ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 72 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-1
บทที่ 72 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-1
หลิวรุ่ยอิ่งไล่ตามฝีเท้าจิ่วซานปั้นจนมาถึงด้านในศาลบรรพชนแห่งนี้
เขาต่างจากจิ่วซานปั้นที่ไร้กฎเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตรงไปชมกำแพงโคลนสีสันฉูดฉาดด้านหลังสุด แต่เข้าไปที่โถงหลักก่อนตามระเบียบ
เขาเห็นว่าโถงหลักว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งธูปและไม่มีร่องรอยการพรมน้ำกวาดพื้น
ทว่าแม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็สมบูรณ์แบบ
นอกจากไม่มีรูปปั้นหรือแผ่นป้ายจิตวิญญาณอยู่บนแท่นบูชาแล้ว สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่ผิดแปลกใดๆ
“ดูเหมือนไม่ใช่สถานที่ที่บัณฑิตจะเข้าออกเลย”
หลิวรุ่ยอิ่งถามไปทางด้านหลัง ช่างตีเหล็กก็เข้ามาในโถงหลักด้วย
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันทีที่อาจารย์ซอมซ่อผู้นี้เข้ามาในศาลบรรพชนเขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวพลันเปลี่ยนไป สีหน้ารอยย่นระหว่างคิ้วไม่เอ้อระเหยเฉื่อยชาอีกต่อไป
“ที่ข้าพูดเป็นสถานการณ์ในสมัยข้าต่างหาก…เด็กหนุ่มสมัยนี้ไหนเลยจะเคารพกฎเกณฑ์ใดๆ หนึ่งคนเพิ่มเป็นสองคนล้วนรีบแจ้นไปหาหญิงงาม บ้านทองคำอะไรนั่นแล้ว จะมีสักกี่คนที่ตั้งใจร่ำเรียนเพื่อสิ่งนี้จริงๆ กัน”
ช่างตีเหล็กส่ายศีรษะ น้ำเสียงเอือมระอายิ่งนัก
“โอ้ะ ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะเป็นบัณฑิตละ!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดติดตลก
เขาเดาถูก ในบรรดาบัณฑิตที่เข้าออกสมัยนั้นต้องมีช่างตีเหล็กอยู่แน่นอน ไม่แน่ว่าหัวข้อจารึกบนกำแพงโคลนอาจมีลายมือของเขาอยู่ก็ได้
“ไม่กล้าๆ…หากกล่าวจริงๆ ละก็ อีกนัยหนึ่งคือรู้จักตัวอักษรจีนมากมาย ฝืนเรียกว่ากึ่งบัณฑิตคงได้กระมัง”
ช่างตีเหล็กโบกมือปัดพลางยิ้มกล่าว
“กึ่งบัณฑิตหรือ ล้วนเป็นร่างกายมนุษย์ ทั้งร่างกาย เหตุใดจึงมีคำกล่าวกึ่งต่อกึ่งเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้มากนัก
“วาจาคมคายก็เป็นบัณฑิตได้หรือ”
ช่างตีเหล็กย้อนถาม
“ไม่นับ ขอทานที่ไม่รู้หนังสือข้างถนน เนื้อเพลงร้องติดปากก็สัมผัสประสานได้ดียิ่งไม่ใช่หรือ สุดท้ายแล้วบัณฑิตจะมุ่งเน้นไปที่ตัวอักษรในตำราจึงจะถูก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เช่นนั้นแยกแยะสิ่งถูกผิดก็เป็นบัณฑิตได้หรือไม่”
ช่างตีเหล็กเอ่ยถามอีก
“ก็ไม่นับ ผู้เฒ่าในหมู่บ้านไม่รู้อักษร อ่านตำราไม่ได้แต่ก็สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งถูกผิดได้ชัดเจน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ฉะนั้นตามที่เจ้ากล่าวมา บัณฑิตไม่เพียงแต่รู้อักษร แต่ยังต้องอ่านตำรามาหลายเล่มแล้วจึงจะนับว่าเป็นใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ เขาสับสนมึนงงกับคำพูดวกไปวนมาของช่างตีเหล็ก
“บัณฑิตร่ำเรียนจริงๆ ไม่ใช่เท็จ แต่ที่ร่ำเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นตำราจริง กลับกัน คนที่ร่ำเรียนตำราจริงไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากผู้ที่ร่ำเรียนจริงเหล่านั้น…ข้าอ่านตำราจริงเองมาหลายหน้า แต่กลับไม่เข้าพวกกับพวกเขา ครั้นพูดเช่นนี้แล้วข้าก็เป็นกึ่งบัณฑิตไม่ใช่หรือ”
ช่างตีเหล็กเอาแต่พึมพำคุยกับตนเองยกใหญ่
หลังจากได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะ
เขารู้สึกว่านี่ช่างดูไร้เหตุผล พิจารณาคำกล่าวข้างๆ คูๆ อย่างถี่ถ้วนแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่หลายส่วน
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ให้ข้าดูตำราจริงที่ท่านร่ำเรียนได้หรือไม่ ในฐานะสายบู๊ก็อยากเรียนรู้การเป็นคุณชายผู้อ่อนโยนว่าเป็นเช่นไร แสร้งทำกึ่งหนึ่งก็ได้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ไม่คาดคิด ช่างตีเหล็กจัดแจงเสื้อผ้า ทั้งจัดทรงผมรุงรังข้างขมับให้เรียบแล้วเดินไปถึงส่วนลึกที่สุดของโถงหลักพร้อมหันกลับมากล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“ตำราจริงอยู่ในศาลบรรพชนแห่งนี้”
ช่างตีเหล็กพูดพลางชี้ยอดสุดและพื้นดิน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อครู่เจ้าจึงถอยออกจากบ้านได้ในกระบี่เดียว”
ช่างตีเหล็กเห็นสีหน้าสับสนของหลิวรุ่ยอิ่งจึงกล่าวอธิบาย
“ไม่รู้…”
หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้ยิ่งนัก
เมื่อครู่ตนจับกระบี่บีบคั้นสังหารมนุษย์แท่งน้ำแข็ง บ้านทุกหลังบนถนนราวกับหลีกทางให้เขาโดยถอยห่างออกไปหลายจั้ง
หลังเหตุการณ์เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ใคร่ครวญอยู่นานก็ไม่ทราบเหตุผล จึงหาข้ออ้างว่ามันเป็นความแปลกที่เกิดจากธรรมลักษณ์บรมครู
“เพราะกระบี่เล่มนั้นของเจ้าแฝงด้วยพลานุภาพ กล่าวให้ถูกคือพลานุภาพเกิด”
ช่างตีเหล็กกล่าว
“พลานุภาพเกิด สิ่งใดเรียกว่าพลานุภาพ พลานุภาพกระบี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ครั้นกล่าวถึงปราณกระบี่ แสงกระบี่ พลังกระบี่ เขาล้วนเข้าใจทั้งสิ้น
พลานุภาพกระบี่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เป็นเพียงพลานุภาพของกระบี่เท่านั้น
ไปทางใด ใช้พลังกี่ส่วน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับบำเพ็ญวิถียุทธ์และทักษะวิชากระบี่อย่างใกล้ชิด แต่กลับไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดบ้านเรือนจึงถอยหลีกด้วยความประหลาดขณะที่ตนไล่บี้สังหารคน
หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นจะไม่เหมือนตำนานเหนือธรรมชาติในนิทานหรอกหรือ
จู่ๆ ถนนตลาดคึกครื้นก็ปรากฏขึ้นบนภูเขาแห้งแล้งฉับพลัน หรือไม่ก็พื้นโล่งแต่มีกำแพงขวางกั้นถนนกะทันหัน
“จะอธิบายอย่างไรดี…เจ้า ‘พลานุภาพ’ นี่ก็เป็นวิชาประเภทหนึ่งกระมัง”
ช่างตีเหล็กเผยสีหน้ายุ่งเหยิง พูดพลางเกาศีรษะอย่างงุนงง
“วิชาหรือ ข้าไม่เคยฝึกมันมาก่อน เหตุใดจึงบรรลุเองโดยไร้อาจารย์เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามต่อ
เขาไม่เพียงรู้สึกว่าช่างตีเหล็กไม่มีคำอธิบายใดๆ ให้ตน กลับกันยิ่งสับสนงงงวยขึ้นเรื่อยๆ
“ถูกต้อง! บรรลุโดยไร้ครู! คำนี้แหละ!”
ช่างตีเหล็กตบฝ่ามือฉาดหนึ่ง กล่าวเสียงดังด้วยความตื่นเต้น!
“อันที่จริงศาลบรรพชนแห่งนี้มีชื่อว่าศาล ‘พลานุภาพ’ เดิมทีใต้หล้ามีศิษย์ ‘พลานุภาพ’ มากทีเดียว โดยฝึกฝน ‘พลานุภาพ’ เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ต่อมา ‘พลานุภาพ’ ค่อยๆ บางเบาลง จากนั้นจึงทลายสิ้นสมบูรณ์…”
ช่างตีเหล็กกล่าว
คำพูดนี้เข้าหูหลิวรุ่ยอิ่งราวกับปาฏิหาริย์
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของกรมสอบสวนหรือการสนทนาของเหล่าผู้อาวุโส เขากลับไม่เคยได้ยินคำพูดเกี่ยวกับ ‘พลานุภาพ’ มาก่อน
‘พลานุภาพ’ ที่เคยรุ่งโรจน์เช่นนี้จะถูกตัดขาดจนเกลี้ยงได้อย่างไร
“‘พลานุภาพ’ ที่อื่นสูญไปนานแล้ว…หมายถึงเมืองหลวงของเจ้าคงไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แน่นอน ปัจจุบันคาดว่าคงหลงเหลืออยู่เพียงนิดๆ หน่อยๆ ในสถานที่ห่างไกลของสองอาณาจักรอ๋องอย่างติ้งซีและเจิ้นเป่ย”
ช่างตีเหล็กกล่าว
“จะฝึกฝน ‘พลานุภาพ’ นี้ได้อย่างไร”
แม้ว่าการทำให้บ้านเรือนหลีกถอยจะยิ่งคล้ายกับกลอุบายยุทธภพ แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกอธิบายไม่ถูกว่า ‘พลานุภาพ’ นี้จะเป็นประโยชน์ต่อตนในภายภาคหน้า กล่าวได้ว่าใจเต้นเล็กน้อย
“ไม่รู้…”
ช่างตีเหล็กกล่าวอย่างเด็ดขาดชัดเจน
“เช่นนั้นท่านรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้ารู้เพียงประวัติคร่าวๆ ของ ‘พลานุภาพ’ รู้ว่ามีพลังนี้อยู่ แต่นี่และการควบคุมมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
ช่างตีเหล็กหงายมือกล่าว
“เอาเถิด…‘พลานุภาพ’ จริงๆ แล้วมาจากที่ใด เกิดขึ้นได้อย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ แต่แม้ว่า ‘พลานุภาพ’ จะเริ่มต้นได้ง่าย บรรลุการฝึกจากอาจารย์นั้นยากยิ่ง ข้าค้นพบจากตัวอักษรในคลังสะสมว่า ‘พลานุภาพ’ แบ่งออกเป็นสี่ขั้นคือ พลานุภาพเกิด พลานุภาพก่อตัว พลานุภาพกำหนด พลานุภาพสั่งการ แม้ว่าจะคล้ายกับวิชาประเภทหนึ่งแต่ก็มีการแบ่งระดับ ‘พลานุภาพ’ เป็นซี่โครงไก่[1]สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้อย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง”
ช่างตีเหล็กเห็นหลิวรุ่ยอิ่งไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่จ้องมองเขา พลันรู้ว่านี่เป็นการหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้นของตนจึงทำได้เพียงพูดต่อไป
“ฝึกยุทธ์เพื่อการใด ไม่ใช่เพราะการฝึกตนที่เหนือกว่าสามารถนำมาซึ่งพลังสู้รบที่แกร่งยิ่งขึ้นหรือ กระบี่เล่มนี้จะทลายวายุหรือทลายเมฆาล้วนขึ้นอยู่กับข้อได้เปรียบของตัววิชาและระดับฝึกตนของผู้ใช้เอง แต่ ‘พลานุภาพ’ ทำได้เพียงหนุนทักษะกระบี่นี้เท่านั้น ไม่อาจนำมาใช้งานได้โดยตรง เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ช่างตีเหล็กกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว…กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘พลานุภาพ’ ไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือโจมตีโดยตรง แต่สามารถใช้หนุนบางอย่างให้ทักษะที่ตนมีอยู่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ถูกต้อง ถึงได้บอกว่ามันเหมือนซี่โครงไก่ไงเล่า! ฝึกไปก็ไร้ผล จะทิ้งก็เสียดาย…ยิ่งกว่านั้น นับแต่โบราณจนปัจจุบัน มีเพียงสิบคนที่บรรลุ ‘พลานุภาพ’ โดยสมบูรณ์เท่านั้น แต่ละคนล้วนกลายเป็นตะวันยามอรุณ กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งไปแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ เวลาผ่านไปนานมากโข ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่ออีกแล้ว…”
ช่างตีเหล็กพูดจบกลับรีบปิดปากทันที…
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขารู้สึกว่าการเกิดและการดับสูญของ ‘พลานุภาพ’ ก็สอดคล้องตามกฎจริงๆ
หากกล่าวว่าสังคมยุคดึกดำบรรพ์ ผู้คนยังทำได้เพียงเขวี้ยงก้อนหินใส่สัตว์ป่า หากมีการหนุนนำจาก ‘พลานุภาพ’ คงจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ยิ่ง
จนกระทั่งต่อมามีวิชาอาคมมากมาย ดาบหอกกระบี่ง้าว ขวานตะขอและส้อมนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกวิธีใดก็ตามล้วนมีเป็นพันหมื่นวิธีในการฝึกฝน ฉะนั้น ‘พลานุภาพ’ นี้ย่อมไม่มีผู้ศรัทธาเป็นธรรมดา
เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เจ้ามีเงินเพียงไม่กี่ตำลึง ทันใดนั้น ‘พลานุภาพ’ นี้จะทำให้เจ้าได้รับทองหนึ่งถึงสองตำลึง เจ้าจะรู้สึกว่ามันมีค่าอย่างยิ่งและยิ่งศรัทธาอย่างไร้ข้อกังขามากขึ้น
แต่แม้ว่าตอนที่เจ้ามีติดตัวอยู่แล้วร้อยตำลึง ‘พลานุภาพ’ นี้ให้เจ้าได้เพียงทองหนึ่งหรือสองตำลึงเช่นกัน มันก็เหมือนซี่โครงไก่ไม่ใช่หรือ
ยิ่งกว่านั้นตามคำกล่าวของช่างตีเหล็ก ‘พลานุภาพ’ นี้ฝึกฝนได้ยากยิ่งนัก
“แต่ว่า ท่านอาจารย์ก็น่าจะเคยฝึกฝน ‘พลานุภาพ’ กระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ข้า…ข้าไม่เคยฝึกมาก่อน! นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเห็นตอนอ่านตำราไปเรื่อยหลังจากตีเหล็กเสร็จต่างหาก…ข้าเพียงเดินไปดูโน่น เดินไปดูนี่ ไหนเลยจะเป็นการฝึกฝนได้!”
ทันใดนั้นช่างตีเหล็กพลันรู้สึกเก้อกระดาก แก้ตัวอ้อมแอ้มอย่างขอไปที
“แต่ว่า…ข้าแนะนำว่าทางที่ดีเจ้าอย่าคิดลองมันง่ายๆ…แม้ว่าวิชาของเจ้าจะแสดงพลานุภาพเกิดแล้วก็ตาม อย่าได้ถลำลึกลงไปกว่านั้น…”
จู่ๆ ช่างตีเหล็กก็กล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ฮ่าๆ ต่อให้ข้าจะอยากฝึกฝนแต่ก็ต้องมีวิชาใช่หรือไม่ ตามคำกล่าวของท่าน ‘พลานุภาพ’ ที่เหลืออยู่เป็นเพียงตำนานที่ไม่รู้จริงเท็จ จะฝึกฝนมันได้อย่างไรเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางหัวเราะ เขารู้สึกว่าอาจารย์ของเขาช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
“ไม่ พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร”
ช่างตีเหล็กส่ายศีรษะพลางกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะถามต่อ เขากลับเดินปรี่ออกจากศาลบรรพชนไปแล้ว
“ข้ายังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ!”
ครั้นโอวเสี่ยวเอ๋อเห็นเขากลับมาในร้านตีเหล็ก จุดเตาหลอมใหม่อีกครั้งและเริ่มหลอมเหล็กต่อ จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ทันใดนั้นจึงสงบสติลงและเบิกตากว้าง มีสมาธิไม่วอกแวกหมายจะจดจำทักษะของช่างตีเหล็กทั้งหมดไว้ในสมองอย่างมั่นคง
‘เข้าใจหรือไม่ไว้ค่อยว่ากัน ขอเพียงจดจำไปก่อน สักวันหนึ่งก็จะศึกษามันได้อย่างชัดเจน’
โอวเสี่ยวเอ๋อคิดในใจ
…………………..
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ในศาลบรรพบุรุษ ยังไม่อยากออกไป
ในใจเขาสนใจ ‘พลานุภาพ’ นี้จริงๆ
อันที่จริงในระหว่างการต่อสู้กับมนุษย์แท่งน้ำแข็ง กระบี่สองเล่มที่เขาฟาดฟันออกไปในตอนท้าย เขาก็รู้สึกถึงสภาพที่ต่างไปจากปกติเช่นกัน
แต่เขากลับถือว่าสิ่งนี้เป็นผลพลอยจากธรรมลักษณ์บรมครู…ตอนนี้ดูเหมือนว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดจาก ‘พลานุภาพ’
เขาเห็นห้องหินเล็กๆ สองห้องถัดจากโถงหลัก ทั้งซ้ายขวาดูไม่แตกต่างกัน จึงสุ่มเลือกห้องแล้วเดินเข้าไป
ภายในห้องหินนี้ไม่มีหน้าต่าง บนผนังส่วนที่ลึกที่สุดมีตะเกียงเล็กๆ ที่น้ำมันหมดไปนานแล้วดวงหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งคลำไปรอบๆ จนมองเห็นแท่นเล็กเตี้ย มีเสื่อขาดรุ่งริ่งปูอยู่บนนั้น
ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัส เสื่อพลันกลายเป็นฝุ่นฟุ้งทันที
ท่ามกลางความฉุกละหุก หลิวรุ่ยอิ่งรีบอุดจมูกปิดปากพัลวัน หมายจะหลบเลี่ยงฝุ่นฟุ้งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าฝุ่นจะปลิวว่อนไปรอบตัวหลิวรุ่ยอิ่ง
“ผู้ใดกัน!”
หลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่มองไปรอบๆ ทันที แต่จนแล้วจนรอดฝุ่นก็ยิ่งหนามากขึ้นเรื่อยๆ จนห่อหุ้มเขาไว้ข้างในราวกับรังไหม ต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งจะตวัดกระบี่ฟันอย่างไรล้วนไร้ผล
เขาตะโกนเสียงดัง แม้กระทั่งเสียงยังดูเหมือนจะถูกฝุ่นกลืนหายไปจนสิ้น…เสียงไม่ดังออกไปข้างนอกเลยแม้แต่นิด
ในช่วงเวลายาวนาน หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่ตรงเสื่อเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว
ฝุ่นเคลื่อนตัวออกทันใด พลันก่อตัวเป็นม่านควันต่อหน้าเขา ระหว่างนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากมายนับไม่ถ้วน…
เห็นเพียงหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวโผล่ออกจากม่านควัน หลิวรุ่ยอิ่งเหาะถอยหลังกลางอากาศ
แม้จะรู้ว่ามีกำแพงอยู่ด้านหลัง แต่กลับควบคุมแรงได้อย่างแม่นยำ ส้นเท้าแตะชิดติดผนังได้พอดี
เสียงลมหึ่งๆ ดังในหูของเขา สั่นสะเทือนอย่างยิ่ง
ครั้นมองย้อนกลับไปจึงเห็นว่ากำแพงกำลังถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว…
………………………………………………………………………….
[1]ซี่โครงไก่ เปรียบถึง บางอย่างฝึกไปก็ไร้ผล แต่จะทิ้งก็เสียดาย