ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 81 คนผู้นี้ไม่ควรกลับมา-1
บทที่ 81 คนผู้นี้ไม่ควรกลับมา-1
โอวเสี่ยวเอ๋อหยอกเล่นกับอาหวง ดูมันกินแตงกวาดองอย่างไม่รีบร้อน
และฉางอี้ซานฉวยจังหวะนี้กระซิบบอกลู่หมิงหมิงหนหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านเงื่อนงำใดบนสีหน้าพวกเขาไม่ออกเลย…เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา อาหวงกินแตงกวาดองหมดแล้ว ฉางอี้ซานก็โบกมือลาคนทั้งหลาย ยังคงอุ้มอาหวงเดินไปข้างหน้าอย่างสุขุม
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าพวกเขาจะได้ร่วมทางกัน แต่เห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ล้มเลิก…
ก่อนหน้านี้ลู่หมิงหมิงบอกเขาว่าหอทรงปัญญามีสิบฉากมหัศจรรย์ แต่ตลอดทางที่เดินจนถึงตรงนี้กลับเห็นแค่สองแห่ง
“ผ่านเนินเล็กนี้ไปก็ถึงแล้ว เชิญทุกท่านลงม้าด้วย”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
หอทรงปัญญานี่ก็สมกับเป็นสถานที่มากพิธี กฎระเบียบเยอะนัก
หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงกรมสอบสวนกลาง หากมีสถานการณ์เร่งด่วนก็ห้อม้าเข้าทางประตูหลักได้เลย
ข้ามเนินเล็กแล้ว เดิมนึกว่าสิ่งที่สะท้อนสู่ม่านตาจะเป็นหอสูงเทียมฟ้างดงามยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
คิดไม่ถึงกลับเป็นบ้านคนเตี้ยๆ สองสามหลัง จัดวางกระจัดกระจายได้สัดส่วนอยู่ตรงนั้น ไม่ต่างกับบ้านครอบครัวชาวนาทั่วไป…หน้าหลังมีสวนผักเล็กสองแห่ง ทางเข้ามีหมาดำแก่ตัวหนึ่ง บางจุดสร้างเล้าไก่หรือโรงเลี้ยงเป็ดเอาไว้ด้วย
ตัวบ้านสร้างด้วยอิฐดินที่ทำจากโคลนผสมฟางข้าว
มองดูภายนอกยังเทียบบ้านคนในเมืองจิ่งผิงไม่ได้เลย
“นี่คือ?”
หลิวรุ่ยอิ่งจูงม้า อดถามไม่ได้
กลุ่มเบญจลักขีไม่ตอบคำ แต่นำหลิวรุ่ยอิ่งมุ่งไปบ้านพักตรงกลางแห่งหนึ่ง
“นายกองหลิว ท่านประมุขหอรออยู่ที่นี่นานแล้ว”
เหลี่ยงเฟินผายมือขวา พูดกับหลิวรุ่ยอิ่งพลางพยักหน้าน้อยๆ
“หมิงหมิง ท่านประมุขหอกำชับให้เจ้าเข้าไปพร้อมกันด้วย”
เหลี่ยงเฟินกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งชี้จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อข้างกาย สื่อความหมายว่าสองคนนี้เข้าไปพร้อมตนได้ใช่หรือไม่
“ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก เข้ามาด้วยกันเถิด”
ถัดจากเสียงพูด เหลี่ยงเฟินผลักประตูเตี้ยที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่งให้หลิวรุ่ยอิ่ง
ลู่หมิงหมิงกับพวกหลิวรุ่ยอิ่งสามคนเลียบทางเดินเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินดำทะลุผ่านตัวบ้านมาจนถึงเรือนด้านหลัง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง
หนวดเคราผมเผ้าขาวโพลน
กำลังใช้น้ำเต้าตักน้ำหมักในถังไม้รดพืชผัก
“เจ้าหนุ่มน้อย รบกวนเจ้าหยิบพลั่วเล็กนั่นส่งให้ข้าที”
ผู้เฒ่าเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินอยู่หน้าสุดจึงออกปากพูด
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินแล้วงงงันทันที
เขามองข้างเท้าของตนเห็นว่ามีพลั่วเล่มหนึ่งพิงอยู่บนโคนต้นท้อ เขาจึงหยิบขึ้นมาส่งให้ผู้เฒ่า
“ท่านลุง…ขอถามท่านประมุขหออยู่ที่ไหนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เข้าบ้านไปนั่งก่อนเถิด ข้ารดแปลงผักนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวเข้าไป”
ได้ยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นก็จนปัญญา ได้แต่กลับเข้าในบ้านก่อน
เพียงแต่ลู่หมิงหมิงกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม
พอหลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นเข้าบ้านแล้ว เขากลับคุกเข่า ‘ตุบ’ ลงมาต่อหน้าผู้เฒ่าคนนี้
“นิสัยเดิมชอบภูเขาไม่ชอบน้ำ คำพูดไม่ตรงกันใจเกิดภาพลวง ฉีกตำราต้มหนังสือตุ๋นแกงปลวก สาดถ้วนทั่วหัวระแหงสามร้อยหน”
ผู้เฒ่ากล่าวพลางใช้พลั่วตบหลังของลู่หมิงหมิง
ตอนลู่หมิงหมิงเงยหน้าอีกครั้ง น้ำตาไหลอาบหน้า…
“กลอนของเจ้าข้ายังจำได้ แต่ยาของข้าเจ้าคงลืมแล้วกระมัง”
ผู้เฒ่ากล่าว
“ท่านประมุข…อาจารย์…”
ลู่หมิงหมิงเสียงสั่นเครือ พูดริมฝีปากไหวระริก
เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจทั้งหมดแล้ว
ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือประมุขหอทรงปัญญา หนึ่งในสองตะวันแพรทองขั้นแปดแห่งยุคปัจจุบัน ตี๋เหว่ยไท่
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงว่าประมุขหอตี๋จะมีลักษณะเช่นนี้
ผิวพรรณดำคล้ำ หลังค่อมไหล่งองุ้มเล็กน้อย
เคราไม่ยาวแต่ตัดแต่งเป็นระเบียบมาก ผมสั้นแต่หนาอย่างยิ่ง
กล้ามเนื้อบนแขนแบ่งเส้นชัดเจน ขากางเกงม้วนขึ้น เส้นเลือดดำตรงข้อเท้าปูดโปน
ประมุขหอตี๋คนนี้ไม่ต่างอะไรกับชาวนาเฒ่าผู้เพาะปลูกทั้งวันที่เห็นได้ในวันปกติ
ยังเห็นท่วงท่าแคล่วคล่องที่เขาใช้พลั่วสับดิน ใช้กระบวยตักปุ๋ย หากไม่ใช่ความชำนาญที่สั่งสมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ไม่อาจเลียนท่าทางนี้ออกมาได้
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกถึงพลังแรกเริ่มที่สุดอย่างหนึ่งบนตัวเขา…ความเรียบง่าย
ความเรียบง่ายนี้ไม่ได้หมายถึงภายนอกของเขาดูทุกข์ยากสามัญเพียงใด และไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ของเขาธรรมดาทั่วไปขนาดไหน
แต่หมายถึงอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติของเขา ทุกการกระทำคำพูดซื่อตรงไม่เสแสร้ง
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ ต่อให้เจ้าพยายามไขว่คว้าเท่าไรก็ทำไม่สำเร็จ
มีเพียงผู้ที่จิตใจไม่มีความคิดอื่นอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะสะท้อนออกมาได้
อย่างไรการไขว่คว้า การแสวงหาก็เป็นความคิดอื่นอย่างหนึ่ง
แต่ตราบใดที่คนมีชีวิตอยู่ เป็นใครก็ยากหลีกเลี่ยงการเสาะแสวง
ผู้ฝึกยุทธ์รักกระบี่ล้ำค่า กวีผู้ลือนามหวงแท่นฝนหมึก
เรียกได้ว่าต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง
แต่ตราบใดที่มีของนอกกายติดตัว นั่นก็คือการพ้นจากความจริงแท้และความสามัญ
บัณฑิตแบ่งการวางตนต่อโลกภายนอกไว้เป็นสี่ระดับ พูดและกระทำมีขอบเขต วางเฉยทั้งโปรดปรานและอดสู ไม่ยึดติดอารมณ์ความคิด ทำตนตามสบาย
ยามคนเพิ่งมาถึงบนโลก เรื่องแรกที่ทำคือเดินเหินพูดจา
ดังนั้นเรื่องของการกระทำคำพูดนี้จึงเป็นแก่นแท้ของความเป็นคน
ไม่พูดย่อมไม่อาจสื่อสาร
ไม่ทำย่อมไม่อาจเข้าสังคม
แต่ขั้นตอนการฝึกพูดกับเดินให้เป็นนั้นสั้นนัก ตอนทำให้ตัวเองหุบปากและนั่งอยู่เฉยๆ กลับยาวนานยิ่ง
บางคนอาศัยหนังปากหากิน แล้วก็มีคนพึ่งขาวิ่งหาเงินใช้ชีวิต
แต่มองในร้านสุราล้วนเป็นแขกปากพล่อย ในบ่อนพนันล้วนเป็นพวกสุรุ่ยสุร่าย
ต่างกับเด็กหัดพูดตอนแรกเริ่ม ภายหลังยิ่งพูดมากยิ่งทำให้คนร้อนรุ่มในใจ ยิ่งเดินทางไกลยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญหาย
ดังนั้นการพูดและกระทำอย่างมีขอบเขตก็คือให้พูดจาหรือกระทำการอย่างพอดี
ไม่ได้บอกว่าต้องขออภัยไปเสียทุกเรื่อง แต่เป็นการให้คนเพิ่มความเข้าใจและใคร่ครวญก่อนเปิดปากลงมือทำสักสองสามส่วน
………………
หลิวรุ่ยอิ่งก็เข้าใจหลักการนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ถูกต้องเหมาะสมเหมือนข้อสรุปในสายบุ๋น
นึกถึงยามที่เขาไปรับม้าในคอกตอนถูกแต่งตั้งเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ชายชราเลี้ยงม้าผู้นั้นถือเชือกบังเหียนบอกเขาว่า ‘บางคำไม่อาจพูดได้ชั่วชีวิต พูดแล้วหาเรื่องใส่ตัว! บางสถานที่ห้ามไปชั่วชีวิต ไปแล้วรนหาที่ตาย!’
พอเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พูดก็คือหลักการนี้ไม่ใช่หรือ
ส่วนการวางเฉยทั้งโปรดปรานและอดสู หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งรู้ซึ้งเป็นอย่างดี…
คนมากมายเท่าไรลงเอยด้วยจุดจบที่ไม่อาจฟื้นคืน เพราะท่าทีโอ้อวดเหยียดหยามตอนมีอำนาจและได้รับความโปรดปราน
แต่ยังมีคนยิ่งกว่านั้น มีปากเสียงกับคนอื่นเล็กน้อยสองสามประโยคก็จะชักดาบฆ่าคน
หลิวรุ่ยอิ่งนึกเสียดายเพื่อนร่วมห้องที่เคยเรียนอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้
ตอนนั้นทั้งสองความสัมพันธ์ดียิ่งถึงที่สุด…กระทั่งความผิดใหญ่หลวงอย่างการเดินเล่นในกรมสอบสวนยามวิกาลยังร่วมกันทำ
เขาไม่มีฐานะสูงส่งอันใด
ต่างกับหลิวรุ่ยอิ่งที่เป็นลูกหลานวีรบุรุษแห่งกรมสอบสวน เขาถูกบีบคั้นมามากนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ากรมสอบสวน จึงพูดน้อยเงียบขรึมมาตลอด
ก็ไม่รู้ทำไมถึงเข้ากับหลิวรุ่ยอิ่งได้
ทั้งสองคนเข้าเรียนเลิกเรียน กินข้าวล้างหน้าแปรงฟันอยู่ด้วยกันทุกวัน
ต่อมายังยื่นคำร้องเปลี่ยนห้องนอนมาอยู่ร่วมกัน
แต่เงามืดในใจก็เหมือนตรานาบจากเหล็กนาบเช่นนั้น รอยยิ้มมากมายเท่าไรก็ไม่อาจทำให้จางหรือลบออกไปได้
สุดท้ายก็เป็นเพราะคำพูดเย้ยหยันไม่กี่ประโยคของคนอื่น เขาชักดาบแทงทะลุกายคนคนนั้น
เคราะห์ดีสุดท้ายรักษาชีวิตคนไว้ได้ และหัวหน้าที่แยกกันดูแลพวกเขาก็เป็นคนใจดีคนหนึ่ง
ด้วยการพยายามไกล่เกลี่ยของเขา จึงลงโทษแค่ห้าสิบไม้แล้วไล่ออกจากกรมสอบสวน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้อานุภาพการลงไม้ของกรมสอบสวนดี
หากคนลงโทษตั้งใจตีจุดเจ็บหนัก อย่าว่าแต่ห้าสิบ แค่เล็กน้อยอย่างสามสิบครั้งก็เอาชีวิตเขาได้เลย…
ตอนนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นแก่มิตรภาพมากกว่าสิ่งใด
เพียงแต่เขาต่ำต้อยคำพูดไม่มีน้ำหนัก ยิ่งไม่มีเงินเก็บใดไปติดสินบนเพื่อใช้เส้น
ผลคือเดือดดาล ถึงขั้นจะบุกเข้าห้องผู้ตรวจการกองเจี่ยงชางฉง
แม้ถูกคนขวางไว้ แต่การก่อเรื่องเช่นนี้ก็แก้ต่างให้สหายของเขาได้ดีจริงๆ
ตีครบห้าสิบไม้ แม้หนังเปิดเนื้อแตกทั้งตัว แต่สุดท้ายไม่ได้บาดเจ็บถึงเอ็นและกระดูก
ตอนเขาหันกายออกจากกรมสอบสวน ไม่มีใครไปส่งเขาสักคน
หนำซ้ำด้วยนิสัยการเข้าสังคมของเขา คงไม่มีใครมาส่งอยู่แล้ว…
มีเพียงหลิวรุ่ยอิ่งยืนมองอยู่ด้านข้างจากไกลๆ เขาหันมายิ้มให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย โบกมือแล้วก็หายลับไปในฝูงชน
นับแต่นั้นมา หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้ว่าการตอบโต้ด้วยความรุนแรงไม่ได้ผลเหมือนการยอมจำนนต่อสถานการณ์
ไม่ว่าเจ้าโหดร้ายแค่ไหน มักจะมีคนโหดร้ายกว่าเจ้าเสมอ
เหมือนติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง เขายังหวั่นเกรงฉิงจงอ๋องหลิวจิ่วเฮ่าอยู่สามส่วนไม่ใช่หรือ ไม่เช่นนั้นคงลงมือชิงกระบี่หุบเหวดาราของหลิวรุ่ยอิ่งไปนานแล้ว!
นอกจากตอนถูกมนุษย์แท่งน้ำแข็งดักสังหารครั้งแรก จนถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เคยได้รับความเสียหายหนักหน่วงใด
แต่เพราะเห็นกรมสอบสวนจนชินได้ยินจนซึมทราบตั้งแต่เด็ก เขาก็เข้าใจว่าการเป็นจุดสนใจไม่ได้แย่งกันโดยง่าย กระถางอุจจาระ[1]ก็ไม่ได้เหม็นขนาดนั้น
ตัวอย่างเพื่อนสนิทของเขาก็วางให้เห็นชัดจะแจ้งอยู่ตรงหน้า เลือดที่ไหลนองพื้นจากการฟาดไม้ครานั้นยังไม่แห้งเลย…
ตั้งแต่วันนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็คิดถึงช่วงเวลาที่ทำเรื่องไร้สาระสมัยก่อนอย่างยิ่ง
พอสหายจากไป เขาวิ่งมาคอกม้าแทบทุกวัน
กรมสอบสวนดูแลม้าเข้มงวดมาก
ม้าทุกตัวล้วนลงทะเบียนในสมุด และทุกวันยังมีการลงบันทึกอย่างเคร่งครัดว่าให้อาหารตอนไหน แปรงขนอาบน้ำเมื่อไร
แต่ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งไปยิ้มใสซื่อให้ชายชราเลี้ยงม้าแล้วช่วยเขาเติมยาเส้นจนเต็มหนึ่งกระบอก ก็จะได้ยินเขาพูดประโยคหนึ่ง
“ไปเล่นให้สนุกเถิด…เดี๋ยวข้าคอยหันมองให้เจ้าอยู่ตรงนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้ขี่ม้าออกไปห้อตะบึงอยู่พักหนึ่ง
ได้ยินเสียงลมพัดอู้ๆ ผ่านข้างหู ทำให้พักเรื่องกังวลทั้งหลายที่ไม่เข้ากับบรรยากาศไว้ข้างหลังได้ชั่วคราว
พอลงจากม้า ต่อให้มันโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่ได้รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
เป็นเช่นนี้เรื่อยไป หากมีฟ้าดินผืนนี้ย่อมสามารถรู้ทุกข์โดยไม่พูด เจอสุขโดยไม่กล่าว
………………
ต่อมาภายหลัง หลิวรุ่ยอิ่งแบกรับคดีให้ร้ายตระกูลหยวน…แบกรับคำก่นด่าสาปแช่งของหยวนเจี๋ย ทั้งยังผูกติดอยู่ใน ‘การไม่ยึดติดอารมณ์ความคิด’ อย่างที่สามนี้จนถึงปัจจุบัน
ที่จริงเขามองเรื่องนี้ต่างออกไป
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเหตุผลและความรู้สึกในโลกก็มีแค่รักกับไม่รัก
รักแล้วย่อมสุขใจ ไม่รักย่อมเจ็บปวด
สัญญารักชั่วฟ้าดินสลายทุกเช้าค่ำอะไรนั่นล้วนเป็นคำลวงหลอกคน
คิดว่าบัณฑิตเขียนออกมาก็เพื่อขัดเกลาผู้อื่น…แต่ตัวเองทำเช่นนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความลับส่วนตัวระดับไหนกัน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยนึกถึงบั้นปลายชีวิต เพราะเขามอบชีวิตที่เหลือของตนออกไปแล้ว
หลังจากได้นั่งตำแหน่งผู้บังคับการกรมสอบสวนก็ตายอยู่ใต้กระบี่ของหยวนเจี๋ย แม้คำสัญญากับความคิดเช่นนี้โง่เง่ายิ่งนัก แต่เมื่อเจ้าเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดคือชีวิตที่เหลือ เจ้าอาจได้พบคนที่อยากมอบชีวิตที่เหลือให้ในช่วงอายุหนึ่งหรือสถานการณ์หนึ่ง ไม่ว่าเป็นเพราะรักหรือชดใช้ก็ตาม
ทุกครั้งที่หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงความน่าเวทนาของตระกูลหยวนในวันนั้นแล้วรู้สึกหวั่นกลัว ขอแค่นึกถึงการชดใช้ตอนสุดท้ายของตนก็เบาใจลงและหลับฝันดีได้
หนทางยังยาวไกล วันหน้าอีกยาวนาน
เขาไม่ใช่คนชอบครุ่นคิดถึงอนาคต เพราะโดยทั่วไปจะหมายถึงให้คำมั่นสัญญานับไม่ถ้วน
และคำสัญญาก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำลวง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากโกหกใคร ดังนั้นนอกจากหยวนเจี๋ย เขาไม่เคยทำสัญญาใดอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนก็ไม่ต้องหาข้ออ้างมากู้สถานการณ์ และจะไม่มีใครเสียใจเพราะสิ่งนี้
แต่ลู่หมิงหมิงตรงข้ามกับหลิวรุ่ยอิ่งโดยสิ้นเชิง
เขาคิดถึงอดีตเกินไป…
ใต้หล้ากว้างใหญ่ที่ไหนตีเหล็กไม่ได้บ้าง เขากลับอยากอยู่ในเมืองจิ่งผิง
แม้ออกจากหอทรงปัญญาแล้ว ก็ไม่อยากไปไกลเกิน
ตอนนี้พบประมุขหออีกครั้ง ยังไม่พูดสักคำก็คุกเข่ากับพื้นร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“ศิษย์จำได้…แต่ในเมืองจิ่งผิงไม่มีตังกุย[2]…”
ลู่หมิงหมิงพูดพลางเช็ดน้ำมูกน้ำตาบนแขนเสื้อ
“ซานชี[3]ปลูกง่ายไม่มีคนปลูก ถึงเวลากลับก็ยังไม่กลับ…สิ่งนี้หาได้ทั่วไป แต่เมืองจิ่งผิงนั่นกลับไม่มี ไม่โทษเจ้า”
ผู้เฒ่ากล่าว
“เข้าบ้านเถิด”
ผู้เฒ่าวางพลั่วใต้โคนต้นท้ออีกครั้ง กล่าวกับลู่หมิงหมิง
“ทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว ข้าผู้เฒ่าตี๋เหว่ยไท่”
………………………………………….
[1] กระถางอุจจาระ หมายถึงความคิด เรื่องเลวร้าย
[2] ตังกุย สมุนไพรชนิดหนึ่ง ความหมายตรงตัวของตังกุยคือควรกลับ หรือได้เวลากลับแล้ว ในบทสนทนานี้สื่อเป็นนัยว่าตนไม่ควรกลับมา
[3] ซานชี โสมชนิดหนึ่ง