สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 78 เคสที่ 37 เคสแรกอย่างเป็นทางการ(?)ของเรย์ (3)
- Home
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 78 เคสที่ 37 เคสแรกอย่างเป็นทางการ(?)ของเรย์ (3)
“ก็อปปี้เนี่ยนะ…”
“ก็เค้าเป็นเสือสมิงไง”
คงงั้นแหละมั้ง… เสือสมิงสามารถแปลงร่างได้ด้วยนี่นะ ถึงจะแปลกใจที่ใช้อาคมของภูตผีตัวอื่นได้ก็เถอะ
วิญญาณที่โดนสายฟ้าของสไปรท์ก็หายไปเลย แต่แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ กำลังแอบซุ่มเผื่อหาจังหวะจัดการพวกผมสินะ
ไม่รู้วิญญาณในบ้านร้างนี้มีกี่ตัว ต่อให้สไปรท์จะมีวิธีรับมือวิญญาณเหมือนผมแล้ว พวกผมก็ยังควรต้องเกาะกลุ่มเอาไว้ เผื่อในกรณีโดนรุม
นั่นคือวิธีรับมือศัตรูเมื่อยังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัด ซึ่งไม่ว่าใครที่ยังสติดีพอคงไม่อยากแยกกลุ่มแน่นอน…
“เค้าจะไปหาชั้นสอง! ย๊ากกก!!!”
“เดี๋ยว!? สไปรท์!”
ห้ามไม่ทัน ลืมไปว่ามีคนสติไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย
สไปรท์วิ่งขึ้นชั้นสองเสียงดังตึกตัก ผมรีบวิ่งตาม แต่ทันทีที่ขาก้าวขึ้นบันได ร่างกายก็กระแทกเข้ากับกำแพงใสเข้าอย่างจัง
“สไปรท์! ฉันตามขึ้นไปไม่ได้!”
“วะฮะฮ่า!”
ลักษณะเดียวกับกำแพงแปลกๆที่เจอตอนทำเคสกับประธาน ต่อให้ซัดอาคมเข้าใส่ก็ทำลายไม่ได้ ถูกจับแยกกับสไปรท์โดยสมบูรณ์
…ที่จริงจะโดนจับแยกแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก แต่มันน่าหงุดหงิดตรงที่โดนเพราะสไปรท์ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง
เมื่อไม่มีทางเลือก ผมจึงตามหาวิญญาณที่ชั้นหนึ่งต่อ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงสไปรท์ตะโกน อสนีบาต อสนีบาต! เสียงดังลั่นบ้าน ไม่รู้ใช้อาคมเพราะเจอวิญญาณหรือใช้เพราะสนุกกันแน่
มาถึงห้องครัว กลิ่นเหม็นอับก็โชยเข้าจมูก
“……ออกไป”
เหล่าวิญญาณที่ประกอบด้วยชายหญิงหนึ่งคู่ และวิญญาณเด็กอีกหนึ่งตน
มองแล้วคงเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ภูมิหลังว่าทำไมถึงได้มาสิงสู่ที่บ้านหลังนี้คงเกิดเรื่องเศร้าอะไรสักอย่างไม่ต้องสนใจ ที่เราต้องทำตอนนี้คือไล่วิญญาณ
ถึงจะบอกสไปรท์ไปว่าใช้วิธีแบบเดียวกับประธานไม่ได้ แต่วิธีของผมแล้ว เอาตรงๆก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก
ไม่มีอาคมสำหรับปัดเป่า? ช่างสิ แค่ซัดให้หมอบจนกลัวและหนีออกจากบ้านไปก็พอ
ผมที่คิดแบบนั้นก็ยกฝ่ามือไปหาวิญญาณ
“ไรเมย์!”
สายฟ้าพุ่งออกจากฝ่ามือและเข้าโจมตี
วิญญาณที่โดนสายฟ้าสลายไปทันที
“ไม่หลบ…งั้นเหรอ…”
“…..ออกไป”
เปรี้ยง!
สายฟ้าอีกสองเส้นโจมตีวิญญาณที่เหลือจนหมด และอย่างที่เดาไว้ พวกเขาไม่หลบเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะใช้ปัดเป่าไม่ได้ แต่การโจมตีที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายจากผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณตัวไหนก็ไม่น่าจะยืนรับเฉยๆแบบนั้นนี่นา…
หมับ…หัวไหล่โดนจับอย่างแผ่วเบา
รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณจากด้านหลัง
ผมสะบัดตัว กลับหลังหันและเล็งไปทางเจ้าของฝ่ามือ
ที่อยู่ตรงนั้นคือวิญญาณตัวแรกที่เจอตอนเข้ามาในบ้าน
มันยืนมอง ไม่โจมตี ผมจึงทิ้งช่วงในการโจมตีไปก่อน
ทันใดนั้นที่วิญญาณค่อยๆอ้าปาก
“ท่าน…ได้โปรด”
“…พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
วิญญาณค้อมศีรษะ
“ได้โปรด…ได้โปรดช่วยปลดปล่อยพวกเราออกไปด้วย”
สิ้นคำ ผมก็ลดมือลง
“ว่ายังไงนะ?”
บรรยากาศหนักอึ้งเบาบางลง
“…พวกเราโดนบ้านหลังนี้ดึงดูดให้สิงสู่ …ไม่สามารถไปสู่สุคติ”
ผมหันมองรอบๆ …พอมาคิดดูแล้ว ผมสัมผัสถึงเจตนาร้ายจากวิญญาณในบ้านหลังนี้ไม่ได้เลย
หรือว่า…ที่วิญญาณครอบครัวเมื่อกี้ไม่ยอมหลบ…
“พวกแก…ถูกอะไรสักอย่างของบ้านหลังนี้กักไว้ไม่ให้ไปไหนงั้นเรอะ?”
“ใช่…และท่านก็มาจนได้ ท่านมาช่วยพวกเราให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น…”
คำพูดอย่างกับพวกคลั่งศาสนา และผมก็ไม่ใช่พระผู้มาโปรดด้วย
ก็แค่คนธรรมดาเชื้อสายภูตผี
“เลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ฉันมาเพราะแกไปหลอกเพื่อนฉันไว้ต่างหาก”
“…เรื่องนั้น…ข้าต้องขอโทษด้วย เพื่อนของท่านเป็นบุคคลเดียวที่พวกเราพอจะสื่อสารได้ ไม่ได้มีเจตนาหลอกให้กลัว”
ข้างบ้านหลังนี้ก็มีแต่บ้านของแสตมป์ ถ้าวิญญาณไม่สามารถไปสู่สุคติเพราะบ้านร้างล่ะก็ การจะติดต่อขอความช่วยเหลือก็คงต้องเริ่มจากบ้านของแสตมป์ที่อยู่ใกล้สุด…
ถึงจะเข้าใจแบบนั้น ผมก็ยังไม่คลายความระวัง
“แล้ว ‘ออกไป’ ที่พูดนั่น…ไม่ได้หมายความว่าอยากไล่เพื่อนบ้านให้ไปอยู่ที่อื่นหรอกเหรอ?”
“…การสื่อสารทำได้ยากเมื่อพูดกับคนภายนอก ผิดกับท่านที่เข้ามา ข้าจึงสามารถพูดคุยกับท่านได้ครบถ้วน…”
เพราะผมเข้ามาอยู่ในบ้านร้าง จึงสามารถสื่อสารกับวิญญาณ ไม่ใช่แค่ถ้อยคำสั้นๆแบบที่ได้ยินก่อนหน้า…
ผมครุ่นคิด
วิญญาณเห็นผมอึกอักก็เอ่ย
“ได้โปรดช่วยพวกเราออกไป…”
ออกไป…ได้โปรดช่วยพวกเราออกไป
ผมทวนถ้อยคำนั้น
พวกเขาแค่ต้องการหนีไปจากบ้านร้าง ไม่ได้มีเจตนาจะไล่ใคร แต่เพราะสื่อสารกับคนภายนอกลำบาก ถ้อยคำที่แสตมป์รวมถึงที่ผมได้ยินจึงมีแค่ ‘ออกไป’ เท่านั้น
มันจะตลกร้ายไปหน่อยมั้ยเนี่ย
ผมถอนหายใจ
“…ฉันปลดปล่อยพวกแกไม่ได้หรอก ที่ทำได้ก็แค่ใช้อาคมใส่ไปตรงๆเท่านั้นแหละ”
ผมไม่เหมือนประธาน อาคมไม่มีคุณสมบัติปัดเป่า
แต่วิญญาณกลับแย้งขึ้นมา
“ท่านน่ะหรือ? ท่านสามารถปลดปล่อยพวกเราได้ด้วยสายฟ้ามิใช่รึ? อย่างที่ท่านทำไปเมื่อครู่”
“แต่แกโดนสายฟ้าไปแล้วนี่? ไม่เห็นจะหายไปไหน”
“ต้องเป็นท่านเท่านั้น”
สายฟ้าที่ผมปล่อยกับที่สไปรท์ก็อปปี้มีคุณสมบัติต่างกันหรอกเหรอ?
ไม่ค่อยเข้าใจ… แต่เป้าหมายของผมก็มาเพื่อไล่วิญญาณที่นี่ไปให้หมดอยู่แล้ว ถ้าวิญญาณยังว่าแบบนั้น ผมก็ไม่ติดที่จะทำหรอก…
…จะบ้าตาย
ผมยกฝ่ามืออีกครั้ง
“…ทีหลังจะขอความช่วยเหลือก็เลือกวิธีให้ดีๆหน่อยเถอะ ฉันยังไม่หายเคืองเรื่องที่หลอกเพื่อนฉันหรอกนะ”
วิญญาณคุกเข่าลง
“อ่า…ในที่สุด”
จดจ่ออยู่กับการออกไปจากที่นี่จนไม่สนใจคำพูดของผมแล้ว
ผมเร่งอาคม
“ไรเมย์”
สายฟ้าผ่าลงที่กลางตัววิญญาณ มันมองฝ่ามือตนเองที่ค่อยๆสลายเป็นละออง
“…ขอบคุณท่านมาก ฝากช่วยเหลือวิญญาณน่าสงสารที่ติดอยู่ที่นี่ด้วย”
“อ่า”
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ ใบหน้าหลุดพ้นของวิญญาณที่ในตอนแรกคิดว่าเป็นวิญญาณร้ายไล่หลอกชาวบ้าน ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก
อย่างน้อยๆ…ฝั่งวิญญาณก็ยอมรับการไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง ถึงจะผิดกับเป้าหมายในตอนแรก แต่สิ่งที่ต้องทำยังไม่ต่างจากเดิม
ผมเงยหน้ามองชั้นสอง
“ยังเหลืออีกหลายตัวสินะเนี่ย…”
ชั้นหนึ่งคงไม่เหลือแล้ว ที่ยังเหลือคือชั้นสองที่สไปรท์ขึ้นไป อีกทั้งอาคมที่สไปรท์ก็อปปี้ก็ใช้ปัดเป่าวิญญาณไม่ได้ เท่ากับผมต้องขึ้นไปจัดการด้วยตัวเอง
กำแพงใสที่ปิดกั้นระหว่างชั้นหายไป เมื่อครู่วิญญาณคงสร้างมันขึ้นเพราะอยากคุยกับผมตัวต่อตัว
เพราะถ้าสไปรท์อยู่ด้วยคงไม่มีโอกาสได้คุย นึกภาพพอสไปรท์เห็นวิญญาณก็ยิงเปรี้ยงใส่ทันทีได้เลยแฮะ
จากจะไล่ผีร้าย กลายเป็นต้องมาสวดส่งวิญญาณไปสุคติซะงั้น เอาเถอะ…สุดท้ายก็คือจะไม่มีวิญญาณเหลือที่นี่เหมือนกัน
ชั้นสอง
“สไปรท์! อยู่ไหนเนี่ย…”
ผมตะโกนเรียกสไปรท์
ก่อนที่ปลายสายตา มองผ่านระเบียงทางเดินจะเห็นใครบางคนวิ่งเข้ามา
พอหรี่ตามองก็พบว่าเป็นสไปรท์นั่นเอง
ทำไมถึงวิ่งมาล่ะนั่น?
ไม่ทันได้สงสัย สไปรท์ก็ตะโกน
“เลย์! ช่วยล่วย!!!”
ได้ยินเช่นนั้น ผมก็พึ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังมีวิญญาณหลายสิบตัววิ่งตามหลังสไปรท์
“ช่วยพวกเราด้วย…”
“ปล่อยพวกเราออกไปที…”
เสียงวิญญาณว่าแบบนั้น
“สายฟ้าเลย์ทำอะไรไม่ได้เลยอะ!? ช่วยเค้าล่วย!!!”
ถึงจะก็อปปี้ไปก็ปัดเป่าไม่ได้ เป็นเหตุที่สไปรท์โดนวิญญาณที่อยากไปสุคติไล่กวด …ไม่ใช่ว่าก็อปปี้ไปแล้วจะใช้ได้เหมือนกันเป๊ะ …ทำไมกันนะ? สายฟ้าในตัวผมกับที่สไปรท์ก็อปปี้มันต่างกันตรงไหน อยู่ที่ผู้ใช้หรือไง?
หยุดคิดดีกว่า ใกล้จะเหมือนเกมเข้าไปทุกที เอาเป็นว่าให้เป็นเรื่องของความเชื่อหรืออะไรเถือกนั้นก็แล้วกัน
จำนวนเยอะขนาดนี้คงต้องเร่งอาคมให้แรงขึ้นอีกหน่อย
ผมยกฝ่ามือไปทางสไปรท์และใช้มืออีกข้างกำข้อมือ
สไปรท์ที่วิ่งทิ้งห่างวิญญาณก็มาหยุดอยู่ข้างผม ด้านหน้าคือเหล่าวิญญาณหลายสิบตนที่วิ่งเข้ามา
“ทำไมยิ่งใช้ถึงยิ่งโดนไล่ก็ไม่รู้!? เลย์เอาอะไรมาให้เค้าใช้กันเนี่ย!?”
“ใครใช้ให้ก็อปปี้กันเล่า!”
วิญญาณใกล้เข้ามาทุกที ถึงต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าผมปัดเป่าพวกเขาได้ แต่ถ้าโดนวิญญาณจำนวนขนาดนี้รุมเอาก็ไม่รู้จะมีจังหวะได้ยิงออกไปไหม
ไม่ต้องคุยแล้ว ปัดเป่าไปให้จบๆตรงนี้แหละ
“ไรเมย์…”
สายฟ้าควบแน่นที่ฝ่ามือ ใช้เวลารวบรวมอาคมเล็กน้อยก่อนยิง แต่คงทันพอดีก่อนวิญญาณจะถึงตัว
สไปรท์กะพริบตา
“เอ๊ะ แล้วนี่กำลังทำอะไร? อ๋อ! ท่าประสานสิเนอะ! ถ้าใช้พร้อมกันสองคนวิญญาณได้สลายเป็นฝุ่นแน่!”
สไปรท์มองผมที่กำลังจะใช้อาคมพลางคิดแบบนั้น และเธอก็ตั้งท่าแบบเดียวกับผม
ชิ*หายแล้วไง
“เดี๋ยว! หยุดก่อน! ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น!”
“แย้ก!!! อสนีบาต!!!!”
สายฟ้าพุ่งออกจากฝ่ามือผมกับสไปรท์พร้อมกัน ก่อเกิดเป็นแรงระเบิดเสียงดังตู้ม! พร้อมกับที่แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามา…
…แน่นอนว่าพวกผมสามารถไล่วิญญาณไปได้หมดจด เมื่อกลับมาที่บ้านแสตมป์ ก็พบว่าเธอออกมารอหน้าบ้านเพราะได้ยินเสียงระเบิด
“…ทำไม หลังคาบ้านร้างถึงได้…”
สายตาเธอมองไปยังบ้านร้างที่หลังคาส่วนนึงโดนอาคมระเบิดจนไม่เหลือซาก ตอนนี้จึงกลายเป็นบ้านร้างเปิดประทุนไปแล้ว
ส่วนพวกผมที่ยืนรับแรงระเบิดในระยะประชิดก็เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่น สภาพเยี่ยงผ้าขี้ริ้ว
“แล้วทั้งสองคนเป็นอะไรรึเปล่า!?”
แสตมป์ถามด้วยความกังวล
ผมปัดมือ
“ไม่เป็นไร ก็แค่…”
“วะฮะฮ่า! พวกเค้าเป่าวิญญาณจนไม่เหลือซากเล้ย!!!”
สไปรท์โอ้อวด ผมจึงขี้เกียจจะพูด
จากนั้นก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้แสตมป์ฟัง โดยสรุปก็คือไม่ต้องกังวลเรื่องวิญญาณบ้านร้างแล้ว แต่ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่าวิญญาณอยากโดนปลดปล่อยตั้งแต่แรก เพราะไม่รู้ว่าถ้าแสตมป์ได้ยินจะรู้สึกแย่หรือเปล่า
อย่างน้อยๆ ผลลัพธ์ก็คือได้ช่วยแสตมป์แล้วล่ะนะ
“เออ เรื่องค่าเสียหาย…”
แสตมป์รีบปัดมือ
“ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! บ้านนั้นถึงจะตั้งขายไว้แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของเลย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหรอก”
“ได้ยินงั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย…”
ลำพังเด็กมอสี่อย่างพวกผม จะชดเชยค่าเสียหายที่ทำหลังคาบ้านพังคงต้องรบกวนผู้ปกครอง และก็ไม่น่าใช่จำนวนน้อยๆ กล่าวคือน่าจะลำบากสุดๆ
สไปรท์คลี่ยิ้ม
“ไม่เห็นเป็นไร? ถ้าค่าเสียหายไปเบิกกับพี่คริสโตเฟอร์ก็ได้”
“จะทำงั้นได้ไงเล่า?”
“ได้จิ พี่คริสโตเฟอร์เคยบอกว่าให้ทำเคสเต็มที่ไปเลย ถ้ามีเหตุต้องชดเชยค่าเสียหายขณะทำเคส พี่เขาจะควักกระเป๋าจ่ายให้เองแหละ”
ไม่เห็นจะเคยได้ยินสักคำ แต่คงเพราะผมพึ่งเข้าสภาด้วยแหละมั้ง
“จะเข้ามาอาบน้ำก่อนมั้ย? เสื้อผ้าเปื้อนกันหมดเลย…”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกฉันกลับบ้านเลยก็ได้”
“แต่เค้าอยากอาบน้ำอะ”
“เฮ้อ…”
และพวกผมก็แยกกับแสตมป์ ถึงเธอจะอยากให้พวกผมอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ผมก็ปฎิเสธอีกครั้งพร้อมลากสไปรท์กลับมาด้วย
“พรุ่งนี้เค้าจะไปกินข้าวบ้านเลย์”
“ตามสบาย”
“ไปแน่! ไม่ได้โม้!”
จะโมโหอะไรกับการไม่ได้กินข้าวบ้านเพื่อนฟรีแบบนั้นกันเนี่ย…
สไปรท์เดินฮัมเพลง ก่อนจะครางในลำคอและมองหน้าผม
“ตั้งแต่ออกมาจากบ้านร้าง ทำไมเลย์ถามคำตอบคำจัง? เค้าทำอะไรผิดบ่นิ?”
“…”
“อ๋อ! อยากชมเค้าแต่เขินชิมิล้า? หึหึหึ เห็นมั้ยล่ะ ถึงยังไงเค้าก็เป็นสภานักเรียน แค่ไล่วิญญาณมันจะไปยากแค่ไหนกันเชียว~”
คำพูดยกหางตัวเองไม่เข้าเรื่อง ทำผมที่ตอนแรกจะฟังผ่านหูเงียบๆ หมดความอดทน
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้วว้อย! คิดว่าที่สภาพพวกเราต้องเป็นงี้เพราะใครกันหา!?”
“เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ? เลย์โกรธอะไรเนี่ย!? ท่าประสานก็ต้องรุนแรงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!?”
“ท่าประสาน? ท่าประสาน!? ไม่ใช่พระเอกการ์ตูนต่อสู้นะ!? เมื่อกี้ฉันแค่จะไล่วิญญาณเฉยๆ! ถ้าเธอไม่ยิงก็จบเรื่องแล้ว! แถมหลังคาบ้านร้างนั่นก็ไม่พังด้วย!”
ผมควบคุมอาคมให้อยู่ในรัศมีที่จะโดนแต่ฝูงวิญญาณ และยังควบคุมความแรงเพื่อให้สามารถจัดการวิญญาณได้ทุกตัวแบบพอดิบพอดี
แต่มาผิดแผนตรงที่สไปรท์ทะลึ่งยิงไปพร้อมกันนั่นแหละ ท่าประสาน เออใช่สิ ท่าประสานเกินความจำเป็นจนหลังคาเป็นรูนั่นไง! ดีที่ไม่โดนแรงระเบิดตาย!
สไปรท์อ้าปากพะงาบก่อนตะโกนกลับ
“พูดอะไรเนี่ย!? ท่าประสานก็ต้องใช้พร้อมกันไม่ใช่เหรอ? เลย์ต่างหากใช้อาคมตัวเองเป็นรึเปล่า!?”
“แล้วใครสอนให้เธอใช้แบบนั้นกัน! มันอันตรายนะเฮ้ย!”
“ไม่เห็นอันตรายตรงไหนเลย! ถ้าไม่ได้เค้าช่วย เลย์แย่ไปแล้วนะ!”
เข้าใจผิดไปไกลเลยว้อย ตอนสุดท้ายถ้าเธอไม่ช่วยก็จะจบเรื่องเรียบร้อยกว่านี้ไปแล้วต่างหาก!
ถึงวิญญาณจะเลือกคุยกับผมคนเดียว สไปรท์จึงไม่รู้เรื่องเลยทำไปแบบนั้น แต่ก็น่าหงุดหงิดอยู่ดี …เฮ้อ ถึงจะชอบก็เถอะ แต่ในด้านการทำงานแล้วไม่เอาอ่าวเลยสักนิด
และถ้าเสือสมิงใช้อาคมของคนอื่นได้ล่ะก็ ถ้าสไปรท์เกิดใช้แบบไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนครั้งนี้ อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอก็ได้…
ผมขบริมฝีปาก ทันใดนั้นเองที่มีเสียงพูด
“เรย์? สไปรท์? ทำอะไรกันอยู่เนี่ย?”
ผมหยุดเถียงกับสไปรท์และมองหาต้นเสียง
พบนักเรียนชายในเสื้อเบลเซอร์สีดำ พร้อมด้วยเส้นผมสีชมพูเด่นสะดุดตา
ผมทัก
“อ้าว? ประธาน กำลังกลับบ้านเหรอครับ?”
“พรี่คริสโตเฟอร์! หวาดดี!”
เอ…ทำไมประธานถึงถามว่าพวกผมทำอะไรอยู่กันนะ น่าจะรู้นี่นาว่าพวกผมทำเคสกันอยู่…
ประธานฉีกยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังตำหนิ
“วันแรกก็โดดงานเลยนะ”
หะ…?
ผมเลิกคิ้ว
“โดดงาน? เปล่านี่ครับ พวกผมพึ่งทำเคสเสร็จเอง”
“เคส?”
“ใช่ครับ เคส”
“…”
“…”
ชัดเลย ไอ้ที่สังหรณ์เมื่อกี้คือแบบนี้เอง…
ผมตะโกนใส่สไปรท์
“ไหนบอกว่าประธานฝากทำไม่ใช่เรอะ!? ไหงประธานถึงทำหน้าไม่รู้เรื่องแบบนั้นกันเล่า!”
“ช่วยเหลือนักเรียนก็นับว่าเป็นงานหมดแหละ! ต่อให้เค้าไม่บอกพี่คริสโตเฟอร์ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่!”
ไม่ๆ ประเด็นมันอยู่ที่เธอบอกว่าแจ้งประธานแล้วต่างหาก! แบบนี้มันพลิกลิ้นกันชัดๆ!
“งั้นก็เหมือนฉันโดดสภาแบบไม่บอกประธานเลยไม่ใช่หรือไงกัน!?”
“พี่คริสโตเฟอร์ไม่ว่าหรอก! เค้าก็โดดออกบ่อย!”
“ฉันไม่ใช่เธอสักหน่อย!”
ประธานถอนหายใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันหลังและเดินออกไป
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ฉันกลับบ้านก่อนล่ะ วันหลังถ้ามีเรื่องต้องช่วยเหลือนักเรียนแบบครั้งนี้ก็พากันไปทำได้เลย ไม่ต้องถามฉันก่อนหรอก”
“อะ เอ๋!? เดี๋ยวสิครับประธาน!”
หนีไปเฉยเลย!? ประธานว้อย!
“เย่ๆ! รอบนี้เค้าชนะแหละ!”
“ชนะบ้าบออะไร!? เงียบไปเลยนะยัยคนไม่คิดหน้าคิดหลัง!”
“หว๋ายๆ แพ้แล้วพาลแหละ!”
“บอกให้เงียบไงเล่า!”
ครั้งหน้าก่อนทำเคสกับสไปรท์ต้องไปนั่งสมาธิสักหน่อยแล้วสิ ไม่งั้นได้หงุดหงิดจนเผลอทำเธอเกลียดแน่… และถึงผมจะพูดนั่นพูดนี่ แต่ผมก็ไม่ได้โกรธสไปรท์จริงจังนักหรอก
ก็…อย่างที่รู้กันล่ะนะ
…วันต่อมา ช่วงเช้าก่อนเข้าแถว
ผมที่มาโรงเรียนเช้าก็มาวางกระเป๋าที่ห้องเรียนก่อนเพื่อรอเวลาเข้าแถว
ตามปกติก็จะนั่งเงียบๆจนถึงเวลา แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวันคือมีกลุ่มนักเรียนหญิงเดินมาที่โต๊ะผมเป็นกลุ่ม
กลุ่มเพื่อนของสไปรท์ที่ไม่มีสไปรท์อยู่ด้วยนั่นเอง แม่นั่นมาโรงเรียนสายนี่นะ
มะเฟือง แสตมป์ และอีกสองคนล้อมโต๊ะผม
“เมื่อวานเราคุยกับแสตมป์แล้วล่ะ เรย์ไล่ผีได้สุดยอดเลยเนอะ?”
“สุดยงสุดยอดอะไรกัน…ทำหลังคาบ้านเป็นรูแบบนั้น”
“คิกคิก เราก็หมายถึงเรื่องนั้นนั่นแหละ”
ตกลงคือชอบใจที่ผมระเบิดหลังคาบ้านร้างหรอกเหรอนั่น ถ้างั้นขอยกเครดิตให้สไปรท์คนเดียวเลย ผมไม่ขอรับด้วย
ส่วนแสตมป์ก็เอากระเป๋าสะพายมาด้วย ก่อนเธอจะล้วงหยิบกล่องขนมในกระเป๋าขึ้นมา
“ชะ ฉันซื้อมาให้…ตอบแทนน่ะ”
“เอาไปให้สไปรท์เถอะ สไปรท์เป็นคนรับเคส ฉันก็แค่ช่วยเพราะอยู่สภาเท่านั้นแหละ”
“สไปรท์ฉันจะตอบแทนเป็นอย่างอื่นน่ะ นี่ฉันซื้อมาเรย์โดยเฉพาะ…”
ปกติคงไม่ค่อยคุยกับเด็กผู้ชายล่ะมั้ง? แสตมป์ถึงได้ทำหน้าเขินอาย พอเป็นแบบนี้เลยนึกแปลกใจว่าทำไมถึงกล้าให้ผมเข้าห้องนอนเธอง่ายๆแบบนั้น ถึงจะมีสไปรท์อยู่ด้วยก็เถอะ
ผมรับกล่องขนมเอาไว้
“ถ้าพูดถึงขนาดนั้นก็ขอรับไว้ แต่ทีหลังไม่ต้องก็ได้ ยังไงทำเคสก็เป็นหน้าที่ของสภา…”
พูดถึงตรงนั้น มะเฟืองก็ใช้สันมือเคาะศีรษะผมด้วยป๊อก
“แสตมป์อุตส่าห์ซื้อให้ ไม่ต้องทำเท่หรอก แค่ขอบคุณก็พอ เนอะ?”
“เป็นแม่ฉันหรือไงเนี่ย…”
“เป็นหัวหน้าห้องต่างหาก”
“เฮ้อ เข้าใจแล้ว …ขอบคุณนะ แสตมป์”
“อะ อืม!”
แสตมป์ยิ้มรับ
ผมหันซ้ายหันขวา
“…ว่าแต่ พวกเธอไม่คิดจะบอกให้สไปรท์มาโรงเรียนเช้าสักวันเลยเหรอ?”
มะเฟืองส่ายศีรษะ
“โทรปลุกก็แล้ว ข้อความหาก็แล้ว แต่ถ้าเด็กคนนั้นไม่อยากมาด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ไม่สนใจอยู่ดี”
เรียกแทนเพื่อนว่าเด็กคนนั้น มะเฟืองนี่ทำตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่เกินอายุสุดๆเลยแฮะ อิทธิพลจากการเป็นหัวหน้าห้องหรือไงกัน?
เสียงเรียกเข้าแถวตอนเช้าดังขึ้น แสตมป์และเพื่อนอีกสองคนก็ออกไป น่าแปลกที่มะเฟืองปล่อยให้พวกเธอออกไปก่อน
“เรย์ไม่ไปเหรอ?”
“เธอต่างหาก รีบตามเพื่อนไปสิ”
“จ้าๆ …แค่มีอะไรอยากถามนายนิดหน่อยน่ะ …ที่เราบอกว่าอยากได้คนมานอนด้วยน่ะ ยังจำได้รึเปล่า?”
“ก็ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นเหมือนแสตมป์ก็ไว้ว่ากันไง?”
“นั่นสิเนอะ~ แหม เรย์นี่ก็หัวทึบน่าดูเลยนะ”
“ไม่ได้หัวทึบสักหน่อย เธอก็อย่าไปพูดแบบนั้นกับผู้ชายคนอื่นแล้วกัน เดี๋ยวจะโดนมองว่าเป็นคนใจง่ายเอา”
“เราพูดแบบนี้กับเรย์คนเดียวเท่านั้นแหละ”
“อ่าๆ …ว่าแต่สไปรท์จะไม่มาทันเข้าแถวจริงๆเหรอเนี่ย…”
ผมลุกขึ้นพร้อมเหลือบมองหน้าต่าง หวังว่าจะมีสักวันที่สไปรท์มาโรงเรียนเช้าเหมือนเพื่อนๆบ้าง
มะเฟืองย่นริมฝีปาก
“…เรย์นี่สนใจแต่สไปรท์เนอะ”
“? ก็อยู่สภานักเรียนเหมือนกันนี่นา?”
“จ้าๆ ไปเข้าแถวกันเถอะ”
อย่างน้อยๆ การทำเคสครั้งนี้ก็ทำให้ผมมีเพื่อนเยอะขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ถึงจะเป็นกลุ่มเพื่อนของสไปรท์ที่ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้คุย แต่พอได้มาคุยดูแล้วก็นิสัยดีกันสุดๆเลยล่ะ
เฮ้อ…เย็นนี้ไปสภาดีกว่า และก็จะลากสไปรท์ไปด้วย
ผมคิดแบบนั้นพร้อมเดินไปเข้าแถว
เคสที่ 37 เคสแรกอย่างเป็นทางการ(?)ของเรย์ /จบ