สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 131.3 ท่องเที่ยวทะเลสาบ (3)
เวลานี้เป็นยามบ่ายคล้อย
พระอาทิตย์ค่อยๆ หายลับเข้าไปในเมฆหนา แต่แสงสีส้มแดงนั้น ยังทะลุผ่านเมฆหนาออกมา เป็นประกายสีทอง
แสงสีส้มแดงนั้น ค่อยๆ ปกคลุมทั่วพื้นดิน ทำให้พื้นดินต่างปรากฎระลอกคลื่นหลากหลายสีสันขึ้นมา
สายลมยามเย็นพัดเอื่อย พระอาทิตย์งดงาม
เห็นเพียงชายหนุ่มอายุน้อยกำลังเดินเข้ามายังเรือนด้านหลัง สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินล้วน คาดด้วยสายรัดเอวสีเงิน พร้อมห้อยหยกมันแพะไว้ที่เอว สวมรองเท้าสีดำปักด้ายเงิน
ผมยาวดำขลับดุจผ้าแพรต่วน ใช้กวนหยกที่ประณีตงดงามรัดแน่นไว้บนศีรษะ ส่วนที่เหลือสยายอยู่ข้างไหล่
ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ยิ่งดูลำพองใจ องอาจกล้าหาญ
ส่วนในมือเขาเวลานี้กำลังถือพัดภาพวาดสีขาวด้ามหนึ่ง เห็นเพียงเขาพลางเดิน พลางโบกพัดในมือ ดุจคุณชายน้อยร่ำรวยเพรียบพร้อม!
สำหรับการปรากฏตัวของหนานกงจวิ้นซี ตงฟางไป๋และเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงพยักหน้าครู่หนึ่ง
ส่วนเหนียนซูหลานรู้ถึงสถานะของหนานกงจวิ้นซี แม้จะไม่สนิทสนมกับหนานงจวิ้นซี แต่ด้วยมารยาท เธอยังลุกขึ้นจากที่นั่ง จากนั้นเดินเข้าไปตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมย่อกายลงอย่างมีมารยาท
“องค์ชายเจ็ด”
“แม่นางเหนียนมิต้องมากพิธี พวกเราต่างคนกันเอง ท่านอย่าเกรงใจเช่นนี้เลย”
สำหรับการคารวะของสาวงาม หนานกงจวิ้นซีพลันเอ่ยอย่างสดใสขึ้นทันที
เมื่อได้ยิน เหนียนซูหลานเพียงยิ้ม ก่อนพลันนั่งลง
ส่วนหนานกงจวิ้นซีหลังมาถึงที่นี่ ดวงตาดอกท้อกวาดมองไปรอบด้าน สุดท้าย สายตาตกอยู่ที่เล่อเหยาเหยาที่ไม่พูดจาทางด้านหลังของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
หลังรับรู้ถึงสายตาของหนานกงจวิ้นซี ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงัน พลันค้อมกายคารวะหนานกงจวิ้นซี
“คารวะองค์ชายเจ็ด”
“ฮ่า ๆ เจ้าตื่นเช้าเชียวนะ เมื่อคืนดื่มสุรามีความสุขหรือไม่ เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราไปล่องเรือสำราญแล้วดื่มกันอีกครั้ง ดีหรือไม่!”
เห็นชัดว่าตอนนี้หนานกงจวิ้นซีคิดดึงเล่อเหยาเหยาเป็นสหายร่วมดื่มสุราไปแล้ว
ไม่แปลกเพราะหลังจากเขามาถึงที่นี่ อยากหาคนร่วมดื่มสุรา ถือว่าไม่ง่ายดายเลย
ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องเอ่ยถึง ไม่ว่าเวลาใด ไม่เคยเมามาย มักเหลือสติหลายส่วนเสมอ อีกทั้งเขาเบื่อดื่มสุรากับเขาแล้ว คล้ายดื่มสุรากับคนที่กลัดกลุ้ม ไร้ความหมาย
ตงฟางไป๋ก็ดื่มสุรา แต่เขามักดื่มอย่างสง่างามเหมือนกับบุคลิกของเขา จึงไม่ดื่มอย่างตะกละตะกลาม ดังนั้นดื่มสุรากับเขา มักต้องรักษาท่าทีเอาไว้
แต่คนตัวเล็กตรงหน้าแตกต่างออกไป
อย่างน้อย ‘เขา’ เล่นเกมทายนิ้วมือนับเลขกับเขาได้ ดื่มสุราอย่างตะกละตะกลาม มีความสุขที่สุด!
วันนี้หลังฟื้นขึ้นมา แม้จะปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด แต่เขากลับคิดในใจว่าเมื่อคื่นช่างดื่มอย่างมีความสุขเสียจริง!
เมื่อได้ยินว่าวันนี้คนตัวเล็กนี้อยู่ที่โรงหมอ จึงรีบแต่งตัวตรงมาที่นี่ทันที
ตรงข้ามกับสีหน้าดีใจของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาเพียงเบ้ปาก เอ่ยปฏิเสธออกไป
“ไม่ดี”
“เอ๋ เหตุใดกัน!”
สำหรับการปฏิเสธของเล่อเหยาเหยา เห็นชัดว่าหนานกงจวิ้นซีไม่คาดคิดมาก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักงัน
ไม่นานก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงตบพัดด้ามนั้นดัง ‘เพี๊ยะ’ ก่อนยกริมฝีปากแดงขึ้น แล้วยิ้มกว้างอีกครั้ง
“ข้ารู้แล้ว เจ้าคงกลัวว่าหากดื่มมาก ตอนเช้าจะปวดศีรษะ ฮ่า ๆ มิแปลก ก่อนหน้านี้ข้าดื่มสุราครั้งแรก ตอนเช้าปวดศีรษะจนแทบจะระเบิดเช่นกัน ข้ายังคิดว่าตนเองจะตายเสียอีก ทว่าต่อมาค่อยๆ หลงใหลในการดื่มสุรา เพียงแต่เมื่อตอนนี้เจ้าไม่อยาก ได้ เช่นนั้นพวกเราเปลี่ยนเป็นครั้งหน้าก็แล้วกัน!”
หลังหนานกงจวิ้นซีเอ่ยจบ ก็สะบัดชายเสื้อนั่งลง พอดีกับที่เสี่ยวถังยกน้ำชามาส่งให้เขา
หนานกงจวิ้นซีพูดไปมากมาย จึงคอแห้ง ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอก่อน พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ เอ่ยถามพวกตงฟางไป๋ว่า
“จริงสิ เมื่อครู่พวกท่านจะไปเที่ยวที่ทะเลสาบกันหรือ เช่นนั้นตอนนี้ออกเดินทางกันเถิด พอดีข้าเองก็เริ่มหิวแล้ว”
เพราะหลังฟื้นขึ้นมา เขายังไม่ได้ทานอาหาร ก็รีบร้อนมาที่นี่
หลังหนานกงจวิ้นซีเอ่ยจบ เหนียนซูหลานที่อยู่ตรงข้ามหมายจะขยับปากเอ่ย แต่ก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป
ทว่า หนานกงจวิ้นซีกลับไม่รอให้ให้ใครเอ่ยขึ้นมา มองไปยังเล่อเหยาเหยา ก่อนหัวเราะเสียงใสว่า
“เจ้าหมูน้อย เจ้ายังไม่เคยไปเที่ยวที่ทะเลสาบใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ ทะเลสาบน่ะไม่เลวเลย กลางคืนงดงามยิ่ง ที่สำคัญเหล่าของกินริมฝั่งทะเลสาบ อร่อยยิ่งนัก มีทั้งหวานทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดมากมาย ประเดี๋ยวเจ้าจะได้ทานอย่างมีความสุข!”
“จริงหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ต้องพูดว่าเล่อเหยาเหยาตื่นเต้นอย่างยิ่ง
เพราะเธอยังไม่เคยไปที่ทะเลสาบ อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอเพียงได้ยินมาเพียงเท่านั้นว่า ของกินแถวทะเลสาบไม่เลว แต่กลับไม่มีเวลาแวะเวียนไป
เพราะหลังมาถึงที่นี่ ทุกวันต่างยุ่งอยู่กับงาน จะมีเวลาไปที่ใดได้!
อีกทั้งซื้อของต้องจ่ายเงิน ก่อนหน้านี้เธอไม่มีเงิน จึงย่อมออกไปที่ใดไม่ได้!
ตอนนี้ได้ยินหนานกงจวิ้นซีพูดเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาตื่นเต้นเป็นที่สุด
บนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ตื่นเต้นดีใจสุดแสนจะบรรยายได้ กระทั่งดวงตาคู่งามสดใสนั้น ยังเป็นประกายระยิบระยับ คล้ายสามารถพูดคุยได้
แต่ขณะที่เล่อเหยาเหยาตื่นเต้นดีใจ กลับไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาเย็นชาเรียวยาวคู่หนึ่ง เก็บสีหน้าที่เปิดเผยออกมาทั้งหมดของเธอเอาไว้ ก่อนพลันเป็นประกายชั่วขณะ
เรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาย่อมไม่รู้ จากนั้นเธอตื่นเต้นได้ไม่นาน รอยยิ้มบนใบหน้พลันหายไป
เพราะเธอนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของพญายม เขาเอ่ยปากปฏิเสธว่าไม่ไป! เมื่อครู่ไม่ว่าหญิงงามอย่างเหนียนซูหลานจะอ้อนวอนเขาอย่างลำบากเพียงใด เขาต่างนิ่งเฉย ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ต้องกลับไป!
ขณะคิดในใจ ใบหน้าเล็กเล่อเหยาเหยาพลันปกคลุมด้วยความเศร้าหมอง
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น อดกระพริบตาดอกท้อคู่งามอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นอันใดหรือ”
เมื่อครู่ยังดีอยู่มิใช่หรือ! เหตุใดจึงพลันสีหน้าเปลี่ยนไป!
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปาก ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงก้มใบหน้าเล็กลง สายตามองตรงที่ปลายเท้าของตน
เห็นเช่นนั้น หนานกงจวิ้นซีสงสัยยิ่งขึ้น
ทว่าหนานกงจวิ้นซียังไม่ทันได้เอ่ยขึ้น ก็เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ปฏิเสธว่าไม่ไปเมื่อครู่ พลันเอ่ยปากขึ้น
“หากทุกคนอยากไปท่องเที่ยวที่ทะเลสาบ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด!”
“อะไรนะ พี่อวี๋จริงหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานพลันยิ้มสดใสดุจดอกเหมยเบ่งบาน
เอ่ยด้วยสีหน้าดีใจกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋
อีกทั้ง คิดว่าสำหรับการเปลี่ยนความคิดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เป็นเพราะเธอ ดังนั้นจึงเบิกบานใจยิ่งขึ้น
ตรงข้ามกับเหนียนซูหลานที่มีความสุข เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ พลันตกใจในใจ แววตาปรากฏความแปลกใจขึ้น
เมื่อครู่เขาเอ่ยว่าไม่ไปมิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับเพราะเหตุใด…
สำหรับนิสัยของพญายม เล่อเหยาเหยาคาดเดาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่คิดให้มากความ
กลับเป็นตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ดวงตาดำขลับแคบยาวน่ามองคู่นั้น พลันปรากฎความแปลกประหลาดขึ้นทันที
…
แคว้นเทียนหยวนมีสถานที่ขึ้นชื่อสามแห่ง
มีเขาเทพธิดาที่สูงที่สุดในเหม่ยโจว
เพราะเขานั้นลึกจนมองไม่เห็นพื้นล่าง อีกทั้งรูปลักษณะภายนอก คล้ายใบหน้าของหญิงสาว ดังนั้นจึงเรียกกันว่าเขาเทพธิดา
ว่ากันว่าเขาเทพธิดาปกคลุมด้วยหิมะตลอด แม้จะเป็นฤดูร้อน แสงแดดส่องลงมาถึงด้านล่าง แต่ด้านบนเขาเทพธิดากลับปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เพราะเขาสูงชันเกินไป จนกระทั่งวันนี้จึงไม่มีผู้ใดสามารถปีนขึ้นไปถึงยอดเขาได้
ส่วนใกล้กันกับเขาเทพธิดา คือเขาเทียนซาน
เทียนซานก็ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ทว่าระดับความสูงกลับเทียบไม่ได้กับเขาเทพธิดา และคนที่เคยพำนักอยู่บนเขาเทียนซาน คือเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซี ที่อยู่ตรงหน้านี้ ทั้งคู่เคยพำนักและฝึกฝนวรยุทธอยู่บนนั้น
ส่วนสถานที่แห่งที่สองคือหุบเขาบุปผาแห่งต้าหลี่
เล่ากันว่าหุบเขาบุปผา เป็นสถานที่อาศัยของเหล่าเทพธิดา
เพราะหุบเขาบุปผา ทุกสี่ฤดู บุปผานานาพันธุ์ต่างเบ่งบานตลอดทั้งปี
อีกทั้งภายในหุบเขาบุปผา ยังปลูกดอกไม้สดทุกชนิดบนโลกนี้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะเทียนซานที่ราคาซื้อเมืองได้ หรือเบญจมาศป่าริมทางที่ไร้ราคา ก็มีนับไม่ถ้วน สิ่งที่ควรมีก็มีครบครัน ทำให้คนมองอย่างละลานตา
น่าเสียดายที่หุบเขาบุปผาที่หากมองจากภูเขาสูงห่างไกล รอบด้านภายในหุบเขาจะเห็นทะเลดอกไม้สีสันสดใสหลากหลายนั้น แต่หุบเขาบุปผานี้กลับไม่มีหนทางลงสู่ด้านล่าง
เล่ากันว่า เพราะที่นั่นคือสถานที่พำนักของเทพธิดา
เพราะเหล่าเทพธิดาไม่อยากถูกคนรบกวน ดังนั้นจึงปิดหนทางไว้ ไม่ว่าผู้ใดจะพยายามหาวิธีต่างๆ นานา มิอาจลงไปได้
ส่วนสถานที่แห่งที่สามคือ ทะเลสาบซีหูในเมืองหลวง
เล่ากันว่าทะเลสาบซีหู เป็นทะเลสาบที่ใหญ่และใสสะอาดที่สุดในเทียนหยวน
น้ำในทะเลสาบลึกจนมิอาจหยั่งถึง อีกทั้งพื้นที่กว้างใหญ่ ทะเลสาบซีหูไหลผ่านทั่วเมืองหลวงแล้วไหลพุ่งตรงออกไปที่ทะเล
ส่วนน้ำในทะเลสาบก็ใสสะอาด จนสามารถมองเห็นฝูงปลาหลากหลายชนิดแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระอยู่ภายใน!
…………………………………………….