สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 275 อ้าวเทียนเสวี่ย (2)
ซินเอ๋อร์ใจอ่อน อดทนต่อคำอ้อนวอนของผู้อื่นไม่ได้เป็นที่สุด
แม้เมื่อครู่หญิงสาวผู้นี้จะไร้มารยาทกับพวกเธอ แต่ตอนนี้เห็นหญิงสาวผู้นี้น่าสงาร เธอจึงไม่อาจมองเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือ!
พอคิดถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์อดเงยหน้าเอ่ยกับเหลิ่งอวี้เซวียนไม่ได้
“เซวียน พี่สาวผู้นั้นน่าสงสาร ไร้ญาติขาดมิตรเช่นนี้ หากให้นางไปจากที่นี่ จะสามารถไปที่ใดได้อีก กลับกันวังเราออกจะกว้างใหญ่ ท่านให้นางอยู่ที่นี่ต่อเถิด ได้หรือไม่!”
ซินเอ๋อร์ดึงชายเสื้อของเหลิ่งอวี้เซวียน พร้อมเอ่ยอ้อนวอนเบาๆ
เหลิ่งอวี้เซวียนนี้ ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่กลัวซินเอ๋อร์ไม่พอใจ
ยิ่งไปกว่านั้นวังเขากว้างใหญ่ เลี้ยงดูคนเพิ่มอีกคน ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอันใด
และเรื่องเล็กน้อยนี้ สามารถทำให้ซินเอ๋อร์ดีใจได้ เขาจะไม่ตกลงได้เช่นไร!
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งอวี้เซวียนก็ไม่สนใจว่าข้างกายยังมีผู้อื่นอีก ยื่นมือเขี่ยจมูกเล็กของซินเอ๋อร์และยิ้มอย่างอบอุ่น
“เมื่อเจ้าเอ่ยปาก ข้าจะไม่ตกลงได้เช่นไร!”
“ฮ่า ๆ เซวียน ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียน ซินเอ๋อร์มีความสุขในใจอย่างมาก ทว่าเมื่อเห็นต่อหน้าผู้อื่นเหลิ่งอวี้เซวียนแสดงความสนิทสนมกับตนออกมาเช่นนี้ ซินเอ๋อร์จึงเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
เหลิ่งอวี้เซวียนชื่นชอบท่าทางเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำของซินเอ๋อร์ สายตาที่มองซินเอ๋อร์ยิ่งอ่อนละมุนราวกับน้ำ
ขณะทั้งสองคนอยู่ในภวังค์แห่งความความรักอันหวานชื่น กลับไม่รับรู้แม้แต่นิดเดียวเลยว่าดวงตาคู่หนึ่งทางด้านข้างกำลังอิจฉาตาร้อน!
…
“น้องซินเอ๋อร์ เจ้าพักอยู่ที่นี่หรือ!”
ตอนเช้า หลังเหลิ่งอวี้เซวียนออกไปทำงาน ซินเอ๋อร์ปัดกวาดตำหนักหยกขาวดังเช่นปกติ
แต่ทันใดนั้นเสียงอันไพเราะสายหนึ่ง กลับดังขึ้นมาทางด้านหลังของเธอ
ซินเอ๋อร์ได้ยินรีบหันกลับไปมองทันที
หลังเห็นคนที่มาคืออ้าวเทียนเสวี่ย ใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงงัน ก่อนพลันยิ้มจางๆ ออกมา เอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท
“ที่แท้เป็นพี่เทียนเสวี่ยนี่เอง อรุณสวัสดิ์ ท่านมาที่นี่มีธุระใดกับข้าหรือ!”
หลังอ้าวเทียนเสวี่ยเข้ามาอยู่ในวัง ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ ทำงานทุกอย่างดังเช่นสาวใช้อื่น
คิดดูแล้ว ไม่ได้เจออ้าวเทียนเสวี่ยมาสามวันแล้ว ดังนั้นเวลานี้เมื่ออ้าวเทียนเสวี่ยปรากฎตัวขึ้น ซินเอ๋อร์รู้สึกคิดไม่ถึง
ตรงข้ามกับความแปลกใจของซินเอ๋อร์ อ้าวเทียนเสวี่ยกลับบิดกายเดินเข้ามาอย่างงดงามอ่อนช้อย พลางจัดผมตรงข้างแก้ม ก่อนกล่าวยิ้มๆ กับซินเอ๋อร์
“ฮ่า ๆ เป็นอันใดหรือ หากข้าไม่มีธุระ ข้าไม่สามารถมาหาเจ้าหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอ้าวเทียนเสวี่ย ซินเอ๋อร์พลันตื่นตระหนก รีบส่ายหน้าดุจคลื่นพร้อมเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น พี่เทียนเสวี่ยอย่าเข้าใจผิด”
“จุ๊ๆ น้องซินเอ๋อร์อย่าตกใจไปเลย ข้าเพียงล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง สิ่งใดคือพูดจริง สิ่งใดคือพูดเล่น ต่างแยกไม่ออก!”
ประโยคสุดท้ายที่อ้าวเทียนเสวี่ยเอ่ยขึ้นนั้น เอ่ยอย่างไม่ได้มีความหมายอื่น แต่ภายในน้ำเสียงกลับดูถูกดูแคลน น่าเสียดายซินเอ๋อร์ไร้เดียงสา จึงไม่รู้ถึงความหมายในคำพูดนั้นแม้แต่นิดเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของอ้าวเทียนเสวี่ย ทราบว่าเธอไม่ได้โกรธเคือง ซินเอ๋อร์จึงโล่งอก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เช่นนั้นพี่เทียนเสวี่ยทำงานของวันนี้เสร็จแล้วหรือ!”
“อืม ถูกต้อง งานที่พ่อบ้านมอบหมายให้ข้าล้วนจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นมีเวลาว่าจึงมาทางนี้ ดูว่าน้องซินเอ๋อร์มีงานใดยังไม่เรียบร้อย จะช่วยแบ่งเบาเจ้า”
อ้าวเทียนเสวี่ยยิ้มแย้ม แต่สายตากลับมองสำรวจสภาพแวดล้อมของตำหนักหยกขาวตลอดเวลา และคล้ายกำลังตามหาบางอย่าง
“ตำหนักหยกขาวแห่งนี้ สร้างได้งามสง่าจริงๆ ด้านในยังปลูกต้นอวี๋หลันขาวไว้มากมายอีก อา ที่นี่งดงามยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นอ้าวเทียนเสวี่ยดุจผีเสื้อบินวนต้นอวี๋หลันขาว ซินเอ๋อร์เดินตามเข้าไป พร้อมกล่าวยิ้มๆว่า
“ฮ่า ๆ ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะเซวียนเขาชอบดอกอวี๋หลันขาว ดังนั้นที่นี่จึงปลูกต้นอวี๋หลันไว้จำนวนมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดของซินเอ๋อร์ อ้าวเทียนเสวี่ยแสดงท่าทางเข้าใจทันทีออกมา ก่อนพึมพำขึ้น
“ที่แท้ เขาชื่นชอบดอกอวี๋หลันขาว”
เอ่ยจบ อ้าวเทียนเสวี่ยคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“เหตุใดเจ้าจึงเรียกเขา เอ้อ ชื่อของนายท่าน และยังเรียกอย่างสนิทสนมอีกด้วย!”
“เอ่อ คือว่า…”
สำหรับคำพูดของอ้าวเทียนเสวี่ย ซินเอ๋อร์ได้ยินใบหน้าจิ้มลิ้มพลันเขินอาย กลับไม่รู้ควรอธิบายเช่นไร
หลังตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง ซินเอ๋อร์จึงเอ่ยขึ้น
“นั่นเป็นเพราะเซวียนขอร้องให้ข้าเรียกเขาเช่นนี้”
เรื่องนี้ ทั่วทั้งวังต่างทราบดี แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยถามกับเธอตรงๆ เช่นนี้ ดังนั้นซินเอ๋อร์จึงหน้าแดง ใจเต้นแรงยามถูกเอ่ยถาม
เพราะเขินอาย ดังนั้นใบหน้าเล็กของซินเอ๋อร์จึงพลันก้มต่ำลง
ท่าทางเขินอายนั้น งดงามน่าสงสาร อ่อนช้อยเย้ายวนใจจริงๆ
หากชายหนุ่มได้เห็นคงใจเต้นแรง แม้นักบวชเห็น ก็ยากที่จะทำจิตใจให้สงบลงได้
แต่เมื่อเห็นท่าทางอ่อนช้อย เย้ายวนใจนี้ของซินเอ๋อร์ ดวงตาคู่งามของอ้าวเทียนเสวี่ย กลับปรากฎความอิจฉาริษยาขึ้นมาหลายส่วน
เพราะเธอตอนนี้ กำลังโมโหอย่างมาก!
คิดดูแล้ว ตั้งแต่เธอถือกำเนิดมาจนถึงตอนนี้ มีผู้ใดที่ไม่ปฎิบัติต่อเธออย่างนอบน้อม และชายหนุ่มที่พบเจอเธอพวกนั้นก็หื่นกระหาย ประจบเยินยอ ใจเต้นต่อเธอ
แต่หลังมาถึงที่นี่ ทุกคนต่างต่อต้านเธอทุกสิ่ง น่าโมโหที่สุดคือชายหนุ่มที่เธอหมายตาผู้นั้น กระทั่งยามเผชิญหน้าล้วนไม่เคยมองมาที่เธอ
คล้ายเธอเป็นดังเช่นกับผู้อื่น ไม่คู่ควรให้เขาจดจำ
ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดี!
สุดท้ายเพราะเหตุใดกันแน่!
หรือเธอรูปโฉมไม่งดงาม!
และหญิงสาวตรงหน้านี้ เทียบกับเธอได้ตรงส่วนใด!
ท่าทางยากจน และยังโง่เขลาอย่างที่สุด!
หญิงสาวเช่นเธอนี้ กลับได้รับความรักจากเขา ทำให้เธอโมโหยิ่งนัก!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจของอ้าวเทียนเสวี่ยเต็มไปด้วยความโมโห หากเป็นไปได้ เธออยากสังหารหญิงสาวที่โง่เขลาตรงหน้านี้จริงๆ เพราะเพียงหญิงสาวผู้นี้ตาย สายตาของเหลิ่งอวี้เซวียนจะใด้มองมาที่เธอมิใช่หรือ!
ชายหนุ่มที่เธอหมายตา ในใจต้องมีเพียงเธอ หญิงอื่น หยุดคิดที่จะแย่งชิงกับเธอ!
ขณะอ้าวเทียนเสวี่ยคิดในใจ สายตาที่มองซินเอ๋อร์ดุร้ายดังงูพิษ
ซินเอ๋อร์ที่ก้มหน้าอย่างเขินอาย คล้ายรู้สึกถึงสายตามุ่งร้ายที่มองมายังตน สายตานั้นคมกริบร้อนแรง ดุจต้องการทะลุทะลวงใจของเธอ ทำให้เธอขนลุกชัน
ทันใดนั้น จึงพลันตกใจ รีบเงยหน้ามองไปยังสายตาคมกริบนั้น
ทว่ากลับสบเข้ากลับใบหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผาของอ้าวเทียนเสวี่ย
“น้องซินเอ๋อร์ เป็นอันใดหรือ!”
เมื่อเห็นซินเอ๋อร์เงยหน้ามองตนด้วยสายตาหยั่งเชิง ใบหน้าที่เปี่ยมความดุร้ายไม่พอใจของอ้าวเทียนเสวี่ยพลันเปลี่ยนกลับมามีท่าทางอ่อนโยนเช่นเมื่อครู่ทันที
ซินเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงงัน พลันส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบาขึ้น
“เอ่อ ไม่เป็นอันใด”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจซินเอ๋อร์กลับสงสัยอย่างยิ่ง
หรือเมื่อครู่เธอคิดไปเอง!
พี่สาวตรงหน้านี้ หลังความโมโหหงุดหงิดใจร้อนในวันนั้น เวลานี้กับปฎิบัติต่อเธออย่างมีมารยาท
คิดแล้ว เธอคงคิดเหลวไหลไปเอง
ขณะซินเอ๋อร์คิดในใจ ได้ยินอ้าวเทียนเสวี่ยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้นายท่านอยู่ที่ใดหรือ!”
“อืม เซวียน เขาออกไปทำงานข้างนอก ตอนเย็นจึงจะกลับมา ได้ยินว่าคืนนี้เป็นเทศกาลดอกบัวประจำปี ทุกปีเวลานี้ต่างมีคนมากมายไปปล่อยโคมดอกบัวเพื่อขอพรที่ทะเลสาบไท่จื่อ!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ซินเอ๋อร์มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
เพราะเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบหกปี สำหรับเรื่องพวกนี้จึงกระตือรือร้นอย่างมาก
อ้าวเทียนเสวี่ยด้านข้างได้ยิน ก็เกิดสนใจขึ้นมา
เพราะเธอไม่ใช่ชาวแคว้นเทียนหยวน ดังนั้นสำหรับเทศกาลประเภทนี้จึงรู้สึกแปลกใหม่
ดังนั้น ขณะได้ยินคำพูดนี้ของซินเอ๋อร์ อ้าวเทียนเสวี่ยรีบเอ่ยปากขึ้น
“เป็นเช่นนี้ ฮ่า ๆ ซินเอ๋อร์ คืนนี้พวกเราไปปล่อยโคมที่ทะเลสาบไท่จื่อด้วยกันเถิด!”
อ้าวเทียนเสวี่ยเดิมคิดว่าตนเอ่ยประโยคนี้แล้ว ซินเอ๋อร์ต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน และเธอก็เคยชินกับการออกคำสั่ง จึงไม่มีผู้ใดปฏิเสธเธอ
แต่หลังซินเอ๋อร์ได้ยิน บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยความลำบากใจ ก่อนอ้ำอึ้ง
“เป็นอันใด ซินเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากไปกับข้าหรือ!”
“เอ่อ ไม่ใช่เช่นนั้น พี่เทียนเสวี่ยอย่าเข้าใจผิด นั่นเพราะ เพราะว่าตอนเช้า ก่อนเซวียนจะออกไปเอ่ยกับข้าว่า คืนนี้เขาจะรีบกลับมา จากนั้นพาข้าออกไปเที่ยวชมโคมดอกบัว!”
เพียงนึกถึงตอนเช้าขณะเหลิ่งอวี้เซวียนจะออกไป กุมมือเธอเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาอย่างอ่อนโยน ซินเอ๋อร์รู้สึกหวานชื่นในใจ
เพราะชายหนุ่มดีกับเธอขนาดนี้ จะไม่ให้เธอใจเต้นแรงได้เช่นไร!
ขณะซินเอ๋อร์คิดเรื่องพวกนี้ในใจ บนใบหน้าอดเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมาไม่ได้
แต่เธอกลับไม่รู้ว่ารอยยิ้มนี้ของตน ในสายตาของคนอื่นนั้นบาดตาเพียงใด
เพียงนึกถึงชายหนุ่มที่ตนหมายตา นัดหญิงสาวอื่นไปเที่ยวชมโคมดอกบัว ในใจของอ้าวเทียนเสวี่ยไม่พอใจอย่างมาก
เหตุใด เพราะเหตุใดคนที่เขานัดจึงไม่ใช่เธอ แต่เป็นหญิงโง่ผู้นี้!
อ้าวเทียนเสวี่ยโมโหในใจอย่างมาก บนใบหน้าดูเสียใจ ก่อนถอนหายใจออกมา เอ่ยลอยๆ ด้วยความเศร้าโศกว่า
“เฮ้อ นายท่านดีกับเจ้ายิ่งนัก น้องซินเอ๋อร์ช่างโชคดีจริงๆ ข้าอิจฉาเจ้านัก หากบนโลกนี้มีคนดีกับข้าเช่นนี้ คงจะดีไม่น้อย น่าสงสารที่ข้าตอนนี้โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ในวังแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดอยากคุยกับข้า แม้อยากไปชมโคมดอกบัว กลับไม่มีคนยอมไปเป็นเพื่อนข้า เฮ้อ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ อ้าวเทียนเสวี่ยถอนหายใจอีกครั้ง ระหว่างคิ้วดูเสียใจและผิดหวังอย่างสุดขีด
“น้องซินเอ๋อร์ เช่นนั้นคืนนี้เจ้าไปชมโคมดอกบัวกับนายท่านเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ อ้าวเทียนเสวี่ยค่อยๆ หมุนกายหมายจากไป
แต่ความเสียใจบนใบหน้านั้น กลับค่อยๆ ประทับอยู่ในสายตาของซินเอ๋อร์
เมื่อเห็นท่าทางเต็มไปด้วยความเสียใจน่าสงสารของหญิงสาวตรงหน้านี้ ซินเอ๋อร์อดทนไม่ไหว
จึงคิดว่าก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต เธอและน้องชายโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง หากไม่ได้ความสงสารช่วยเหลือของเพื่อนบ้าน เธออาจจะไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงวันนี้
………………………………………………………………………………….