ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 65 สุนัขเหลืองแก่กินแตงกวาดองกลอกตาขุ่นขาว-2
บทที่ 65 สุนัขเหลืองแก่กินแตงกวาดองกลอกตาขุ่นขาว-2
ถนนใต้ฝ่าเท้า ทิวทัศน์เบื้องหน้า มองที่ใดล้วนไร้เงายุทธภพ มองที่ใดล้วนเป็นยุทธภพ
ทั้งสามคนมีความคิดแตกต่าง แต่ล้วนมุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกัน วิ่งบนถนนสายเดียวกัน ทั้งยังควบม้าเช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นยุทธภพ
หากบอกว่าไร้เหตุผลแต่กลับมีความหมายยิ่งนัก หากบอกว่าไม่สมเหตุสมผล แต่กลับเชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว
สำหรับคนอย่างจิ่วซานปั้นที่เพิ่งออกจากบ้านได้ไม่นาน ยุทธภพเต็มไปด้วยความงดงามและความยุติธรรม แต่ในสายตาหลิวรุ่ยอิ่งกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร กลับกลอกและเหี้ยมโหด…
มันแฝงไปด้วยอุดมคติของผู้คนและทำลายอุดมคติของผู้คนอยู่ตลอดเวลา ประหนึ่งต้นไม้แก่แตกหน่อใหม่ เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเช่นไร เรื่องราวแบบใด ล้วนสามารถให้อภัยได้ทั้งสิ้น
ยุทธภพมีกฎเกณฑ์ในตนเอง แต่สนุกสนานเต็มคราบและตรงไปตรงมาที่สุด
“ตอนนี้พวกเรานับว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรแล้วกระมัง?”
จิ่วซานปั้นถามบนหลังม้า
“ฮ่าๆ พายุเมฆเอาแน่เอานอนไม่ได้ เที่ยวระเหเร่ร่อนสารทิศ! หากกล่าวว่ายามนี้ต้องเร่งออกเดินทาง ก็ยังฝืนนับได้ว่าเป็นกึ่งจอมยุทธ์พเนจรกระมัง!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
สิ่งใดคือจอมยุทธ์ เขาก็ยังไม่รู้แจ้ง…แต่เขาอิจฉาคนอย่างฟั่นกู่ซานที่สามารถแสดงบุคลิกนิสัยตนเองได้อย่างเต็มที่ยิ่งนัก
ชาวยุทธ์เกือบทั้งหมดล้วนอวดอ้างว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์ ทว่าจอมยุทธ์คนใดล้วนกล่าวว่าตนเองเป็นอาณาประชาราษฎรในใต้หล้า ทุ่มเทหยาดเหงื่อเพื่อยุทธภพ ฟื้นฟูศีลธรรมที่มลายไปเหล่านั้น ปลุกศรัทธาที่สูญเสียไปขึ้นใหม่ รักษาความสงบเท่าที่ตนกระทำได้ แม้ว่าตื้นลึกไม่อาจคาดเดา ดีร้ายไม่อาจคาดการณ์ก็จะไม่ถอยกลับเด็ดขาด
“เจ้านับเป็นกึ่งหนึ่ง เจ้าย่อมไม่ใช่ แต่ข้าใช่ นับเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์!”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดพลางชี้จิ่วซานปั้นและหลิวรุ่ยอิ่ง
“ข้าเป็นคนของกรมสอบสวนไม่ผิด แต่เหตุใด ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวเช่นเจ้าจึงนับเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ได้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกยอมไม่ได้เล็กน้อย เอ่ยคำย้อนถาม
“หรือว่ากรมสอบสวนของพวกเจ้าไม่เคยสอนเจ้าว่าจอมยุทธ์เป็นเพียงกลุ่มโจรที่ใช้กำลังละเมิดกฎหมาย?”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวถาม
หลิวรุ่ยอิ่งเบ้ปาก ตอบไม่ได้
เฉกเช่นเดียวกับที่นางกล่าวมา กรมสอบสวนเป็นตัวแทนทางการ เป็นราชสำนัก เป็นระบบการสืบทอดราชวงศ์ ไม่ว่าใต้หล้าจะวุ่นวายเพียงใด ก็ไม่ใช่คราวของกลุ่มอาณาประชาราษฎร์ที่จะหันไปฝึกยุทธ์ข้ามเขาข้ามทะเล ผ่านการพลิกผันนับไม่ถ้วน เสียสละตนเพื่อผู้อื่นแล้วความวุ่นวายจะสงบลง
สุนัขพยายามจับหนูยุ่งเรื่องชาวบ้าน เจ้าทำสิ่งที่ข้าควรทำ ฉกฉวยชื่อเสียงของข้าไป นั่นก็เท่ากับแย่งเอาชามข้าวของข้า ข้าไม่มีข้าวให้กินแล้วจะยอมให้อภัยเจ้าได้อย่างไร
“ตระกูลโอวเจ้าสามารถลงหลักปักฐานในรัฐจวินและรัฐเวยใต้ได้ ก็เพราะอาศัยการคุ้มครองจากผิงหนานอ๋องไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ในฐานะที่ตระกูลโอวเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางยิ่งใหญ่ที่อยู่รอดเพียงตระกูลเดียวในใต้หล้า เป็นตัวอย่างทั่วไปที่กินรวบทั้งสายธรรมะและสายอธรรม ทางการร้องขอเทพกระบี่ดาบเลื่องชื่อของพวกเขา แน่นอนว่าได้รับการปฏิบัติอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังติดต่อโจรยุทธภพไร้การควบคุมเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ทั้งเรียกขานกันว่าสหายพี่น้อง ไปมาหาสู่ไม่ขาดสาย
“ตระกูลโอวคือตระกูลโอว…ข้าก็คือข้า…”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดประโยคนี้ด้วยเสียงที่เบาเกินไป เพิ่งจะโพล่งออกมาก็กลืนไปกับเสียงสายลมจนไม่มีผู้ใดได้ยิน
“มีจอมยุทธ์หรือยุทธภพที่ใดกันเล่า…ล้วนมองฟ้าผืนเดียวกัน มองเมฆก้อนเดียวกันทั้งสิ้น ไยต้องแบ่งแยกชัดเจนเพียงนั้น”
จิ่วซานปั้นดื่มสุราหนึ่งอึกกลั้วคอ พูดอย่างดูแคลนยิ่ง
“ยุทธภพหนอยุทธภพ…เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนต้องการหาที่กำบังแสดงความกล้าได้กล้าเสีย แสดงอารมณ์หลากหลายเท่านั้น กล่าวตามตรงก็ยังหวาดกลัว…ถอยห่างทางการ บอกว่าตนเป็นชาวยุทธ์ด้วยคิดว่าจะกระทำสิ่งใดตามปรารถนาก็ย่อมได้ ครั้นพบเจออันตรายในยุทธภพก็ยังโวยวายรายงานแจ้งทางการอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งและโอวเสี่ยวเอ๋อฟังคำพูดของจิ่วซานปั้นต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด
อย่างไรก็ตาม ออกห่างจากขนบธรรมเนียมวิหารอารามไปอยู่ในพื้นที่แยกตัวห่างไกลและเป็นอิสระ นับว่าแทบจะเป็นความปรารถนาของทุกคนมาโดยตลอด พฤติกรรมที่ทำให้ผู้คนเสาะแสวงหาอิสรภาพเช่นนี้วางไว้บนสิ่งที่เรียกว่า ‘จอมยุทธ์’ จึงถือว่าพวกเขาเป็นคนที่หลุดพ้นจากการควบคุมทางโลกอย่างแท้จริง จากนั้นนำวิถีเส้นทางของพวกเขา วิธีดำเนินการขนานนามว่ายุทธภพ กล่าวตามตรงทั้งหมดล้วนเป็นคำละเมอเพ้อฝันของคนธรรมดาไม่ใช่หรือ
“จะยุทธภพหรือไม่ล้วนเป็นความเพ้อฝันงี่เง่า! ใช่หรือไม่อาหวง”
มีเสียงสายหนึ่งดังมาจากบ้านไร่ริมถนนข้างหน้า
“สุราหอมชั้นยอด!”
จิ่วซานปั้นแทบจะนั่งบนหลังม้าไม่ติด ยืดคอชะเง้อสูดดมกลิ่นแรงๆ
หลิวรุ่ยอิ่งพักม้าและมองโดยละเอียด ที่แท้เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นโกโรโกโสกำลังเล่นกับสุนัขเหลืองตัวหนึ่ง
รถเข็นคันนี้โทรมยิ่งกว่าแผงตำราของมนุษย์แท่งน้ำแข็งถึงร้อยเท่าทีเดียว…กระดานไม้ทั้งยาวทั้งสั้น ทั้งเบี้ยวทั้งเอียงกระเท่เร่ดูเหมือนเศษซากเหลือจากที่คนอื่นใช้งานแล้ว แต่เนื่องจากเจ้าสุนัขเหลืองตัวนี้แก่หง่อมนัก จึงเอาแต่หยีตาอาบแดด ไม่อาจร่าเริงได้แม้เพียงนิด…แม้แต่หางที่กระดิกยังดูเนือยๆ ด้วยซ้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดว่าในเมื่อหยุดแล้วก็ลงจากม้าพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน ควบม้าวิ่งต่อเนื่องหลายร้อยลี้ ม้าก็คงเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
“เอ๋? สหายท่านนี้เป็นนักดื่มสุราด้วยหรือ”
เขายืนขึ้น สูดจมูกแล้วพูดกับจิ่วซานปั้น
ดูท่าคงได้กลิ่นสุรารุนแรงบนตัวของเขา
โอวเสี่ยวเอ๋อยังมีนิสัยธรรมชาติของสตรี เมื่อเห็นสุนัขเหลืองจึงลงจากม้าไปหยอกเล่นทันที นางหยิบเนื้อวัวแดดเดียวที่ใช้บรรเทาความหิวออกจากอกและวางตรงหน้าสุนัขเหลืองพลางยื่นริมฝีปากดึงดูดความสนใจของมัน คิดไม่ถึงว่าสุนัขเหลืองตัวนี้จะกลอกตาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ฮ่าๆ เกรงใจแม่นางแล้ว…อาหวงไม่ชอบเนื้อสัตว์”
คนผู้นี้กล่าว
เขาสวมเสื้อนวมปักลายดอกสีฟ้าคราม หลังจากยืนขึ้นก็ใช้มือกระชับสายรัดเอวลายน้ำวน คิ้วชัดตาคม รูปงามสูงตระหง่าน สง่าผ่าเผย
“ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วกินสิ่งใด หรือว่ากินผักใบ”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
คนผู้นี้ไม่ตอบ แต่หยิบขวดโหลใบหนึ่ง ล้วงเอาแตงกวาดองออกมายื่นให้โอวเสี่ยวเอ๋อและกล่าว “แม่นางลองชิมไปพลางๆ ก่อนเถิด”
เขาสัมผัสโดนมือของโอวเสี่ยวเอ๋อเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
นางกำลังจะโมโห นึกว่าเป็นผู้มากตัณหาฉวยโอกาสเอาเปรียบนางอีก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายราบเรียบ ไร้ร่องรอยความหยาบคายจึงจำต้องข่มมันไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา
“หึๆ! มันชอบกินแตงกวาดองนี่เอง!”
คิดไม่ถึง ทันที่โอวเสี่ยวเอ๋อนำแตงกวาเข้าใกล้ อาหวงพลันหันหน้ามาเริ่มกินกร้วมๆ และไม่กลอกตาเมินโอวเสี่ยวเอ๋ออีก
“สุนัขของเจ้าช่างประหลาดนัก ให้ของที่มันไม่ชอบกินยังมากลอกตาใส่ข้าอีก!”
โอวเสี่ยวเอ๋อแปะมือพร้อมกล่าว
“ดวงตาขุ่นขาวของอาหวงมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก…สำหรับของที่มันชอบก็จะชอบไปโดยธรรมชาติ สำหรับสิ่งที่มันไม่ชอบแต่ไหนแต่ไรก็จะปฏิเสธด้วยการกลอกตา คิดๆ ดูแล้วมันสุดยอดมากจริงๆ!”
คนผู้นี้กล่าวอย่างมีอารมณ์ ดูท่าทางจะอิจฉาสุนัขของตนอย่างยิ่ง
“สุนัขก็เหมือนนายของมัน เดาว่าสหายก็คงจะเป็นบุคคลเที่ยงตรงเป็นแน่แท้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาอยากล้วงข้อมูลรายละเอียดของคนผู้นี้ ถึงอย่างไรอยู่ข้างนอกก็ระมัดระวังตัวให้มากหน่อยไม่ใช่เรื่องผิด
“ไม่ๆๆ บังเอิญว่าข้าเรียนรู้สิ่งนี้จากอาหวงน่ะ…ต่อมาถึงพบว่ามันมีประโยชน์ยิ่งนัก อันที่จริงมันก็ไม่ยาก ตราบใดที่ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง”
ขณะที่กล่าวนั้น รถม้าตกแต่งหรูหราพร้อมด้วยสมุนรับใช้หลายสิบคนก็มาจากทางด้านหลัง
“ดูสิ โอกาสมาแล้ว! ข้าจะสอนเจ้าเอง!”
คนผู้นี้กล่าว
“ฉางไต้ซือ! นายท่านของข้าให้เชิญชวนท่าน นายท่านกล่าวว่าขอเพียงท่านไปที่นั่น จะยกรถเข็นตำราโบราณหายากคันนี้และผลงานเขียนภาพวาดทิวทัศน์ทั้งหมดนี้ให้ขอรับ!”
หัวหน้าสมุนรับใช้คุกเข่าลงด้วยความเคารพนอบน้อมถือเทียบชูขึ้นสูงและกล่าว
เห็นเพียงฉางไต้ซือผู้นี้กลอกตารุนแรงยิ่งกว่าอาหวงเมื่อครู่เสียอีก จากนั้นไม่ปริปากเอ่ยคำใด
ไม่ว่าสมุนรับใช้เหล่านั้นจะคุกเข่าอ้อนวอนเช่นไร ฉางไต้ซือยังคงเฉยเมย แต่หันกลับไปพูดคุยเรื่องน้ำเต้าสุราของจิ่วซานปั้นแทน
คนกลุ่มนี้เห็นว่าไร้หนทางจริงๆ จึงจำต้องทยอยจากไป
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพนี้พลันรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
หากบอกว่าเขาเรียนรู้วิชากลอกตาขุ่นขาวจากอาหวงจริงๆ เช่นนั้นไม่รู้เลยว่าเขาทุ่มเทฝึกฝนไปมากเพียงใดศิษย์ถึงได้เก่งกว่าอาจารย์เพียงนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนมากมายเพียงใดถูกเขากลอกตาใส่บ้าง
“ขอถามฉางไต้ซือว่าอาศัยอยู่ที่นี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไร้ทางเลือกจำต้องเปลี่ยนหัวข้อถาม
ครั้นเห็นว่าเขาได้รับขนานนามว่าไต้ซือตั้งแต่วัยเยาว์เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ตระกูลมั่งคั่งส่งเทียบเชิญด้วยของมูลค่าสูง จะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร
“อย่าเรียกข้าว่าไต้ซือเป็นอันขาด ข้าน้อยรับสองคำนี้ไม่ไหว…ข้าทัศนาจรมาที่นี่พร้อมอาหวงกว่าสองเดือนกว่า ได้กลิ่นสุราหอมกรุ่นของที่นี่จึงหยุดพัก พอเปิดประตูเข้าไปถามถึงได้ทราบว่าเจ้าของเรือนหมักของดีมีคุณภาพด้วยตนเอง จึงปรึกษาหารือกับเจ้าของเรือนแล้วตัดสินใจลงหลักปักฐาน ในคืนแรกข้าและเขาแข่งกันดื่มสุรา ครั้นบอบช้ำกันทั้งสองฝ่ายก็ตกลงเมามายกันเป็นเวลาหกสิบวัน”
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินก็ค้นพบว่าสถานที่ทางทิศพายัพนี้คนดื่มสุราเยี่ยงน้ำ…อันดับแรกจิ่วซานปั้น ครึ่งเค่อไม่ห่างสุรา ต่อมาเป็นฉางไต้ซือผู้นี้สุดยอดเสียยิ่งกว่า คิดไม่ถึงว่าจะเมามายถึงหกสิบวันจึงจะหยุดพัก ครั้นเปรียบเทียบกันแล้ว เงินที่ตนเองใช้ไปไม่กี่ตำลึงนับเป็นจำนวนสูงแต่ไร้น้ำหนัก ทว่าฉางไต้ซือผู้นี้ไม่ยอมให้ตนเรียกเขาว่าไต้ซือ แต่ก็ไม่ยอมเผยชื่อเสียงเรียงนาม ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก…
“สถานการณ์ศึกตอนนี้เป็นอย่างไร”
ดังคาด จิ่วซานปั้นสนใจเรื่องการดื่มยิ่งกว่า
“มีทั้งแพ้และชนะ ครึ่งต่อครึ่งกระมัง”
ฉางไต้ซือกล่าว
“ดี! ดี! คู่ต่อสู้นักดื่ม ร่วมหรรษารื่นเริงจึงจะดี!”
ครั้นจิ่วซานปั้นได้ยินพลันรู้สึกตื่นเต้นทันที
ในระหว่างที่ชายทั้งสามพูดคุยสนุกสนาน โอวเสี่ยวเอ๋อป้อนแตงกวาดองให้อาหวงจนหมด ตอนนี้จึงหันมาขอฉางไต้ซือเพิ่มอีก
“เห็นทีจะไม่ได้หรอกแม่นาง แตงกวานี้ต้องแช่น้ำส้มสายชูใหม่ที่หมักช่วงสารทฤดูของทุกปีเป็นเวลานานกว่าครึ่งปีจึงจะพร้อมกิน หากขาดไปเพียงหนึ่งวันอาหวงจะไม่กิน ข้าออกมาครั้งนี้ไม่ได้นำติดตัวมาด้วยมากนัก แค่พอกลับไปเท่านั้น หากวันนี้กินมากกว่าหนึ่งลูก เช่นนั้นจำนวนของวันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีแล้ว กินข้าวต่างจากดื่มสุรา น้ำน้อยค่อยๆ ไหลแต่ไหลได้นานย่อมดีกว่า!”
ฉางไต้ซือกล่าว
“เหตุใดสุนัขตัวนี้ถึงมีค่ามากเพียงนี้เล่า”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
“ไม่ใช่ว่าอาหวงมีค่าโดยเนื้อแท้…เพียงแต่ในโลกนี้คนที่สามารถเทียบกับอาหวงได้มีน้อยยิ่งนัก ฉะนั้นมันจึงดูมีคุณค่า”
ฉางไต้ซือกล่าว
“ก่อนหน้านี้ได้ยินสหายแสดงความคิดเห็นต่อยุทธภพนี้ ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องนี้ลึกซึ้งทีเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวแต่กลับเปลี่ยนคำเรียกขาน
“เฮ้อ…มันเป็นเพียงการสนทนาทั่วไปตามป่าตามเขา”
ฉางไต้ซือโบกมือปัดๆ
“ไม่ทราบว่าสหายมาจากที่ใดจึงทัศนาจรมาที่นี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งจึงถามต่อ
เป็นผลจากอาชีพจึงทำให้เขาเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เห็นและทุกคนที่ประสบพบเจอไม่ได้
“ร่องรอยดุจเมฆไร้จุดหมาย ความกังวลมักตามติดทุกวัน”
ฉางไต้ซือลืมปรายตามองเมฆบนภูเขาห่างไกลพลางกล่าว
“ท้ายสุดหวนจบถนนทางตัน เหาะเหินเหิมใจไปเพื่อผู้ใด”
จิ่วซานปั้นโพล่งคำตอบออกมา
ฉางไต้ซือหันขวับ เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจกับสองประโยคสุดท้ายที่จิ่วซานปั้นต่อให้เขาอย่างยิ่ง ครั้นตะลึงครู่หนึ่งจึงหัวเราะและกล่าวอีกครั้ง “หากไม่ได้นัดผู้ใดเอาไว้ก่อน ข้าคงอยู่ดื่มสำราญกับทั้งสามท่าน แต่ว่าการดวลระหว่างข้าและเจ้าของเรือนยังเหลืออีกไม่กี่วันก็จะสิ้นสุดลง”
ฉางไต้ซือกล่าว
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินจึงทราบทันทีว่าหมายถึงส่งแขก เขาจึงกวักมือเรียกโอวเสี่ยวเอ๋อและจิ่วซานปั้นขึ้นม้าพร้อมออกเดินทางต่อ
“ดูทิศทางแล้ว พวกเจ้าจะไปอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องหรือ”
ฉางไต้ซือถามหลังจากเห็นคนทั้งสามขึ้นม้า
“ใช่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“นั่นก็เป็นทิศทางที่ข้าจะไปเช่นกัน”
ฉางไต้ซือโบกมือกล่าว
ลมโชยมาสายหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งเห็นใต้เสื้อนวมปักลายดอกที่ฉางไต้ซือสวมใส่ดูเหมือนยังมีเสื้อคลุมสีเหลืองอีกหนึ่งตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นจึงดูเหมือนตาฝาด
ครั้นเห็นทั้งสามจากไปไกล เมื่อครู่เขาเพิ่งหยิบจดหมายยู่ยี่ออกมาและขีดเขียนสี่คำลงไปบนนั้น ‘ตัวข้าไม่ทำ’!
“บทกวีที่เจ้าพูดกับเขาเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร”
โอวเสี่ยวเอ๋อถามจิ่วซานปั้น
“เขากล่าวว่าเขาไร้ที่อยู่อาศัยแน่นอน กังวลใจทุกเมื่อเชื่อวัน ข้าบอกเขาว่าเอาแต่เดินไปตามถนนทุกวัน จงใจต่อต้านทุกคน พฤติกรรมเสเพลเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน”
จิ่วซานปั้นกล่าวอธิบาย
“ข้าว่าเจ้าต้องอ่านกวีให้มากกว่านี้…วาจาจากปากเจ้าช่างไม่น่าฟังเสียจริง!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
…………………
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค หัวเมืองรัฐติง
เจ้าหมิงหมิงอ่านตำราที่หลิวรุ่ยอิ่งมอบให้จนจบแล้ว
มือหยกคู่งามถูไถประโยคที่หลิวรุ่ยอิ่งทิ้งไว้บนหน้าชื่อเรื่องให้นางซ้ำไปซ้ำมา
‘ควรตอบจดหมายเขาจะดีกว่า แต่ไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเขาอยู่แห่งหนใด…’
เจ้าหมิงหมิงคิด
แต่จะทราบว่าอยู่ที่ใดหรือไม่ตนไม่อาจควบคุมได้ ทว่าจะเขียนหรือไม่นั้นสามารถตัดสินใจได้ทันที…ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางจึงเรียกเกาลัดคั่วน้ำตาลบดน้ำหมึกแต้มพู่กันให้นาง
……………………………………………………………………………