็เป็นการเลือกตั้งประธาน ไม่ใช่เลือกตั้งสภานักเรียนเสียหน่อย ถ้าขนาดตัวประธานเองยังไม่กระตือรือร้นหรือออกคำสั่ง จะให้พวกดิฉันเริ่มทำงานกันยังไงละคะ?”
“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันก็ไม่ใช่เวลามานั่งเล่นเกมมั้ยเล่า…”
“เฮ้อ…ก็ได้ค่ะก็ได้ งั้นเดี๋ยวจะเริ่มประชุมเรื่องการหาเสียงกันเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
พลอยเก็บกระดานเกมเศรษฐีด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะกวักมือให้ผมมานั่งที่โซฟาที่ยิ่งแออัดเข้าไปใหญ่
“ไหนๆ อยากให้พวกดิฉันทำอย่างไรกับการหาเสียงครั้งนี้ดีคะ?”
“พูดตามตรง ฉันขึ้นเป็นประธานจากการแต่งตั้งซะด้วยสิ…”
“จะบอกว่าเพราะได้รับตำแหน่งมาจากการสืบทอดอำนาจ ดังนั้นเลยไม่รู้จักการหาเสียงแบบแฟร์ๆสินะคะ?”
“อะไรประมาณนั้นแหละ เลยอยากขอความเห็นทุกคนหน่อย”
เรย์ออกความเห็นคนแรก
“งั้น…ก่อนจะถึงการเลือกตั้ง พวกเราก็ยังมีอำนาจของสภาอยู่ ลองแต่งตั้งสมาชิกกิตติมศักดิ์จากนักเรียนคนอื่นที่สามารถปัดตกเสียงเลือกตั้งมาสักสองร้อยห้าสิบคนดีมั้ยครับ?”
“เงียบไปเลย”
“อุตส่าห์คิดว่าเป็นความคิดที่ดีแท้ๆเชียว”
ไปเอาความคิดแปลกๆแบบนั้นมาจากไหนกันนะ…
“รู้สึกจะมีช่วงเวลาหาเสียงอยู่นี่? ตอนพักเที่ยงก่อนเข้าเรียนกับช่วงเย็นอีกนิดหน่อย น้องประธานลองคิดคำปราศรัยดีๆไปดึงดูดใจนักเรียนดูมั้ย?”
“เป็นความคิดที่ดีนะครับ พี่ต้น”
คำปราศรัยมันก็คือคำพูดยืดยาวจับใจความลำบาก ที่เหมือนเป็นการสะกดจิตให้พวกจิตอ่อนหลงเชื่อ ในกรณีนี้อย่างผมแล้วคงคิดหาคำพูดดีๆได้ไม่ยาก
ผมจดลงโน้ตส่วนตัว
“ขอแรกก็ตามที่พี่ต้นว่า …ต่อไปล่ะ?”
หมิงหมิงพุ่งเข้ามากอดคอผม
“เอาแบบนี้มั้ย!? คนที่ลงคะแนนให้คริสคริสจะได้รับสิทธิพิเศษสอบผ่านฟรีหนึ่งวิชา!”
“นั่นมันซื้อเสียงแล้วว้อย!”
“อุตส่าห์คิดว่าเป็นความคิดที่ดีแท้ๆเชียว”
ไปเอาความคิดแปลกๆแบบนั้นมาจากไหนกันหา? ทั้งเรย์ทั้งหมิงหมิงเลย
พลอยยังคงกุมคางใช้ความคิด คาดหวังว่าหลังคิดเสร็จจะมีความคิดดีๆมานำเสนอ เพราะงั้นมาที่อีกคนที่เหลือก่อนดีกว่า
“ดิว มีความเห็นอะไรมั้ย?”
“…ฉัน …ไม่มี”
“เข้าใจล่ะ…เจี๊ยบล่ะ?”
“จริ๊บบบบ!?”
เจี๊ยบเอาปีกปิดปากด้วยความตกใจพร้อมด้วยแก้มที่แดงก่ำ
พี่ต้นว่า
“ดูจากท่าทางแล้ว เจี๊ยบคงแปลกใจที่น้องประธานถามความเห็นกับแกล่ะมั้ง…”
“นั่นสิคะ ปกติประธานไม่ค่อยสนใจเจี๊ยบสักเท่าไหร่ ที่เป็นแบบนี้เพราะเข้าตาจนสุดๆแล้วรึเปล่า?”
ไม่ถึงขนาดนั้น แค่เจี๊ยบมันฉลาดเกินลูกเจี๊ยบไปไกล อาจจะมีความคิดอะไรดีๆก็ได้ …เข้ พอมานึกดูการกระทำตัวเองแล้วก็บ้าบอสุดๆเลยแฮะ สงสัยจะเข้าตาจนจริงๆสินะตัวผม
ดิวคว้าเจี๊ยบขึ้นมาและยื่นให้ผม เจี๊ยบก็แสดงดวงตาเป็นประกายก่อนจะเริ่มออกรสออกชาติในฝ่ามือของผมราวกับกำลังแสดงละครเวที
“จฺุ๊จิ๊บ จิ๊จิ๊บ จิ๊บจั๊บ!”
“ดิว ขอคำแปล”
“…เจี๊ยบบอกว่าไม่รู้ แต่ดีใจที่คริสโตเฟอร์ถามนะ”
“เสียเวลาโคตร!”
เกือบจะเผลอกำจนตายคามือไปแล้ว ไอ้ลูกเจี๊ยบนี่พอวันไหนนึกครึ้มอยากให้ความสำคัญดันมาทำตัวไร้ประโยชน์ซะได้
“จิ๊บ…”
“อันนี้ไม่ต้องแปล กำลังขอโทษอยู่สินะ?”
“…เปล่า เจี๊ยบบอกว่าถ้าจะบีบให้ตายคามือก็ลองดูสิ”
สาบานว่าต่อจากนี้จะไม่ยุ่งอะไรกับไอ้ลูกเจี๊ยบนี่เด็ดขาด น่าขนลุก
“เฮ้อ…เหลือแค่เธอแล้วพลอย มีความคิดอะไรมั้ย?”
“ที่จริงก็อยากถามสักหน่อยว่าที่มาไล่ๆถามทุกคนนี่ ประธานมีความคิดของตัวเองบ้างรึเปล่า แต่ช่างเถอะค่ะ…ดิฉันไม่มีความคิดดีๆหรอกค่ะ แต่ยังไงก็น่าจะต้องทำตามที่พี่ต้นว่านั่นแหละค่ะ”
“อ่าหะ”
ผมช้อนสายตามองไปนอกหน้าต่าง นี่ก็เลิกเรียนมาได้สักพัก ถ้าจะหาเสียงก็คงต้องไว้ทำพรุ่งนี้สักช่วงนึง ยังไงตอนนี้ก็ไม่น่ามีใครอยู่แล้ว
“จริงด้วยค่ะ! ถ้าเป็นเรื่องแนวๆนี้ล่ะก็ พวกเราน่าจะมีคนให้พึ่งอยู่นี่คะ?”
“หมายถึงใครกัน…”
.
.
.
“สวัสดีตอนเย็นคริสโตเฟอร์! แล้วก็สมาชิกคนอื่นๆด้วย!”
หลังจากถามพลอยไป เธอก็แจ้นออกไปนอกสภา ก่อนจะกลับมาพร้อมเด็กสาวคุ้นหน้าคุ้นตาที่ช่วงนี้เหมือนจะเห็นหน้าบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
หัวหน้าชมรมข่าวนั่นเอง…
“โห…ได้ยินมาว่ามีสองคนไปอยู่ศาลาพักใจ แต่ไม่คิดว่าจะเหลืออยู่เยอะขนาดนี้นะเนี่ย? ปกตินายรับคนเข้าสภาบ่อยขนาดนี้เลยเหรอ?”
“หมิงหมิงเรียกว่ารับมาแบบเสียไม่ได้ ส่วนเรย์ ฉันรับมาเพราะคิดว่าจะทำงานชดเชยในส่วนของสองคนนั้น”
“ประธานหวังกับผมไว้สูงมากเลยนะครับนั่น…”
“อย่าทำให้ผิดหวังแล้วกัน”
“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ”
เรย์ตอบแบบเสียไม่ได้เหมือนโดนผมย้ำคำเดิมมาหลายรอบ
หมิงหมิงตะโกนว่า
“แบบเสียไม่ได้นี่หมายความว่ายังไงกัน!?”
ขี้เกียจตอบแฮะ ปล่อยให้บ่นไปแล้วกัน
หัวหน้าชมรมข่าวดันแว่น
“ได้ฟังมาจากคุณรองคร่าวๆแล้วล่ะ หาเสียงสินะ…นายเลยอยากให้ฉันช่วย?”
“พลอยคงคิดแบบนั้นแหละ แต่อย่างเธอมันจะช่วยได้จริงเร้อ?”
“หึหึหึ คิดว่าฉันเป็นใครกันเล่า”
“คนสวมแว่น?”
“อย่างน้อยก็ยังมองฉันเป็นคนอยู่แฮะ แต่นายนี่มองคนแค่ผิวเผินจริงๆ คงเป็นประเภทที่แยกหน้าสุนัขไม่ออกด้วยสิท่า?”
ทำไมยกตัวอย่างขึ้นมาแบบนั้นกันล่ะเนี่ย แต่ก็จริงอย่างว่า จะหมาตัวไหนก็หน้าคล้ายๆกันหมด ให้แยกผมก็แยกไม่ออกหรอก
หัวหน้าชมรมข่าวพูดต่อ
“คืองี้นะ การหาข่าวก็พ่วงด้วยการประชาสัมพันธ์กลายๆนั่นแหละ สำหรับฉันที่เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงนั้นแล้ว จะหาวิธีให้นายได้คะแนนแบบถล่มทลายก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เผลอๆจะไม่ต้องปลอกเลยด้วย”
“ไม่ต้องขยายความขนาดนั้นก็ได้…”
“ช่วงนี้ฉันก็ทำข่าวเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งอยู่พอดี คงไม่แปลกใจหรอกเนอะ? ช่วงนี้มันก็เลือกตั้งซะด้วยสิ แหม…พ่อคุณเทวทูตนั่นก็สุดยอดน่าดูเลยเนอะ? ไม่คิดเลยว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้”
“มันมีส่วนต่อการประเมินโรงเรียนด้วย ครูใหญ่ก็เลยต้องตามน้ำไปล่ะนะ”
เดิมทีกับสภานักเรียนที่พึ่งก่อตั้งได้เมื่อปีที่แล้วนั้น ไม่เคยมีการลงคะแนนมาก่อนเลยสักครั้งไม่ว่าจะรูปแบบไหน แม้ครั้งนี้จะเป็นแค่เลือกหาตำแหน่งประธาน แต่ก็นับว่าเป็นครั้งแรก
ไม่แปลกที่ยัยสวมแว่นจะพยายามทำข่าว
“ไอ้อยากช่วยมันก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ว่าไงดีล่ะ อย่างฉันก็เหมือนคนกลางซะด้วยสิ ครั้นจะให้ช่วยแค่สภานักเรียนอย่างเดียวคงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ?”
ชมรมข่าวที่ช่วงนี้กำลังง่วนอยู่กับการทำข่าวและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานนักเรียน แต่จู่ๆจะให้มาช่วยผมที่เป็นประธานคนปัจจุบันก็ยังไงอยู่สินะ
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ…”
“แต่ก็น้า~ งานแข่งประชันความเร็วครั้งก่อนพวกนายก็ทำได้ดีซะด้วยสิ ถึงจะได้ที่สองก็เถอะ”
ฝังใจน่าดู
“เพราะได้ที่สอง ฉะนั้นฉันจะช่วยนายแค่สักสามในสิบส่วนแล้วกัน”
“ไม่เข้าใจสักนิด”
“บื้อชะมัด…ฟังนะ ฉันไม่สามารถออกตัวช่วยนายหาเสียงได้อยู่แล้ว แต่ทางฉันมีกลุ่มคนอ่านหนังสือพิมพ์โรงเรียนใช่มั้ยล่ะ? พวกนายก็แค่ออกไปหาเสียงเหมือนที่คนอื่นเขาทำกัน ส่วนฉันจะพยายามเขียนอวยๆให้ในอัตราส่วนตามที่บอกไป”
“เกือบจะไม่เข้าใจ แต่นี่ถือว่าช่วยแล้วสินะ?”
“เออสิยะ”
สรุปคือทางพวกผมก็ต้องหาวิธีหาเสียงกันเอาเองอยู่ดี ส่วนยัยแว่นจะพยายามเอาไปเขียนในหนังสือพิมพ์โรงเรียนแบบอวยพวกผมนิดหน่อยชนิดที่ไม่มีใครสังเกต
กระนั้น นั่นก็ช่วยในการหาคะแนนในวันเลือกตั้งได้ไม่น้อยเลยล่ะนะ
“โอเค ยังไงก็ขอบคุณมาก”
“จ้าๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วยเรียกชื่อฉันให้ชื่นใจหน่อยซิ?”
ผมหรี่ตามองใบหน้ายิ้มแย้มของหัวหน้าชมรมข่าวพลางเอ่ย
“เพื่อ?”
“แหม เจอนายทีไรฉันก็ได้ชื่อเจ้าของเคสทุกที คราวนี้ฉันไม่ใช่เจ้าของเคสแล้วนะ เรียกว่าเป็นเพื่อนที่มาช่วยเพื่อนมากกว่า ที่จริงก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่านายจำชื่อฉันได้รึเปล่า ขอพิสูจน์หน่อยเถ…”
“โอ๊ะ! หมดเวลาชมรมแล้วนี่นา แยกย้ายกลับบ้านกันเถอะ ส่วนเธอก็ไว้เจอกัน”
ผมว่าพร้อมเก็บกระเป๋า เดินจ้ำออกไปทางประตูจนหัวหน้าชมรมข่าวตะโกนลั่น
“เหลืออีกตั้งหลายนาที! ปกตินายไม่กลับบ้านเร็วงี้สักหน่อย! อย่าหนีน้า!!!”
พร้อมด้วยสมาชิกสภาที่มองส่งผมด้วยสายตาไปคนละอารมณ์ แต่หลักๆก็คงเป็น ‘รู้จักกันมาตั้งนาน แต่แค่ชื่อยังจำไม่ได้เนี่ยนะ’ ล่ะมั้ง?
เอาเป็นว่า ถ้าการเขียนข่าวแบบอวยสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหล่อนทำได้ดีอย่างที่คิดล่ะก็ จะสงวนที่ว่างในสมองให้ชื่อของเธอก็แล้วกัน
ตอนนี้จำแค่ว่าหัวหน้าชมรมข่าวไปก่อนคงไม่เป็นไร…
“ไอ้ซาตานบ้านี่! กลับมานี่เลยนะ!!!”
อย่างน้อยที่ผมทำให้เธอได้ตอนนี้คือฟังเสียงบ่นล่ะนะ
เคสที่ 40 โพเดียม /มีต่อ