สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1386 กองทัพไป๋
ตอนที่ 1386 กองทัพไป๋
จอมเวทย์เบิกตาโพลง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ชิงเหยียนจะรู้วิธีการย้อนเวลาผ่านการคาดเดาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์เช่นนี้
ขณะย้อนเวลากลับไปมีเพียงคนที่ถือหยกจักจั่นตัวผู้อยู่ในมือเท่านั้นที่สามารถจำเรื่องราวทุกอย่างได้ ดังนั้นซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจึงไม่กล้าทำลายหยกจักจั่นตัวเมียให้แตกตอนที่ยังไม่มีหยกจักจั่นตัวผู้อยู่ในครอบครอง
จอมเวทย์มองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างจริงจัง จู่ๆ ในสมองของเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา…
อาจเกิดการย้อนเวลาขึ้นแล้วตอนที่ไป๋ชิงเหยียนมีหยกจักจั่นตัวผู้อยู่ในครอบครอง ดังนั้น…นางจึงรู้ความลับของการย้อนเวลา
“เจ้า…”
จอมเวทย์มองพิจารณาไป๋ชิงเหยียนด้วยความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ไป๋ชิงเหยียนนั่งยืดกายตรง ในที่สุดนางก็เข้าใจสิ่งที่สงสัยมาโดยตลอดแล้ว
ที่แท้การย้อนเวลาทำได้เช่นนี้เองสินะ
นางเดาว่าตอนที่นางเสียชีวิตในชาติที่แล้วมีคนทำหยกจักจั่นตัวเมียแตกพอดี
เมื่อนำมารวมกับคำกล่าวทั้งหมดของจอมเวทย์ไป๋ชิงเหยียนจึงคิดว่าการคาดเดาของนางมีเหตุผล มีนางคนเดียวเท่านั้นที่จำเรื่องทุกอย่างหลังย้อนเวลากลับไปได้ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเอ่ยถามจอมเวทย์หรือซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นว่าเคยมีคนทำหยกจักจั่นตัวเมียแตกมาก่อนหรือไม่
“ฝ่าบาท ท่าน…”
จอมเวทย์ยังไม่ทันกล่าวสิ่งใดออกมาก็สบกับดวงตาคมกริบของไป๋ชิงเหยียนเสียก่อนจึงกล่าวสิ่งใดต่อไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ข้ารู้ในสิ่งที่ต้องการรู้หมดแล้ว เจ้ามีสิ่งใดอยากกล่าวเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าอีกหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามจอมเวทย์
จอมเวทย์เม้มปากแน่น ไม่นานจึงก้มศีรษะคำนับแนบพื้น
“กระหม่อม…”
จอมเวทย์ไม่สามารถทรยศแคว้นบ้านเกิดของตัวเองได้ เขาเคยสาบานต่อเทพเจ้าไว้ว่าจะรับใช้แคว้นเทียนเฟิ่งไปตลอดชีวิต ทว่า เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่กลัวความตายเหมือนคนทั่วไป
ขอเพียงเขาศรัทธาต่อเทพเจ้าด้วยความจริงใจ ไม่โกหกเทพเจ้า ต่อให้เขาตายไป…เทพเจ้าก็คงไม่โหดร้ายต่อดวงวิญญาณของเขานักกระมัง
เมื่อนึกถึงเทพเจ้าจอมเวทย์มีความมั่นใจขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เขาก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียน
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรานับถือที่เจ้าจงรักภักดีต่อแคว้นบ้านเกิดของเจ้าถึงเพียงนี้ เราจะให้เจ้าจากไปอย่างสงบ…”
ไป๋ชิงเหยียนลุกเดินออกไปด้านนอก
ร่างของจอมเวทย์แข็งทื่อ เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นนิ่ง
ไป๋ชิงเหยียนอยากไว้ชีวิตของจอมเวทย์ ทว่า คนผู้นี้มีความสามารถมากเกินไป เขาถึงขนาดทำนายรู้ว่าหยกจักจั่นอยู่ในถุงเงินของนาง
ก่อนไป๋ชิงเหยียนเดินทางมาพบจอมเวทย์นางตัดสินใจไว้แล้ว หากคนผู้นี้ยอมรับใช้นาง นางจะเหลือทางรอดให้เขา ทว่า หากเขาไม่ยอม ไป๋ชิงเหยียนคงทำได้เพียงสังหารเขาทิ้งเท่านั้น
“ให้เขาจากไปอย่างสงบ ฝังร่างของเขาให้สมเกียรติ”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเว่ยจง
“ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ บ่าวจะจัดการด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยจงกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากคุกใต้ดิน หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท
ดวงดาวส่องแสงประกายระยิบระยับ ดวงจันทร์เสี้ยวส่องแสงสว่าง
แสงสีเงินอันเยือกเย็นของดวงจันทร์ส่องกระทบร่างของไป๋ชิงเหยียน
เมื่อครู่นางเกิดความคิดวู่วามอยากแย่งหยกจักจั่นตัวเมียมาจากซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นเพื่อย้อนเวลากลับไปก่อนเกิดสงครามที่หนานเจียง…
ทว่า ผู้ใดสามารถรับประกันได้ว่าหากนางทำหยกจักจั่นตัวเมียแตกนางจะได้ย้อนเวลากลับไปก่อนเกิดสงครามที่หนานเจียง
หากนางได้กลับมาเกิดใหม่เพราะการย้อนเวลาของหยกจักจั่นจริง ตอนที่นางกลับมาเกิดใหม่คือตอนที่เกิดสงครามที่หนานเจียงขึ้นแล้ว หากนางทำหยกจักจั่นตัวเมียแตกในตอนนี้นางจะย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์ที่หนานเจียงได้หรือ
หากยึดตามที่จอมเวทย์กล่าวมา นางไม่มีทางทำได้
หากนางย้อนกลับมาเกิดใหม่ในช่วงเวลาก่อนที่บุรุษตระกูลไป๋จะเกิดเรื่อง บางทีนางอาจพอมีโอกาส…
หากตอนนี้นางทำหยกจักจั่นตัวเมียแตก นางไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น ทว่า สิ่งที่นางต้องสูญเสียไปอย่างแน่นอนคือลูกน้อยทั้งสองของนาง เหตุใดนางต้องลำบากทำเช่นนี้อีก
นางเดินทางผ่านแผ่นน้ำแข็งที่อันตรายมาด้วยความยากลำบาก หากทำพลาดเท่ากับตระกูลไป๋ต้องพังทลาย
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสวรรค์สงสารตระกูลไป๋จึงให้นางกลับมาเกิดใหม่หรือเป็นเพราะนางบังเอิญได้ย้อนเวลากลับมาเพราะหยกจักจั่นก็ล้วนเป็นเมตตาจากสวรรค์ทั้งสิ้น ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกซาบซึ้งมาก
นางเคยคิดว่าเหตุใดจึงไม่ให้นางกลับมาเกิดใหม่เร็วกว่านี้ เร็วพอที่จะช่วยชีวิตท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและน้องๆ ของนางได้…
ทว่า เกิดเป็นมนุษย์ควรรู้จักพอ
นางไม่ควรตำหนิสวรรค์ที่ให้โอกาสนางย้อนกลับมาช่วยเหลือตระกูลไป๋ แม้จะไม่ได้ช่วยเหลือได้ทุกคนก็ตาม
ไป๋ชิงเหยียนเดินไปยังตำหนักของตัวเอง ด้านหลังคือบรรดานางกำนัลและขันทีมากมาย
“ฝ่าบาท…”
ลูกศิษย์ของเว่ยจงถือโคมไฟเล็กเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังไป๋ชิงเหยียนอย่างเว้นระยะห่างพอดี เขาใช้แสงไฟในโคมไฟนำทางให้ไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวเสียงเบา
“บ่าวจะนำทางให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะเสด็จไปห้องหนังสือหรือตำหนักบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปหาเด็กทั้งสอง”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงเบา
วันที่เจ็ด เดือนเจ็ด รัชศกหยวนเหอปีที่สอง ต้าโจวทำสัญญาเปิดตลาดการค้าเสรีกับแคว้นเทียนเฟิ่ง
วันที่สิบสี่ เดือนเจ็ด รัชศกหยวนเหอปีที่สอง องค์ชายใหญ่ องค์ชายสองของต้าเยี่ยนเดินทางมาถึงเมืองหลวงของต้าโจว กองทัพหลักของต้าเยี่ยนซึ่งถูกกักอยู่ที่ซีเหลียงได้รับการปล่อยตัวกลับต้าเยี่ยน เมืองของซีเหลียงที่ต้าเยี่ยนยึดครองได้ทั้งหมดตกเป็นของต้าเยี่ยน ต้าโจวไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย
กองทัพต้าโจวและกองทัพไป๋ซึ่งทำลายล้างแคว้นซีเหลียงได้กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง ต้าโจวเริ่มจัดขุนนางเดินทางไปผลักดันระบอบการปกครองของต้าโจวในเมืองของต้าเยี่ยน
วันที่ยี่สิบหก เดือนเจ็ด รัชศกหยวนเหอปีที่สอง เสนาบดีกรมโยธาเสิ่นเทียนจือได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสิ่นซือคงอย่างรวดเร็ว เขานำขุนนางของต้าโจวเดินทางไปผลักดันระบอบการปกครองของต้าโจวในแคว้นต้าเยี่ยน จักรพรรดินีต้าโจวสั่งให้แม่ทัพสือพานซานและแม่ทัพเจินเจ๋อผิงนำทหารต้าโจวที่ประชิดอยู่ที่ชายแดนของต้าเยี่ยนเดินทางเข้าไปในต้าเยี่ยนเพื่อปกป้องขุนนางที่ไปผลักดันระบอบการปกครองของต้าโจวในต้าเยี่ยน
วันที่สามสิบ เดือนเจ็ด รัชศกหยวนเหอปีที่สอง กองทัพต้าเยี่ยนเดินทางเข้ามารับช่วงต่อดินแดนที่ต้องผลักดันระบอบการปกครองของต้าเยี่ยนจากต้าโจว จากนั้นรอเวลาที่ขุนนางของต้าเยี่ยนจะเดินทางมาผลักดันระบอบการปกครอง
ทั้งสองแคว้นโยกย้ายของทัพของตัวเองอย่างเอิกเกริกเพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันครั้งนี้
ชาวบ้านซึ่งอยู่ในเมืองตัวแทนในการแข่งขันรู้เรื่องการเดิมพันระหว่างสองแคว้นเพื่อความสงบสุขของชาวบ้านตอนที่ทหารสองแคว้นแลกเปลี่ยนเมืองและมีการเปลี่ยนธงบนกำแพงเมือง
ตอนแรกชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัว บางคนถึงกลับเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวหลบหนี
ทว่า เจ้าเมืองได้รับข่าวจากเบื้องบนและออกมาปลอบขวัญชาวบ้านได้ทันเวลา เขาบอกทุกคนว่าสามารถอยู่ในเมืองได้ต่อไป แค่เปลี่ยนมาใช้ระบอบการปกครองของอีกแคว้นเท่านั้น พวกเขาจะปกป้องคุ้มครองชาวบ้านเป็นอย่างดี เมื่อชาวบ้านเห็นว่าแค่เปลี่ยนทหาร ไม่มีการทำร้ายชาวบ้านในเมืองจึงวางใจลง
วันที่สอง เดือนแปด รัชศกหยวนเหอปีที่สอง กองทัพต้าโจวและกองทัพไป๋ที่ทำลายล้างซีเหลียงสำเร็จเดินทางกลับถึงเมืองหลวง จักรพรรดินีและไทเฮาของต้าโจวพาฮูหยินตระกูลไป๋และเหล่าขุนนางออกไปต้อนรับพวกเขาที่นอกเมือง
ชาวบ้านรับรู้ข่าวเรื่องนี้นานแล้วจึงพากันตื่นนอนแต่เช้า พวกเขายืนชะโงกหน้ามองไปทางประตูเมืองอยู่บนถนนทั้งสองข้าง
ปกติถนนในเวลานี้เงียบเหงาจนได้ยินเพียงเสียงเห่าของสุนัขเป็นบางครา เห็นเพียงพ่อค้าอาหารเช้ากำลังเตรียมเช็ดร้านค้าของตัวเองอย่างวุ่นวายเท่านั้น
ทว่า วันนี้ถนนทั้งสายครึกครื้นมาก หอสุราที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้เปิดกิจการตั้งแต่เช้า แสงไฟจากโคมไฟที่แขวนอยู่หน้าหอส่องสว่าง ผู้คนเดินเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย