สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 69 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (2)
- Home
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 69 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น (2)
วันต่อมา
พักเที่ยง
ผมอยู่โรงอาหาร พร้อมกับกลุ่มเพื่อนในจิตตฯ
ถึงจะบอกว่ากลุ่มเพื่อน แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรมาก ยิ่งกับผมที่ไม่ค่อยพูดแล้วด้วยนั้น การที่พวกเขายังชวนผมมากินข้าวกลางวันทุกวันแบบนี้ก็นับว่าเป็นคนดีกันน่าดู
“เฮ้ย…นั่นมันไอ้กระหังนักเลงนี่หว่า”
เสียงนินทาจากนักเรียนที่เดินผ่าน พร้อมกับท่าทีรังเกียจ
พวกเขาพูดเพียงแค่นั้นและก็เดินจากไป
หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องของผมเอ่ย
“ไม่ต้องสนใจหรอกนะต้น กินข้าวเถอะ”
“อ่า”
ผมได้ยินคำนินทาจนชินหู ที่จิตตฯไม่ค่อยมีเด็กเกเรที่ถึงขั้นต่อยตีกับโรงเรียนอื่นเลย ถึงจะมีเฮี้ยวๆบ้าง แต่ก็นับว่าอยู่ในขอบเขต
เพราะอย่างนั้น สำหรับตัวผมที่คบกับโพธิ์ อีกทั้งยังไล่ตีกับสถาบันระหว่างมนุษย์ธรรมดาด้วยกันแล้ว จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านก็ไม่แปลก
เด็กหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ย
“แต่ก็นะ ฉันเป็นห่วงนายนะต้น พวกเราเป็นภูตผี ไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องของคนธรรมดา…”
“อ่า ขอบคุณที่เตือน”
ผมโดนเตือนเช่นนี้หลายครั้ง และแน่นอนว่าผมก็ตอบกลับไปแบบขอไปทีทุกครั้ง
เข้าใจอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ว่า…ผมก็แค่อยากช่วยเพื่อนของผม
เด็กหนุ่มก็พูดเพียงแค่นั้น ตัวเขาทราบดีว่าไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมากไปกว่านี้ กระนั้น…ถึงจะเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้น เขาก็ยังนึกเป็นห่วง
ซึ่งก็อย่างที่ว่าไป
ผมแค่อยากช่วยโพธิ์
เมื่อกินข้าวเสร็จ ผมก็ลุกขึ้น
“…เดี๋ยวฉันเก็บจานให้”
“ไม่ต้องหรอกต้น! นายเก็บให้พวกฉันทุกวันเลยไม่ใช่เหรอ!?”
“ไม่เป็นไร ฉันต้องไปซื้อน้ำพอดี”
ผมมักจะอาสาเก็บจานให้ทุกวัน …อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกอยากขอบคุณที่ยังชวนผมมากินข้าวด้วยกันล่ะมั้ง…
หลังจากเก็บจานเสร็จ ผมก็จะแวะซื้อน้ำและแยกกับกลุ่มเพื่อนทันที
…น่าแปลกที่ต้องต่อคิว
ปกติร้านน้ำก็แค่ซื้อน้ำ ถึงจะมีขนมให้ซื้อด้วย แต่ก็แตกต่างจากร้านอาหารที่ต้องใช้เวลาในการทำ เพราะงั้นจึงน่าแปลกที่ผมต้องรอคิวกับการซื้อน้ำ…
ด้านหน้าคือเด็กสาวผมสีขาวสว่าง สวมเสื้อฮู้ดสีม่วงทับชุดนักเรียน
แล้วที่ไหล่นั่น…ลูกเจี๊ยบ…เหรอ?
ระหว่างสงสัยเช่นนั้น เด็กสาวก็หันกลับมาพร้อมกับแพ็คขนมที่อุ้มด้วยมือทั้งสองข้างจนเหมือนจะล้มได้ทุกเมื่อ
ดวงตาสีม่วงที่มองลอดแพ็คขนมจ้องผมสักพักก่อนเอ่ย
“…ขอโทษที่ให้รอค่ะ”
“อะ อืม ไม่เป็นไร”
“…..”
เด็กสาวพูดเพียงแค่นั้นและเดินหายไป
…ซื้อเยอะจัง ไปจัดงานเลี้ยงกับเพื่อนหรือไงกัน? แล้วก็เป็นเด็กที่ดูเงียบๆด้วย
ผมใช้เวลาไม่นานในการซื้อน้ำเปล่าหนึ่งขวด แต่ในช่วงพริบตาก่อนจะเดินออกจากร้าน…
เสียงเท้าหนักๆจากด้านข้าง
ไม่ทันที่จะได้หันกลับไปมองว่าใช่เพื่อนของผมเดินมาตามหรือไม่…
“ด้วยนามแห่งข้า…”
.
.
.
“อะ อ้าว?”
ผมอยู่ที่ห้องเรียน
เพื่อนร่วมห้องนั่งประจำที่อย่างทุกที ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ด้านหน้าชั้นเรียน …หมดพักเที่ยงไปตั้งนานแล้ว แถมยังใกล้จะจบคาบนี้แล้วด้วย
อาการปวดศีรษะแปล๊บๆ
…ไม่ใช่ว่าเราอยู่ร้านขายน้ำหรอกรึ?
ถึงจะสงสัย แต่สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่สามารถทำให้ผมตั้งคำถามต่อได้
ราวกับว่าช่วงเวลาตั้งแต่ที่ผมอยู่ร้านน้ำจนมากลับมาถึงห้องเรียนโดนลบหายไป
“…โดนใครแกล้งรึเปล่า”
ผมพึมพำแบบนั้น
ที่นี่คือโรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับ อาจจะมีใครแกล้งเล่นพิเรนทร์ก็เป็นได้ จึงไม่ต้องไปนึกใส่ใจ เพราะคงไปจับมือใครดมไม่ได้
…ควรจะคิดแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับติดใจมากพอดู
…ความฉงนยังไม่หายไป แม้จะถึงช่วงเลิกเรียนแล้วก็ตาม
ในเมื่อใช้เวลาคิดตั้งหลายชั่วโมงเพื่อให้หายข้องใจก็ยังทำไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจปล่อยเรื่องนั้นไว้เบื้องหลัง
วันนี้เราต้องไปช่วยโพธิ์นี่นะ
ผมที่นึกได้แบบนั้นก็รีบเก็บกระเป๋า ออกจากห้องเรียนเพื่อไปพบโพธิ์ที่จุดนัดพบ…
“ต้น!”
เสียงเรียกนั่น เป็นเสียงผู้หญิง
“…น้ำ?”
เด็กสาวผีไร้หัวที่อยู่ชั้นปีเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กทักผมแบบนั้น
ผมไม่ได้คุยกับเธอหลายปี ทำไมถึงได้มาทักเอาวันนี้…
รู้สึกไม่ค่อยดีเลย วันนี้มันวันอะไรกัน…
น้ำผสานมือพลางเอ่ย
“นะ นายจะกลับบ้านเหรอ?”
เนื่องจากไม่ได้คุยกันนานนม ผมจึงไม่รู้ว่าควรจะใช้น้ำเสียงเช่นไรในการโต้ตอบ
สุดท้ายก็เลยเลือกใช้น้ำเสียงทั่วไปเหมือนคุยกับเพื่อนร่วมโรงเรียน
“อ่า…”
“จะกลับบ้านจริงๆใช่มั้ย!?”
เธอเซ้าซี้
เหมือนรู้ว่าผมมีจุดหมายอื่นที่ไม่ใช่กลับบ้าน
ผมหรี่ตา
“…อะไรของเธอ?”
น้ำได้ยินเช่นนั้น ก็เหมือนจะรู้ตัว ใช่…พวกผมไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน แม้จะเข้าเรียนที่จิตตฯเหมือนกัน แต่พวกผมก็ไม่เคยได้คุยกัน
จู่ๆมาถามแบบนั้น น้ำจึงไม่แปลกใจที่ผมแสดงท่าทีห่างเหินเช่นนี้
“ฉันเข้าใจว่าเราไม่ได้สนิทกันเหมือนก่อน แต่ว่า…นายช่วยตอบคำถามฉันมาเถอะนะ”
“…”
“นายจะกลับบ้านจริงๆใช่มั้ย?”
…น่ารำคาญ
ทำไมถึงได้น่ารำคาญแบบนี้กันนะ
ผมพ่นลมหายใจ
“ฉันจะไปไหนแล้วเกี่ยวอะไรด้วย?”
“นั่นไง! ไม่ได้จะกลับบ้านสินะ!”
“จะเสียงดังทำไม…”
“ฉันรู้นะว่าช่วงนี้นายไปยุ่งกับเด็กเกเรโรงเรียนอื่นน่ะ!”
คำพูดนั้นทำผมไหล่กระตุก
…ไม่คิดเลยว่าอย่างเธอจะมาตัดสินผมเหมือนเจ้าพวกชอบนินทาพวกนั้น
“เรื่องของฉัน…”
“จะคบใครก็เลือกให้มันดีๆหน่อยเถอะ! นายเป็นกระหัง จะไปเที่ยวทำร้ายคนธรรมดาแบบนั้นได้ไง!?”
น้ำตะโกนเสียงดังจนนักเรียนรอบๆหันมองเป็นตาเดียว
“เพื่อนเลวๆแบบนั้นเลิกคบไปซะเถอะ! ถือว่าฉันเตือนนายนะต้น!”
“…มีสิทธิ์อะไร? ฉันกับเธอเป็นเพื่อนกันหรือไง?”
“…อ๊ะ”
คำพูดของผม ทำน้ำผงะ
ผมโมโหที่น้ำมาว่าร้ายเพื่อนสนิท
“แล้วเธอที่แอบขโมยข้อสอบไปขาย ยังมีหน้ามาตำหนิฉันอีกรึ? ถ้าจะเอาเวลามาแส่ไม่เข้าเรื่อง ไปปรับปรุงตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”
“ฉันก็แค่…”
“เงียบได้แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ”
ผมลั่นคำขาดไปแบบนั้น
ต่อให้จะเป็นน้ำ แต่ในปัจจุบัน เธอไม่มีอำนาจที่จะมาสั่งสอนในการเลือกคบเพื่อนของผม
ผมรู้ดีว่าโพธิ์ไม่ใช่คนดีมากมาย แต่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อน
น้ำก้มหน้า
ถึงจะไม่มีศีรษะ แต่รู้สึกได้ว่าเธอกำลังร้องไห้
ผมเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์
…จะสายอยู่แล้ว ต้องรีบไปหาโพธิ์
จังหวะที่ผมหันตัวกลับ
แรงกดดันที่เหมือนกับความมืดก็คืบคลานรดต้นคอ แรงกดดันจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“หืม…ทำไมลูกน้องฉันถึงสภาพแบบนั้นกันล่ะเนี่ย?”
ฝ่ามือสัมผัสไหล่ผมเบาๆ พร้อมพูดเช่นนั้น
ผมก้มมองเจ้าของฝ่ามือ
อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา
“กระหังสินะแก? ทำอะไรลูกน้องฉันไม่ทราบ?”
ดวงตาสีดวงสดพร้อมด้วยวงเวทสลักดวงตา เด็กหนุ่มในชุดเบลเซอร์ที่ผมเห็นคุยกับน้ำเมื่อวานนี้
“นะ น้องคริส…”
น้ำเรียกเด็กหนุ่มแบบนั้น
ผมสะบัดไหล่ จนเด็กหนุ่มยกมือออก
เด็กกว่าเราสินะ…
“ฉันไม่ได้ทำอะไร แค่ยัยนั่นมาพูดจาไม่เข้าเรื่อง แล้วน้องเป็นใคร?”
“เห…วันนี้ไม่หลบตาเรอะ?”
“อึก…!”
“เอาเถอะ…ฉันเข้าใจอยู่ว่าผีไร้หัวนั่นทำอะไรโดยใช้หัวคิดไม่ค่อยเป็น เพราะงั้นจะไม่เอาเรื่องแล้วกัน”
ผมขบริมฝีปาก
“พูดจายิ่งใหญ่จริงนะ …เป็นเพื่อนของน้ำใช่มั้ย?”
“ไม่ชอบเรอะ?”
“อย่างน้อยคุยกับรุ่นพี่ก็มีมารยาทซะบ้าง”
“ฮะฮะ ไปติดการแบ่งลำดับชั้นแบบนั้นมาจากเพื่อนโรงเรียนอื่นหรือไง? ไอ้นักเลง”
คำพูดนั้นทำผมสูญเสียการควบคุมตัวไปชั่วขณะ
ผมต่อยไปที่เด็กหนุ่มเสื้อเบลเซอร์เต็มแรง
เด็กหนุ่มเซถอยหลัง ก่อนจะช้อนสายตาที่แหลมคมราวกับมีดขึ้นมา
“…นี่แก”
ผมเกือบจะพูดขอโทษออกไป แต่ก็นึกได้ว่าฝั่งโน้นพูดจาไม่ดีมาก่อน
ผมจ้องตากับเด็กหนุ่ม
“น้องคริสคะ!”
น้ำตะโกนลั่น
เด็กหนุ่มลดสายตาลงก่อนจะผายมือ
“เฮ้อ…เข้าใจแล้ว เมื่อกี้ฉันพูดไม่เข้าหูเอง โทษที”
“อ่า…”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันหมดธุระกับแกแล้ว …ตอนนี้น่ะนะ”
ช่างเป็นรุ่นน้องที่พูดจาน่าหงุดหงิด ครั้นจะให้เถียงไปมากกว่านี้ก็ป่วยการ ผมจึงตัดสินใจเดินจากมาทั้งๆแบบนั้น
ตอนนี้…งั้นเหรอ
คำพูดดังกล่าวทำผมรู้สึกตะหงิดเล็กน้อย แต่ตอนนี้ต้องรีบไปหาโพธิ์ สายมากแล้ว…
เมื่อมาถึง โพธิ์พร้อมกับกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันหลายสิบคนก็เอ่ยทัก
“ช้ามาก! เฮ้ย…ทำไมหน้าเป็นตูดงั้นล่ะต้น?”
“…ไม่มีอะไร”
“ไม่มีก็แย่แล้วเถอะ โดนใครเขาหาเรื่องมาหรือไง?”
แค่โดนเจ้าหัวชมพูกวนประสาทนิดหน่อยเอง แถมเราก็ต่อยไปแล้วด้วย ไม่มีอะไรติดใจพอจะต้องมาปรึกษาหมอนี่แล้วล่ะ
โพธิ์กอดอก
“เฮ้อ นายเนี่ยนะ ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า ฝั่งนั้นน่าจะมารอกันแล้ว สถานที่ก็…”
พอโพธิ์ว่า ผมก็พยักหน้าให้
“ต้น นายทำอะไรน่ะ?”
ผมหลุดจากภวังค์ เมื่อได้ยินคำถามนั้น
“…เปล่า”
เพราะผมก็พึ่งรู้สึกตัวได้เมื่อกี้เองว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำไปทำไมกันนะ…วันนี้ช่างแปลกจริงๆ
จากนั้น พวกผมเดินทางไปยังสถานที่นัดพบกับสถาบันคู่อริ
…ลานกว้างที่อยู่ลับตา อยู่ห่างจากเขตอยู่อาศัยมาไกล มองเห็นว่าเดิมทีมันเคยเป็นสนามเด็กเล่นมาก่อน แต่เพราะกาลเวลา สถานที่นี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นราวกับที่ทิ้งขยะ
กลุ่มของพวกผมเดินเข้ามาโดยมีผมกับโพธิ์อยู่ด้านหน้า
ส่วนฝั่งตรงข้ามที่ยืนประจันหน้า ก็คือหัวโจกของสถาบันคู่อริที่เห็นหน้ามานักต่อนัก
“หึ พาไอ้ผีมาด้วยสินะ โพธิ์”
“อะไร? ถ้ารู้สึกว่าโกงก็หามาช่วยบ้างสิ โอ๊ะ…ลืมไป เคยส่งมาคนนึงแต่ก็ไม่ไหวอยู่ดีนี่หว่า”
“ก็แค่ผีเด็กมอสาม ที่จริงก็พอรู้อยู่แล้วว่าไม่ไหว แต่ก็มีคิดว่าจะโดนหนักขนาดนั้น”
พอหัวโจกฝั่งคู่อริพูด ผมก็เผลอถามออกไป
“น้องคนนั้น…เป็นยังไงบ้าง?”
โพธิ์ส่งสายตาประหลาดใจมาทางผม
หัวโจกคู่อริตอบ
“สนใจด้วยเรอะ? จะเป็นอะไรซะอีกล่ะ แกเล่นเตะหมอนั่นซะคิ้วแตก”
“…”
“อยากขอโทษหรือไง? อย่ามาทำตลก เดี๋ยววันนี้แกกับเพื่อนๆก็จะได้เจ็บตัวเหมือนกัน”
สิ้นคำ ฝั่งคู่อริก็กรูเข้ามา
พวกของโพธิ์ก็ไม่ยอมเช่นกัน ดาหน้าเข้าสู้ทันที
มีแต่ผมที่ยังยืนนิ่ง พร้อมมองภาพเด็กนักเรียนจากสองสถาบันชกต่อยกันอย่างบ้าคลั่ง…
“ต้น! เหม่ออะไรอยู่เนี่ย!?”
โพธิ์ตะโกนกลับหลัง
ผมส่ายศีรษะแรงๆ และเข้าชกกับคู่อริ
“หนอย! ไอ้กระหัง!”
เพียงแค่ไม่กี่หมัด แม้จะออมแรง แต่ก็ทำให้คู่อริลงไปคู้ตัวกับพื้น
ภาพตรงหน้าวุ่นวายเข้าไปทุกที เด็กนักเรียนจากสองสถาบันเข้าชกต่อยกันอย่างบ้าคลั่งราวกับอยู่ในสงคราม ฝุ่นควันตลบอบอวน กลิ่นอับๆของเหงื่อ กลิ่นเลือดที่ลอยเข้าจมูก
…ความรู้สึกล่องลอย
เหมือนกับได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ
ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่…
…จู่ๆ ทุกอย่างก็ประดังเข้ามา
ทั้งคำนินทาของนักเรียนในจิตตฯ
ทั้งคำพูดของน้ำ
ทั้งใจจริงของตัวผมที่รู้ดีว่าที่กำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง…ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้เอาวันนี้กัน…
“ตายซะ!”
“มาสิวะไอ้บัดซบ!!!”
เสียงด่าทอ
เสียงแห่งความวุ่นวาย
…ที่เราต้องการก็แค่อยากช่วยโพธิ์
แต่ว่า…มันผิด
รู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำแบบนี้แล้ว แล้วทำไมเราถึงได้มาลังเลเอาตอนนี้กัน
เพราะคำพูดของน้ำงั้นเหรอ…?
หรือว่าจู่ๆ ก็ดันคิดได้ขึ้นมา…?
ระหว่างเหม่อลอยราวกับว่าตัวกับจิตใจไปคนละทาง ผมก็โดนต่อยเข้าที่ใบหน้า
“ฮะฮ่า! ไอ้กระหังมันก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า”
ตามปกติผมคงหันไปสวนให้หุบปากไปแล้ว
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร อีกฝ่ายก็แค่มนุษย์ธรรมดา
เรา…มีสิทธิ์ทำร้ายพวกเขา…จริงๆเหรอ…?
ผมเชิดหน้าขึ้นมา แต่ไม่ได้ตอบโต้
“งั้นฉันขอใส่เต็มเลยละกัน! ไอ้กระหัง!”
พอว่าแบบนั้น อีกฝ่ายก็เรียกคนอื่นมาชวนรุม ผมโดนทั้งหมัดทั้งส้นเท้าที่แฝงด้วยความพยาบาท
“ต้น!”
โพธิ์ละจากศัตรูตรงหน้าและวิ่งเข้ามาช่วย
ที่จริงการต่อยตีกันเช่นนี้ โดยปกติก็เป็นการตะลุมบอนอยู่แล้ว แต่ว่า…ในเมื่อผมไม่ได้ตอบโต้ ฝั่งนั้นที่คนเยอะกว่าจึงได้เปรียบขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นการต่อสู้ที่มีผมเป็นศูนย์กลาง ดูเหมือนฝั่งนั้นจะอยากจัดการผมให้ได้ก่อน
ผมเห็นเพื่อนๆ ล้มลงไปเรื่อยๆ
ผมเห็นโพธิ์ที่กัดฟันแต่ก็รัวกำปั้นใส่คนที่พยายามทำร้ายผม
โพธิ์เป็นเพื่อน…
…แต่ว่า ผมควรช่วยเพื่อนด้วยการทำเช่นนี้จริงๆน่ะหรือ?
“ต้น! ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นบ้าอะไร!? แต่พวกเราจะแพ้แล้วนะ!”
โพธิ์พูดด้วยเสียงโมโห
…นั่นสินะ มาถึงขั้นนี้แล้ว จู่ๆจะมาคิดได้อะไรเอาป่านนี้
นี่ไม่ใช่เวลามายืนเฉยๆให้โดนต่อย
สัญญา…ผมสัญญาเลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำร้ายมนุษย์ธรรมดา
ตอนนี้ ผมต้องช่วยเพื่อน…
พริบตาที่ผมง้างหมัด…
“ถ้าต่อยอีกหมัดล่ะก็ ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
…เสียงนั่น เรียบราบเหมือนปลิวมากับสายลม
เสียงนั่น ทำให้สายตาทุกคู่หยุดการเคลื่อนไหว
เสียงนั่นเดินเข้ามาตรงกลาง ท่าทีอย่างกับเดินเล่นในสวนบ้านตัวเอง ทั้งที่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะสบายใจได้แบบนั้น
เส้นผมสีชมพูพร้อมด้วยเขาสีแดงสดทั้งสองข้างบนศีรษะ เสื้อเบลเซอร์สีดำ
ก่อนที่ร่างนั้นจะหยุดในท่ายืนล้วงกระเป๋ากางเกง
“ไม่ไหวๆ อ่อนแอกันขนาดนี้ จะตีกันเพื่อหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดเนี่ยนะ? น่าหัวเราะชะมัด พวกมนุษย์นี่”
“ใครวะ?”
หัวโจกคู่อริมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหาเรื่อง
เด็กหนุ่มพูดต่อ
“คิดว่าสวะที่เก่งสุดมันสุดยอดขนาดนั้นเลยหรือไง? ยินดีด้วยนะ ขยันตีกันเพื่อหาความเป็นที่หนึ่งของพวกขยะเนี่ย ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ”
ทุกสายตามองด้วยความสงสัยอย่างถึงที่สุด
ต้องเป็นไอ้บ้าขนาดไหนที่กล้ามาพูดจาดูถูกคนเกือบครึ่งร้อยด้วยท่าทางแบบนั้นกัน
ผมตาค้าง
“…คริส…?”
“หืม? รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ? จำได้ว่ายังไม่เคยบอกนี่นา”
ก่อนที่ผมจะได้ตอบคำถาม หัวโจกคู่อริก็ตะโกน
“เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หรอกโว้ย! เป็นพวกของไอ้โพธิ์ใช่มั้ยหา!?”
ไม่ทันที่โพธิ์จะได้พูดอะไร เด็กหนุ่มก็ตอบขึ้นมาก่อน
“ไม่ใช่ ฉันไม่มาล่มหัวจมท้ายกับนักเลงหรอก…”
เด็กหนุ่มพูดถึงตรงนั้นก็จับไปที่ปลอกแขนสีแดงและดึงให้ตึง
จากนั้นก็แนะนำตัว
“…ฉันคือรองประธานนักเรียน คริสโตเฟอร์ จำใส่สมองน้อยๆของพวกแกไว้ซะ”
เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สอง พี่ต้น /มีต่อ