ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 71 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-4
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 71 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-4
บทที่ 71 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-4
ไม่ว่าลมแรงหรือหิมะตก แดดจัดหรือฝนตกหนัก มันล้วนเปิดเผยอย่างผ่าเผย
ผู้คนอาจให้ความสำคัญกับใบหน้าของตนที่สุด กระทั่งให้ความสำคัญกับมือและเล็บยิ่งกว่าสนใจเรื่องลำคอ
อย่างไรเสีย หากเสียโฉมและทุพพลภาพเทียบกับความตายแล้ว ช่างเป็นการประทานพรที่ยิ่งใหญ่
มนุษย์แท่งน้ำแข็งรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งในยามนี้เหมือนคนละคนเมื่อเทียบกับครั้งก่อน
เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าสิ่งใดสามารถทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้
แม้ว่า ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ไม่ธรรมดา แต่ท้ายที่สุดวิชาและทักษะกระบี่ก็เป็นเพียงสิ่งตายตัวที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ สิ่งสำคัญก็ยังขึ้นอยู่กับผู้ฝึกตน
กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปย่อมล้ำค่ายิ่ง แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้ครอบครองมานับไม่ถ้วน เหตุใดไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้จนกลายเป็นยอดเทพบริราชเก้าทวีปเล่า
แม้ว่าชุดเครื่องแบบนายกองกรมสอบสวนบนกายหลิวรุ่ยอิ่งจะขาดรุ่งริ่ง ผิวหนังที่เผยด้านนอกมีรอยแผลประปราย
แต่ภายใต้อานุภาพแห่งธรรมลักษณ์บรมครูของเขานั้น ท่ามกลางสายตามนุษย์แท่งน้ำแข็งช่างเจิดจรัสยิ่งนัก
คมกระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ จนสัมผัสกับส่วนผิวหนังละเอียดอ่อนที่สุดตรงลำคอของเขา
เพียงต้องการเวลาช่วงสุดท้ายก็จะสามารถปลิดชีพเขาได้ทันที
ทว่า หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้ทำเช่นนี้
ดูเหมือนเขาจะสนุกไปกับบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ยิ่งนัก
ในที่สุด มนุษย์แท่งน้ำแข็งก็ไร้หนทางถอยหนี
แผ่นหลังของเขาแนบชิดต้นไม้โบราณข้างบ่อน้ำใจกลางเมือง
แต่เขายังไม่อยากตายและยังไม่ยอมแพ้สุดตัวเช่นกัน
เขาคุกเข่าลง ร่างกายเอนพับไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที พยายามแนบชิดติดพื้นให้มากที่สุด
“อ๊าก…”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งส่งเสียงร้องโหยหวน…
เพียงชั่วครู่เดียว ขาทั้งสองข้างหักตรงหัวเข่า
กระดูกที่หักในแทงทะลุอาภรณ์เผยเลือดสดๆ ไหลซึมออกมา
“อ๊าก!”
หลิวรุ่ยอิ่งร้องคำรามเสียงยาว กระบี่แทงตรงเข้ากลางต้นไม้โบราณราวกับไม่มีสิ่งใด
ไม่นานนัก ต้นไม้โบราณเริ่มสั่นไหว
ทั้งใบเก่าหรือใบใหม่ต่างร่วงหล่นสู่พื้น จากนั้นพังทลายลง…
แม้แต่ก้อนอิฐที่กองอยู่ปากบ่อล้วนถูกพลิกคว่ำด้วยพลังแห่งกระบี่
ไม่อาจควบคุมน้ำในบ่อได้อีกจึงพุ่งกระฉูดขึ้นไป
มนุษย์แท่งน้ำแข็งดวงตาแดงก่ำ กัดฟันแน่น เลือดไหลออกจากมุมปากทั้งสองเล็กน้อย
“น้ำแข็งสยบนที!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งยันศอกกับพื้น ผนึกสร้างมวลอากาศน้ำแข็งสีครามขึ้นใหม่บนฝ่ามือทั้งสองแล้วตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมตบลงไปที่พื้น
เขารักษาท่าคุกเข่าเอาไว้จนถึงที่สุดเพราะเขาลุกขึ้นไม่ได้อีกแล้ว…แต่เขายังไม่อยากตาย ฉะนั้นในยามนี้ยังคงมุ่งมั่นต่อสู้อย่างสุดกำลัง
หากกล่าวว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงชีวิตมาก่อน นั่นเพราะเขารู้สึกว่ามันห่างไกลจากจุดระหว่างความเป็นและความตาย แต่ตอนนี้เขาเลือกสู้อย่างสุดชีวิต ต้องการอยู่รอดด้วยการต่อสู้ให้พ้นจากความตาย
แม้ว่าความสวยงามประเภทนี้อัตราเกิดขึ้นจริงไม่มากก็ตาม แต่มีย่อมดีกว่าไม่มีเลย หากสูญเสียแม้แต่สถานการณ์ที่คาดหวังไป เช่นนั้นสู้ยืดอกรับกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งไปเสียจะดีกว่า
มวลอากาศเข้าสู่พื้น ช่วงแรกไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับมองเห็นจุดที่มนุษย์แท่งน้ำแข็งตบสองฝ่ามือ พื้นดินเริ่มแตกร้าว
นี่ไม่ใช่เพราะความแห้งแล้ง แต่เป็นเพราะความหนาวเย็น
ต่อมา มวลอากาศเย็นสีฟ้าครามชั้นแล้วชั้นเล่าผุดออกมาจากพื้นดินแตกร้าว ผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ควบแน่นกลางอากาศ
ความเหน็บหนาวที่ทำให้อากาศกลายเป็นน้ำแข็งได้นั้นจะรุนแรงเพียงใดกัน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้เช่นกัน
ต้นไม้โบราณพันปีถูกตัดครึ่งหักลงด้านข้าง
น้ำจากบ่อน้ำพุ่งออกมาประหนึ่งน้ำพุ
หนึ่งคนสองขาหักไปในทิศทางตรงกันข้าม กระดูกขาวชุ่มเลือด
ภาพเหตุการณ์นี้ช่างน่าสังเวชจนไม่นึกว่ามีในโลก…
เพียงแต่มันก็ยังไม่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางเท่าสมรภูมิรบโบราณนอกหุบเขา
แต่ความปรารถนาอันกว้างใหญ่เพียงเข้าใจภาพรวมกว้างๆ การสังเกตอย่างรอบคอบต่างหากจึงจะรับรู้ถึงหัวใจที่แท้จริงได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเกล็ดน้ำแข็งสวนเข้ามา พลันกระโดดขึ้นไปในอากาศ
กระบี่ในมือไม่คมกริบเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว แต่กลับหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก
ธรรมลักษณ์บรมครูในกายดูเหมือนจะรังเกียจผลึกน้ำแข็งและความเย็นยะเยือกสุดขั้วยิ่งนัก
เพียงเห็นเขาตัวสั่นเทิ้มบนแท่นสวรรค์ ดาราสวรรค์เหนือศีรษะสั่นงันงกด้วยความตกใจ
แสงดาราสาดส่องราวกับหยาดฝน ธรรมลักษณ์บรมครูใช้กระบี่หยางแท้อวี้จิงรับมันไว้ทั้งหมดแล้วกระโดดลงจากแท่นสวรรค์ทันใด โลกใบเล็กใบนี้ก็ปิดตามหลังเขาไปเช่นกัน
จากนั้นเขายืนอยู่บนอินหยางสองขั้วในจุดตันเถียนของหลิวรุ่ยอิ่ง นำกระบี่หยางแท้อวี้จิงสอดเข้าตรงกลางสองขั้ว
กลิ่นอายลึกลับยังคงพลัดหลง พร่าเลือนและวนเวียนในกายหลิวรุ่ยอิ่ง
พลังกลุ่มนี้เคลื่อนไปตามจุดรวมประสาทจนถึงแขนขวาหลิวรุ่ยอิ่งและรวมเข้ากับกระบี่ดาราที่เขาจับไว้แน่น
หลิวรุ่ยอิ่งฟาดฟันกระบี่ออกไป พริบตาเดียวอากาศรอบตัวเบาบางลง ยิ่งไม่ต้องกลัวเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้น มันปลิวว่อนราวเศษกระดาษ
ทันใดนั้น พลังปราณและแสงดาบทั่วทั้งนภามลายหายสิ้นราวกับเป็นเพียงความฝัน…
มีเพียงบ่อน้ำผุพังที่ยังพ่นน้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่ภายใต้ม่านสายน้ำ กระบี่แนบอก มองดูน้ำสาดกระเซ็นใส่ตัวกระบี่
เขามองมนุษย์แท่งน้ำแข็งเงียบๆ มนุษย์แท่งน้ำแข็งสบตากับเขาเรียบนิ่งอย่างยิ่ง
มือของมนุษย์แท่งน้ำแข็งเริ่มเน่าเปื่อยเนื่องจากแผลบวมเย็นจัด
การโจมตีครั้งสุดท้ายเมื่อครู่เกินขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะรับไหว
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนไม่รอดแน่แล้ว…แม้จะรอดตายก็เป็นเพียงคนพิการเท่านั้น
“ลงมือเถิด”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งหลับตากล่าว
“เจ้ากลัวตายรึ”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“ไม่กลัว!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งลืมตาตะโกนด้วยความโกรธ เปล่งเสียงร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด
“ไม่กลัวแล้วเหตุใดจึงหลับตา”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันถามต่อ
“…”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งตอบไม่ได้ เพียงพ่นลมหายใจยาวแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
“หอทรงปัญญาใช่หรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าจะได้ยินข่าวดีของข้า ฉะนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเพียงมองเขาเงียบๆ เช่นนี้ จากนั้นชักกระบี่กลับและกล่าว
มนุษย์แท่งน้ำแข็งได้ยินก็กระอักเลือดทันที ผสมปะปนในบ่อน้ำไหลเชี่ยวพุ่งขึ้นฟ้าและกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
สุริยันใกล้ลับฟ้า
เลือดสีแดงฉานดุจฝนตกกลางเมืองจิ่งผิง
อาทิตย์อัสดงอันแสนเศร้าดุจเลือดย้อมนภาทางตะวันตก
“เจ้าไม่ฆ่าข้า เจ้าก็จะอยู่รอดได้ไม่นาน! ฮ่าๆๆ…ฮะฮ่าๆๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่สนเสียงสุนัขเห่าเหล่านี้พลันหันหลังกลับและเดินตรงไปทางร้านตีเหล็ก
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นว่าฝีเท้าหลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยมั่นคง จึงรีบก้าวขึ้นมาพยุงเขาและถาม
“ไม่เป็นไร”
หลิวรุ่ยอิ่งฝืนยิ้มพลางกล่าว
‘ตุ้บ!’
จิ่วซานปั้นไม่รู้ว่ามุดออกมาจากที่ใด โยนของบางสิ่งให้หลิวรุ่ยอิ่ง แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้รับมันจึงตกลงพื้นแล้วกลิ้งไปสองตลบ มันคือศีรษะมนุษย์
“ยอดนักธนูนั่นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“เป็นยอดนักธนูนั่น”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ทั้งสองคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้น
จากมุมปากแย้มบางๆ ในตอนต้นกระทั่งหัวเราะอย่างสะใจ
สุดท้าย แม้แต่ช่างตีเหล็กอาจารย์ที่หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งฝากตัวเป็นศิษย์ผู้นี้ก็พลอยเข้าร่วมเสียงหัวเราะที่อธิบายไม่ถูกนี้ด้วย
มีเพียงโอวเสี่ยวเอ๋อที่ยืนด้านข้างด้วยสีหน้ารังเกียจพลางเก็บเครื่องใช้ที่ตกแตกกระจุยจากการปะทะเมื่อครู่
“สิ่งอื่นล้วนพูดง่าย ทำอย่างไรกับต้นไม้ต้นนั้นเล่า…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ระทมขณะมองดู ‘ผลงานชิ้นเอก’ ที่ต้นสร้างขึ้น
“ต้นไม้ไม่เป็นอะไร ไม่มีข้างบนแต่ยังมีข้างล่าง ตราบใดที่รากไม่ตาย ไม่ช้าก็เร็วก็จะมีฤดูใบไม้ผลิที่สอง”
ช่างตีเหล็กกล่าว
“จริงสิ หากฝังเจ้านั่นไว้ใต้โคนต้นไม้ บางทีในอนาคตอาจเติบโตได้ดียิ่งขึ้น! ปุ๋ยนี้ไม่ธรรมาดาและทรงพลังทีเดียว!”
ช่างตีเหล็กตบหน้าผากฉาดหนึ่งพลางกล่าว
สิ้นเสียง คิดไม่ถึงว่าจะหยิบพลั่วออกจากร้านแล้วเริ่มลงมือทันที
“เฮ้ๆๆ! ท่านอาจารย์!”
หลิวรุ่ยอิ่งรีบคว้าเขาไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าช่างตีเหล็กจะแข็งแรงมากเสียจนหลิวรุ่ยอิ่งเกือบล้มคะมำจากการดึงรั้งนี้
“ทำไมเล่า ข้าจะไปตามล้างตามเช็ดให้เจ้า เจ้ายังไม่ศรัทธาอีกรึ! ร้านตีเหล็กข้ายังไม่ได้เรียกค่าชดใช้เจ้า! ข้าจะไปใส่ปุ๋ยก่อน เสร็จแล้วข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าให้ชัดเจน! อาจารย์กับศิษย์บังเกิดเกล้าย่อมต้องคิดบัญชีให้ชัดเจนจริงหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถูกช่างตีเหล็กทำเอาอึกอักจนพูดไม่ออก
ความสัมพันธ์อาจารย์กับศิษย์ที่ใดในโลกเป็นเช่นนี้เล่า
ต่อให้เป็นระหว่างบิดามารดาก็ยังเรียกว่ามรดกตกทอดตระกูล
แม้กล่าวว่าวันหนึ่งอาจารย์จะกลายเป็นบิดาในที่สุด แต่อาจารย์มักจะมาทีหลังเสมอ กล้ามเนื้อ กระดูก และผิวหนังอาจเชื่อมต่อกัน แต่ไม่มีสายเลือดแม้แต่นิด
หลิวรุ่ยอิ่งมองแผ่นหลังที่ลับไปของเขา และรู้ว่าเขามุ่งหน้าไปจัดการแก้ปัญหาให้ตน พลันรู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย
“ข้ายังไม่ทราบว่าอาจารย์ผู้นี้ชื่ออะไร พวกเจ้าทราบหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม จิ่วซานปั้นและโอวเสี่ยวเอ๋อมองหน้ากันพลางส่ายศีรษะ
“ก่อนหน้านี้เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงตะลึงไปเล่า”
จิ่วซานปั้นถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
เขามองเห็นศาลบรรพชนแห่งหนึ่งอยู่ถัดจากบ้านพังถล่มของเหล่าหวังข้างร้าน
มันตั้งอยู่ตะวันออกหันหน้าไปทางตะวันตก รูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจากบ้านพักอาศัย ทั้งหมดสร้างจากหินสีเทา ภายในมีเสาหินแปดเหลี่ยมแบ่งซ้ายขวาออกเป็นสองห้อง ผนังยังสร้างจากแผ่นหินธรรมชาติ ส่วนบนทั้งหมดเหมือนเตาสามขา อีกทั้งยังแกะสลักสัตว์ลวดลายต่างๆ เช่น หมู วัว แกะตลอดจนตัวอักษรมากมาย
หลังคาจั่วชายคาเดี่ยวเชื่อมประกบผนังหินเข้าด้วยกัน ห้องที่แยกซ้ายขวาไม่มีหน้าต่าง อาศัยตะเกียงน้ำมันส่องสว่าง
ส่วนหลังเป็นแท่นหินเตี้ยใช้ประกอบพิธีกรรม ด้านบนวางเครื่องเหล็กไว้ไม่น้อย ดูเหมือนจะเป็นฝีมืออาจารย์ของหลิวรุ่ยอิ่ง
ด้านหลังแท่นหินมีกำแพงดินโคลนอันวิจิตรละเอียด คานหินทรงสี่เหลี่ยมเปียกปูนเชื่อมกับแท่นหินเตี้ยด้านหน้า
กำแพงนี้งดงามยิ่งกว่าประตูสำนักอื่นๆ ในเมืองนี้นัก
ด้านหน้าและด้านหลังกำแพงล้วนแกะสลักภาพเหมือนไว้ กระทั่งยังมีภาพเหมือนสลักไว้บนคานทรงสี่เหลี่ยมเปียกปูนอีกด้วย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพการเดินทางของบัณฑิตชั้นสูงที่สวมชุดขุนนางบุ๋น ทิวทัศน์งดงามอลังการ โดยมีบุคคล รถม้ามากมายและสลักคำว่า ‘โชคทั้งห้า[1]’ สามคำข้างรถม้าหลัก
ภาพเหมือนล้วนแกะสลักด้วยเส้นเป็นหลัก ส่วนน้อยนักที่จะแกะสลักแบบเว้า
เส้นที่วาดสลักมีความแข็งแกร่ง ประณีต ดูเรียบง่ายและมีชีวิตชีวา แม้ว่าองค์ประกอบจะไร้ขอบเขตชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าจะแบ่งลำดับชั้นชัดเจน
ในช่องว่างของภาพวาดยังมีจารึก บทกวี การเดินทางในศาลเป็นจำนวนมาก จากซ้ายไปขวา มีจารึกมากกว่าสิบข้อ
จารึกที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดสลักไว้ว่า ‘จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด’ นอกจากนี้ยังมี ‘ดาราไหมแดงขั้นหก’ อีกสอง ‘อุษาต่วนม่วงขั้นห้า’ อีกหนึ่ง รวมไปถึง ‘บรรพตตาดเขียวขั้นสี่’ อีกนับไม่ถ้วน
“นี่เป็นสถานที่สำคัญที่สุดในเมืองจิ่งผิง ตราบใดที่ไม่สะเทือนต่อสถานที่แห่งนี้ ต่อให้เจ้าจะพลิกฟ้าสร้างปัญหาหรือไม่ล้วนไม่เป็นไร”
ไม่รู้ว่าช่างตีเหล็กกลับมาตั้งแต่เมื่อไร ชี้ศาลบรรพชนพร้อมกล่าวอธิบาย
“นี่เป็นศาลบรรพชนของผู้ใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“มันไม่ได้เป็นของผู้ใดทั้งนั้น ทว่าบัณฑิตคนใดที่ผ่านเมืองจิ่งผิงไปหอทรงปัญญาจะต้องมาเยี่ยมชมและนั่งสมาธิในนั้นครึ่งค่อนวัน นานมากแล้วก็ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้เริ่มก่อน แต่ต่อมากลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว ไม่สิ ยังมีคนไม่น้อยไปหอทรงปัญญา ครั้นประสบความสำเร็จชื่อเสียงเลื่องลือก็กลับมาเขียนจารึก ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสี่ต่างไม่กล้าเขียนมันลงไป”
ช่างตีเหล็กกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหมายจะเดินเข้าไปดู แต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้
“ไม่มีสิ่งใดน่าชม ไม่มีสิ่งใดน่าดูหรอก…ล้วนเป็นการคุยโวโอ้อวดเหม็นเปรี้ยวมากมายทั้งสิ้น ไม่คุ้มค่าที่จะเข้าไปที่ห่างไกลถึงเพียงนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่เข้าใจยิ่งนัก เพราะศาลบรรพชนนี้ตั้งอยู่ห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น
แต่ยิ่งไม่ให้เขาดู ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในกายเขา
แต่ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว จิ่วซานปั้นกลับวิ่งนำไปก่อนแล้ว…คล้ายกับว่ามีสุราชั้นเลิศซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางศาลบรรพชนแห่งนั้นก็ไม่ปาน
…………………………………………………………..
[1] โชคทั้งห้า เป็นสัญลักษณ์มงคลของจีนสื่อถึงความสุข ความมั่งคั่งหรือสุขภาพแข็งแรง