สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1458 สู้กันสักยก
ตอนที่ 1458 สู้กันสักยก
ซือหม่าผิงเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อมีท่าทีอึกอัก ทว่า ไม่ได้มีวี่แววกังวลจึงเงยหน้ามองไปทางแผ่นหลังของไป๋ชิงเหยียน ไป๋ชิงเหยียนเป็นจักรพรรดินีของต้าโจวนางคงรู้ข่าวของหลู่เฟิ่งหลางแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้หลู่เฟิ่งหลางคงปลอดภัยดีแล้ว
ซือหม่าผิงคิดได้ดังนี้จึงวางใจลงไม่น้อย เขามองไปทางไป๋จิ่นจื้อแล้วกล่าวขึ้น
“ครั้งนี้เจ้าจะขึ้นเรือไปยังแคว้นตงอี๋พร้อมกับฝ่าบาทหรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว สงครามทำลายล้างแคว้นตงอี๋จะขาดไป๋จิ่นจื้อไปได้อย่างไรกัน!”
เมื่อเอ่ยถึงสงครามแววตาของไป๋จิ่นจื้อเปล่งประกายราวกับมีไฟลุกโชนในดวงตา เลือดในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นทันที
“แคว้นเล็กอย่างตงอี๋กล้าลงมือกับต้าโจวตอนที่ต้าโจวกำลังเดิมพันแคว้นกับต้าเยี่ยน หากไม่ทำสงครามให้พวกนั้นย่อยยับก็อย่างมาเรียกข้าว่าไป๋จิ่นจื้อเลย!”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้!”
ซือหม่าผิงกล่าวยิ้มๆ
“ข้าจะรอดูว่าเกาอี้อ๋องของพวกเราจะล่อทหารฝ่ายศัตรูหนีมาทางพวกเราได้อย่างไร หยวนเผิง…พวกเราต้องเตรียมรับมือให้ดีนะ!”
“ได้! พวกเจ้ารอข้าพาทหารศัตรูกว่าหมื่นนายขี่ม้ากลับมาหาพวกเจ้าแล้วกัน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าอย่าหวาดกลัวไปก่อนล่ะ อย่าเสียแรงที่ข้าเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้สร้างผลงานของตัวเอง!”
“พวกเราขอขอบคุณเกาอี้อ๋องล่วงหน้า”
ซือหม่าผิงแสร้งกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
ไป๋จิ่นจื้อกลอกตาใส่ซือหม่าผิง ทว่า ความจริงนางชอบอยู่กับซือหม่าผิงและหลู่หยวนเผิงมาก นางรู้สึกมีอิสระและเป็นตัวของตัวเองมากกว่าตอนอยู่ในเมืองหลวง
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคือคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวง ตอนนี้คนในเมืองหลวงมีพวกเจ้าเป็นแบบอย่างแล้ว…”
ไป๋จิ่นจื้อกล่าวถึงเรื่องนี้ก็อดรู้สึกภูมิใจขึ้นมาไม่ได้
“พวกเขากล่าวว่าคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมีที่ยืนในกองทัพไป๋จริงๆ”
เห็นได้ชัดว่ากองทัพไป๋มีความสำคัญในสายตาของคนตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมากจริงๆ
“จริงหรือ!”
หลู่หยวนเผิงไม่ได้สังเกตความภาคภูมิใจในน้ำเสียงของไป๋จิ่นจื้อ เขากล่าวอย่างใช้ความคิด
“ตอนนี้ข้ากลายเป็นแบบอย่างของผู้อื่นแล้วหรือ เช่นนั้นท่านปู่คงต้องมองข้าใหม่แล้วสินะ กลับไปครั้งนี้เขาคงไม่ให้ข้าไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนแล้วกระมัง หากครั้งนี้ข้าช่วยพี่สาวกลับไปได้ ท่านปู่จะยิ่งเอ็นดูข้าใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่สาวของข้าเป็นเช่นไรบ้าง…”
หลู่หยวนเผิงกล่าวพลางสะอื้นออกมา
ไป๋จิ่นจื้อ “…”
“พี่สาวหลู่ปลอดภัยดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ไป๋จิ่นจื้อไม่เคยชินกับท่าทีของหลู่หยวนเผิงในตอนนี้สักเท่าใดนัก นางเคยเห็นหลู่หยวนเผิงร้องไห้มาก่อนนางจึงไม่อยากให้เขาร้องไห้ออกมาตอนนี้ นางไม่ชอบเห็นน้ำตาของผู้อื่นจึงบอกความจริงออกไป
“จริงหรือ!”
หลู่หยวนเผิงควบม้าเข้าไปใกล้ไป๋จิ่นจื้อทันที
“พี่สาวไป๋ได้ข่าวของพี่สาวข้าอย่างนั้นหรือ!”
“ไม่บอก!”
ไป๋จิ่นจื้อเหลือบมองหลู่หยวนเผิงแวบหนึ่ง จากนั้นขี่ม้าตรงไปหาพี่สาวของตัวเอง
“เสี่ยวซื่อตระกูลไป๋ เจ้าใจแคบยิ่งนัก!”
หลู่หยวนเผิงเห็นไป๋จิ่นจื้อเร่งความเร็วม้าจึงรีบขี่ม้าตามหลังไปทันที
ซือหม่าผิงมองตามแผ่นหลังของคนสองคนไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน หากสองคนนั้นรักกันจริงๆ เขาจะยอมถอยออกมาเอง…
ไม่นานทุกคนจึงเดินทางไปถึงเมืองจินกว่าน
คืนนี้ไป๋ชิงเหยียนจะพักที่เมืองจินกว่าน ไป๋ชิงเจวี๋ยจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว เจ้าเมืองจินกว่านสั่งให้คนเก็บกวาดจวนเจ้าเมืองจนสะอาดเรียบร้อย เขายกเรือนฝั่งตะวันออกของจวนให้กลุ่มของไป๋ชิงเหยียนพักอาศัย อีกทั้งกำชับคนในครอบครัวว่าห้ามไปรบกวนเรือนฝั่งตะวันออกเด็ดขาด นายอำเภอเพิ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ฝ่าบาทอาจยังพิโรธอยู่ เจ้าเมืองสั่งให้คนในครอบครัวมีสติ ห้ามก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในเวลานี้เด็ดขาด
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้รีบร้อนไปพักผ่อน เมื่อเดินเข้าไปในโถงรับรองก็สั่งให้คนพาฟ่านอวี้กานที่รอนางอยู่นานแล้วเข้ามาด้านในทันที
“พี่สาวไป๋!”
หลู่หยวนเผิงก้าวไปคุกเข่าลงด้านหน้าด้วยความร้อนใจ จากนั้นเอ่ยขอร้อง
“พี่สาวไป๋ พี่สาวของข้าต้องถูกคนตงอี๋จับตัวไปแน่ขอรับ หลู่หยวนเผิงขออนุญาตนำทัพเล็กไปช่วยเหลือพี่สาว ใต้เท้าหลิ่วและรับร่างของหานเฉิงอ๋องกลับมาก่อนขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของหลิ่วหรูซื่อและหานเฉิงอ๋อง หากข้าอนุญาตให้เจ้านำทัพเล็กไป แคว้นตงอี๋จะรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเจ้าทันที อันตรายเกินไป”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบจึงบอกหลู่หยวนเผิงเรื่องของหลู่เฟิ่งหลาง
“พี่สาวของเจ้าถูกชาวประมงช่วยชีวิตไว้ได้ ทว่า ชาวประมงที่ช่วยชีวิตพี่สาวของเจ้าไว้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับชาวประมงที่หานเฉิงอ๋องสละชีพปกป้องไว้ พวกเขาแอบออกไปหาปลาโดยไม่แจ้งทางการ ต่อมาทางการตรวจเรื่องนี้อย่างเข้มงวดชาวประมงปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพราะกลัวจะมีความผิด เขาใช้เพียงยาที่ตกทอดกันมาในตระกูลรักษาพี่สาวของเจ้าดังนั้นตอนนี้พี่สาวของเจ้าจึงยังไม่ฟื้น”
ตอนที่แคว้นตงอี๋เริ่มก่อความวุ่นวายหานเฉิงอ๋องมีคำสั่งให้ชาวบ้านสลับกันออกไปหาปลาในทะเล
ชาวประมงที่ช่วยชีวิตหลู่เฟิ่งหลางไว้คือชาวประมงกลุ่มแรกที่ได้ออกไปหาปลา ทว่า พวกเขารออยู่นานก็ยังไม่ถึงตาพวกเขาออกไปหาปลาอีกครั้งเสียที คนในครอบครัวของพวกเขารอต่อไปไม่ไหวแล้วจึงแอบออกทะเลไปเอง โชคดีที่พวกเขาแอบออกทะเลไป มิเช่นนั้นหลู่เฟิ่งหลางคงกลายเป็นศพอยู่กลางทะเลไปแล้ว
“จริงใช่หรือไม่ขอรับ! แล้ว…ตอนนี้พี่สาวของข้าอยู่ที่ใดขอรับ ข้าจะไปรับพี่สาวของข้ากลับมาขอรับ”
หลู่หยวนเผิงตื่นเต้นจนดวงตาแดงก่ำ ช่วงนี้เขาใช้ชีวิตด้วยความทรมานทุกวัน
“ไม่ต้องเป็นห่วง พี่หญิงใหญ่ให้คนไปรับพี่สาวหลู่กลับมาแล้ว ตอนนี้นางอยู่ที่โรงหมอที่ดีที่สุดในเมืองจินกว่าน อีกไม่กี่วันท่านหมอหงก็มาถึงแล้ว นางไม่มีทางเป็นอันใดแน่นอน”
ไป๋จิ่นจื้อที่ยืนเอามือไว้หลังเห็นหลู่หยวนเผิงกำหมัดทั้งสองข้างจนแดงก่ำจึงกล่าวออกมาอย่างปลอบใจ
ไป๋จิ่นจื้อนึกถึงตอนนี้ที่พี่หญิงใหญ่แกล้งเจ็บหนักหลังจากช่วยชีวิตรัชทายาทของต้าจิ้น แม้ต่อมานางจะรู้ว่าพี่หญิงใหญ่แกล้งจัดฉาก ทว่า ตอนแรกนางตกใจมากจริงๆ คนเข้มแข็งอย่างนางยังกอดพี่หญิงแน่นพลางร้องไห้ออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหลู่หยวนเผิงที่จิตใจเป็นสาวน้อยและชอบร้องไห้คนนี้เลย
“เสี่ยวซื่อ เจ้าพาหลู่หยวนเผิงและซือหม่าผิงไปเยี่ยมหลู่เฟิ่งหลางที พวกเขาสองคนจะได้คลายกังวล”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางไป๋จิ่นจื้อที่ยืนอยู่ข้างซือหม่าผิง
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ซือหม่าผิงกล่าวออกมาเป็นคนแรก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
หลู่หยวนเผิงรีบกล่าวตาม
ไป๋จิ่นจื้อเดินออกไปจากโถงรับรองเป็นคนแรก หลู่หยวนเผิงได้สติจึงรีบทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและวิ่งตามออกไปทันที
“เสี่ยวซื่อตระกูลไป๋ เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่สาวของข้าปลอดภัยใช่หรือไม่ เจ้าช่างใจร้ายนัก เหตุใดจึงไม่บอกให้ข้ารู้ตั้งแต่แรก เจ้ามองดูข้าเสียใจอยู่เฉยๆ อย่างนั้นหรือ เสี่ยวซื่อตระกูลไป๋…เจ้าไม่คู่ควรเป็นสหายของข้าจริงๆ”
“ผู้ใดให้เจ้าทำตัวน่ารำคาญเช่นนี้ล่ะ ข้าไม่บอกเจ้าแล้วจะทำอันใด! เจ้าจะสู้กับข้าสักยกอย่างนั้นหรือ!”
เสียงใสของไป๋จิ่นจื้อดังมาจากด้านนอก ต่อมาซือหม่าผิงและหลู่หยวนเผิงพบฟ่านอวี้กานที่ด้านนอก ทั้งสามทักทายกันเล็กน้อย