ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 64 สุนัขเหลืองแก่กินแตงกวาดองกลอกตาขุ่นขาว-1
บทที่ 64 สุนัขเหลืองแก่กินแตงกวาดองกลอกตาขุ่นขาว-1
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค เมืองติ้งซีอ๋อง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลิวรุ่ยอิ่งตื่นแต่ฟ้าสาง หลังอาบน้ำเขาเปลี่ยนอาภรณ์ชุดเครื่องแบบนายกองกรมสอบสวนใหม่เอี่ยม ไหมปักทองสว่างแวววาว วาววับจนหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย แต่คราวนี้เขายืนหยัดไม่ถอดเครื่องแบบนายกองเปลี่ยนเป็นชุดลำลองเด็ดขาด…หลังจากการเผชิญหน้าในร้านโถงรื่นรมย์รัฐติงครั้งก่อน หลิวรุ่ยอิ่งประจักษ์ถึงความสำคัญของอาภรณ์บนกายนี้ยิ่งนัก
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง จะบอกว่าเขาสวมเสื้อแพรหรือหนังสุนัขก็ตามแต่ ก่อนอื่นมันอบอุ่น อากาศปลายเหมันต์ต้นวสันต์ของอาณาจักรติ้งซีไม่ใช่เรื่องขำขัน ลมหนาวเสียดแทงกระดูกพัดมาระลอกหนึ่ง สามารถพัดเอาจมูกคนพัดไปถึงข้างหูได้ อย่างที่สอง มันเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเป็นผู้ใด สายดำหรือสายขาว ขุนนางหรือพ่อค้าหาบเร่ ไม่สนว่าเขาจะรู้จักอาภรณ์บนกายนี้หรือไม่ อย่างน้อยก็รู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นข้าราชการ
สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือชั้นผู้น้อยนั้นจะสำคัญอันใด
ราษฎรทั่วไปคิดว่าเจ้าเป็นข้าราชการใหญ่จึงไม่ยั่วยุหาเรื่องเจ้า หากพบกับอันธพาลจ้องสร้างปัญหาเข้า หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังถือกระบี่อยู่ในมือ
บัณฑิตให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ผ่านวาจา
ความสัมพันธ์เช่นไรลึกซึ้งหรือตื้นเขิน หลงใหลน่าเสน่หา รักใคร่หรือไร้ความปราณี เอาแต่เปรียบเทียบไม่เว้นวัน นอกจากเสแสร้งก็คือการสั่งสอน เจ้าไม่ลุ่มหลงแสดงว่าเจ้าสองจิตสองใจ เจ้ารักใคร่สุดซึ้งก็บอกว่าเจ้าไม่ยืนยาว มักจะกลัวตนเองเสียเปรียบแม้เพียงน้อยแล้วปล่อยให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบ
จากมุมมองของหลิวรุ่ยอิ่ง ความสัมพันธ์สูงสุดในโลกคือ ‘ยังมีข้า’
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขียนในนวนิยายอย่างหลังสกัดรับกระบี่ให้อีกฝ่ายหรือแย่งคว้าจอกสุราพิษกรอกปาก แล้วพร่ำบ่นฆ่าตัวตายบูชารักหรือปลอบโยนระหว่างเจ้ากับข้าอยู่ระยะหนึ่งประเภทนั้น แต่หมายถึงการหยัดยืนโดยไม่ลังเลและไร้การเสแสร้งขณะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายประดุจอัสนีบาต ไม่สนว่าสุดท้ายจะวายชีวันหรือไม่ ทุพพลภาพหรือไม่ ตราบใดที่ขณะนั้นก้าวมาข้างหน้าแม้เพียงครึ่งก้าวก็ตามแล้วกล่าวว่า ‘ยังมีข้า’ สามคำนี้ นั่นไม่ใช่บุรุษหรือสตรี และไม่สนว่าอยู่ในความสัมพันธ์ใด ล้วนเรียกว่าไม่มีสิ่งใดจะร้องขออีกแล้ว!
กล่าวตามตรง ใต้หล้าพันคนหมื่นเรื่อง ล้วนไม่อาจต้านคำว่าฆ่าได้
นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งในทิศพายัพเป็นพิเศษ
หั่นผักเรียกว่าฆ่าผัก หั่นแตงโมเรียกว่าฆ่าแตง
ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องการมนุษย์มาจัดการ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ วัว แกะ ปลา และกุ้ง ล้วนถูกเรียกว่า ‘การฆ่า’ เรียบง่าย ชัดเจนและทั่วถึง แม้แต่เด็กสามขวบก็ฟังรู้ความและทำได้ง่าย ตรงจุดนี้ค่อนข้างสอดคล้องกับการจมปลักอยู่กับความทุกข์ของบัณฑิตด้วยความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนมีจิตวิญญาณ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินพวกเขาเรียกการเด็ดดอกไม้ว่าฆ่าดอกไม้ แต่กลับเรียกอุจจาระว่าขจัดมูลเสีย
ทุกคนคือผู้เล่นในเกม เล่นเกมในกล่อง เฉกเช่นเดียวกับการเล่นหมากรุก ต่อให้หมากรุกของเจ้าจะกระเด็นได้หรือแม้จะดีดไปถึงห้าสิบก้าวก็ยังต้องอยู่บนกระดานหมากรุกไม่ใช่หรือ และต่อให้จะเป็นบุตรชายหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋อง ก็ไม่อาจเอาแต่หาเรื่องสนุกทุกวันหรอกกระมัง
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นความรุ่งเรืองร่วงโรยของขุนนางบู๋นขุนนางบู๊มามากมาย พบความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าใดก็ยิ่งเข้าใจกฎเกณฑ์เท่านั้น
สิ่งใดที่ทำแล้วกบฏต่อฟ้าดินเกินไป เช่นนั้นต่อให้ตัวตายก็ไม่แตะต้องมัน อย่างเช่นจำพวกเงินคลังบรรเทาทุกข์แผ่นดินไหว เงินบำนาญทหารผู้วายชนม์ ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้จะเป็นคนในตระกูลอยากยื่นมือ หรือมาอ้อนวอนร้องขอถึงที่ก็ไม่มีทาง ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องใหญ่ทำเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กทำเป็นเรื่องใหญ่ มันก็เป็นมาเช่นนี้
“ไม่รู้ว่าจะพบกับลั่วซิวหรานระหว่างทางสักกี่คน…”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดเช่นนี้ในใจ อันที่จริงก็ตื่นเต้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาวิปริตโดยอาศัยคำสั่งพิเศษของกรมสอบสวนวางอำนาจบาตรใหญ่กดขี่ผู้คน แต่เขารู้สึกว่าถึงเวลาต้องดูแลผู้คนและเรื่องเหล่านี้ในใต้หล้าแล้วจริงๆ
เขารู้สึกได้ว่าการรุดหน้าไปหอทรงปัญญาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างไรบัณฑิตก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ย ลงมือกระทำยิ่งไม่สมเหตุสมผล ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่คนที่สังหารหมู่ไปราวหลายร้อยลี้โดยไม่กะพริบตาอย่างฮั่ววั่งเมื่อเผชิญกับหอทรงปัญญายังต้องระวังแล้วระวังอีก!
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งรอแล้วรอเล่าอยู่ในห้องโถง ครั้นเห็นว่าเลยเวลาตามตกลงกันไว้สองเค่อแล้ว จิ่วซานปั้นและโอวเสี่ยวเอ๋อก็ยังไม่ลงมาเสียที ท้องไส้ของเขาแทบทนไม่ไหวหิวเสียจนกระดกน้ำไปสองชามใหญ่ แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่มาเติมน้ำดูเหมือนจะได้ยินเสียงโครกครากแห่งความหิวโหยในกระเพาะจนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เขาคิดว่าในเมื่อทุกคนตกลงไปด้วยกัน ฝั่งนั้นก็จำต้องพร้อมหน้ากัน ทานมื้อเช้าร่วมกันถือเป็นการเริ่มต้นพร้อมกันในวันนี้ แต่ความมุ่งมั่นถูกเจ้าสองคนนั่นค่อยๆ ลดทอนมันไปจนแทบสิ้น…ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านจัดวางมื้อเช้าตามปกติ กลับเห็นจิ่วซานปั้นเดินเข้ามาเสียก่อน
“โอวเสี่ยวเอ๋อเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“มาแล้วๆ! เร่งเร้าอยู่ได้!”
เสียงโอวเสี่ยวเอ๋อดังแว่วมาแต่ไกล
หากเปรียบเทียบเสียงเข้าจริงๆ เกรงว่าโอวเสี่ยวเอ๋อคงเลวร้ายไม่ต่างจากเสี่ยวเหมยภรรยาฟั่นกู่ซานมากนัก…ยิ่งกว่านั้น หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นแม้กระทั่งเงานางเสียด้วยซ้ำ แต่นางกลับได้ยินคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่ง การได้ยินของนางดีเพียงใดกันเล่า
“เจ้าไม่รู้เลยหรือ”
จิ่วซานปั้นแนบตัวกระซิบข้างหูหลิวรุ่ยอิ่ง
“อะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกใจ
“หูสตรีดีจะตาย…ยิ่งสตรีงดงามเท่าใดหูก็ยิ่งดีเพียงนั้น!”
จิ่วซานปั้นกล่าวคล้ายกับมีเรื่องใหญ่
“เป็นเพราะเหตุใด”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ของจิ่วซานปั้นเป็นเรื่องแปลกใหม่
“เพราะว่าหญิงงามจะใส่ใจกับสิ่งที่คนรอบข้างกล่าวถึงนางเป็นพิเศษอย่างไรเล่า…จะยกยอหรือดูแคลนพวกนางล้วนใคร่รู้ เจ้าชมนางเพริศพริ้ง แต่นางก็กลัวว่าเจ้าจะว่านางพราวเสน่ห์เกินไป เจ้าบอกว่านางอัปลักษณ์ นางจะโต้เถียงว่าตนเองมีเสน่ห์เหลือล้น”
จิ่วซานปั้นกล่าวอธิบาย
“ฮ่าๆ สหายซานปั้น คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจจิตใจสตรีถึงเพียงนี้ แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ฟังก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ลดปัญหาได้ตั้งมากมาย”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าหากใสซื่อไร้เดียงสาเช่นจิ่วซานปั้นนี้ คนที่มีความปรารถนาเดียวกลับสามารถเข้าอกเข้าใจสตรีได้เป็นอย่างดี ช่างอดแปลกใจไม่ได้
“เป็นไปไม่ได้ หยุดฟังไม่ได้หากใจไม่ตาย…ไม่เพียงแค่ฟังทั้งยังหารือ! นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ย่าข้าบอกข้าไว้ก่อนออกจากเรือน!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เช่นนั้นท่านผู้เฒ่ายังมีสิ่งใดเล่าให้เจ้าฟังอีกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เคยเล่าว่า…นางบอกว่าหากตกหลุมรักสตรีงดงามคนใด หากไม่ปรี่เข้าไปพูดตรงๆ หรือไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ก็อย่าไปจ้องมองหรือแอบมองนางเด็ดขาด เพราะสตรีล้วนโปรดปรานความตรงไปตรงมาหรือลึกลับ ไม่โปรดปรานอะไรที่แปลกประหลาดหรือหยาบคาย”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง
ครั้นนึกถึงคืนนั้นเขาออกตัวดื่มสุรากับเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลทั้งสองคนก่อน นับว่าตรงไปตรงมาแล้วกระมัง ครั้นพิจารณาท่าทีสองคนข้างต้นขณะสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายดูอีกครั้ง สิ่งที่จิ่วซานปั้นกล่าวมานั้นเป็นความจริง!
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันอยู่?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อแต่งกายเหมือนกับคราแรกที่พบกันไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงเกราะหนังซ่อนลายผูกเอวรัดอกเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบ
“ทำไมหรือ! ข้าก็เป็นสตรีนางหนึ่ง!”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นคนทั้งสองพินิจพิเคราะห์เกราะหนังของตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงสะบัดสะบิ้งระคนไม่ปลื้มใจ ยามนี้นางไม่เรียกตนเองว่าข้าแล้ว จากนั้นเอาแต่สนใจสั่งมื้อเช้าและไม่ใส่ใจคนทั้งสองอีก
“สามคนม้าสองตัว อย่างไรดี พวกเจ้าชายหนุ่มทั้งสองอยากขี่ม้าด้วยกันหรือไม่”
“…”
“ใช่ว่าจะไม่ได้เสียทีเดียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญา
ทว่าจิ่วซานปั้นกลับลูบคางพลางมองม้าสลับหลิวรุ่ยอิ่งแล้วกล่าว ราวกับกำลังเปรียบเทียบน้ำหนักของตนเองทั้งสองเพื่อดูว่าม้าจะทนรับได้หรือไม่
“เราไปตลาดม้ากันเถิด ส่วนเจ้าล่วงหน้าไปรอพวกเราที่ประตูทิศอุดร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวกับโอวเสี่ยวเอ๋อ
“ไม่ ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่ตลาดม้า!”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดจบพลิกกายควบม้า มุ่งไปตลาดม้าตามทิศทางลม
เนื่องจากหลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นมีม้าเพียงตัวเดียว หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าขี่มันเพียงลำพัง ทั้งสองจึงเดินไปอย่างเชื่องช้า
“สหายซานปั้น เดิมทีม้าตัวนั้นขี่มาจากหมู่บ้านหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“เปล่า…ในหมู่บ้านพวกเราไม่มีม้า”
จิ่วซานปั้นส่ายหน้า
“เช่นนั้นซื้อมันจากข้างนอกหลังจากออกหมู่บ้านหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดถึงสนใจม้าผอมโซคู่นั้นของจิ่วซานปั้นมากอย่างกะทันหัน
“ไม่ใช่เช่นกัน ข้าเก็บได้น่ะ”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เก็บได้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเคยพบแต่เก็บเงินได้ กระทั่งยังเคยพบเก็บเด็กน้อยได้ แต่เก็บม้าได้กลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ถึงอย่างไรม้าก็มีไว้สำหรับขี่ มีโอกาสน้อยนักที่จะเดินเตร่หลงทางตามลำพัง ที่จิ่วซานปั้นบอกว่าเก็บได้ เดาว่าคงเป็นเพราะเจ้าของไม่อยู่ข้างม้าจึงถูกเขาจูงออกมาเป็นแน่…
“พวกเจ้าว่าม้าตัวนี้เป็นอย่างไร”
เมื่อถึงตลาดม้า เห็นโอวเสี่ยวเอ๋อเลือกม้าสง่างามสีน้ำตาลแดงได้แล้ว ยืนโอ้อวดอยู่ตรงนั้นด้วยความภูมิใจอย่างยิ่ง
“ไม่ดี”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยิน สีหน้าพลันงองุ้มทันที
ครั้นคิดว่าตนเองอยากแสดงน้ำใจ ล่วงหน้ามาเลือกม้าที่ตลาดม้าก่อนก็เพื่อชดเชยที่ตนเองล่าช้าทำเสียเวลาไปช่วงเช้าไม่ใช่หรือ ยิ่งกว่านั้นเหตุใดม้าตัวนี้จึงไม่ดีเล่า ทั้งสูงใหญ่ดุดัน สีกีบขาวราวย่ำหิมะ สีขนทั่วตัวดุจผ้าแพรไหม มองปราดเดียวประหนึ่งม้าชั้นยอดเดินทางได้หลายพันลี้ต่อวัน!
เลือกม้าต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน ศีรษะ ตา ปาก จมูก กระดูก และกีบ
หลิวรุ่ยอิ่งมองม้าสง่างามสีน้ำตาลแดงตัวนี้ แม้ว่าสภาพจะดีเยี่ยมก็ตาม แต่ฟันม้าในปากมีระยะห่างซ้ายและขวาไม่สบกัน ไม่เต็มและไม่หนาซึ่งเป็นลักษณะที่ควบคุมได้ยากและไม่สามารถวิ่งได้นาน หากตระกูลมั่งคั่งซื้อมันกลับไปเลี้ยงไว้เล่นด้วยก็คงเกินพอ แต่พวกเขาต้องเร่งเดินทางหลายร้อยลี้ต่อวัน
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่ใช่คนไร้เหตุผล ครั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งอ้าปากม้าตรวจสอบฟันก็รู้ว่าเขาพอรู้ลึกรู้จริง จึงไม่เอ่ยคำอีก เพียงมองและเดินเตร่ไปรอบๆ กับจิ่วซานปั้นที่ตามติดอยู่ด้านหลังหลิวรุ่ยอิ่ง เห็นเพียงหลิวรุ่ยอิ่งบางครั้งยกกีบม้าข้างหน้าแนบใกล้หูแล้วใช้มือแตะเบาๆ บางคราวก็ลูบม้าตั้งแต่คอลงมาทั้งตัว จนกระทั่งตลาดม้าใกล้วายแล้ว กลับไม่มีม้าตัวใดเข้าตาหลิวรุ่ยอิ่งแม้แต่ตัวเดียว
ทันใดนั้น เขาเห็นม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ใต้กำแพงข้างๆ เจ้าของม้าสวมหมวกไผ่สานบดบังใบหน้านั่งอยู่ใกล้ๆ กันกำลังงีบหลับอยู่
ม้าตัวนี้ ศีรษะสูงชะลูดดุจตัดด้วยมีดฟันด้วยขวาน รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูมั่นคงหนักแน่น ดวงตาสูงคล้ายระฆังแขวน ใหญ่โตเต็มดวงกะพริบแวววาว อิงจาก ‘คู่มือม้า’ ที่หลิวรุ่ยอิ่งเคยร่ำเรียนมา หากดวงตาใหญ่ดวงใจก็จะใหญ่ หากดวงใจใหญ่จะดุดันไม่ตระหนก หมายความว่าม้าตัวนี้จะต้องมีดวงตาคู่โต ตาโตใจแข็งแกร่ง ไม่ตระหนกตกใจง่ายจึงปลอดภัยกว่า
หูสองข้างชิดใกล้นัก ตั้งตรงชูชัน เล็กแต่แหลมคม คมกริบดุจไม้ไผ่เหลาแหลม หูเล็กรู้ความคิดคนและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ยิ่งกว่าม้าตัวอื่น รูจมูกทั้งคู่ใหญ่แต่กลม ซ้ายขวาสองด้านแยกกันชัดเจน สีจมูกค่อนไปทางแดง รูปทรงดั่งไฟและน้ำ ปากม้ากระจับยาว ในปากสีแดงอ่อน ริมฝีปากบนเต่ง ริมฝีปากล่างคล้อย ล้วนมีเนื้อหนาและเนื้อสัมผัสมาก
เมื่อมองไกลๆ ม้าตัวนี้ดูไม่สูงและไม่สง่างามมากนัก แต่เรื่องการเลือกม้านั้นตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกเข้าพอดี มองดูตัวใหญ่แต่จริงๆ ตัวเล็กถึงจะเป็นม้าวิ่งที่กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง มองดูตัวเล็กแต่จริงๆ ตัวใหญ่กลับเป็นม้าเนื้อที่ขุนเนื้อไว้ใช้เพียงเท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปดูเกือกม้าอีกครั้ง บางลู่คล้อยหนา ใหญ่ดุจบาตร วิ่งมั่นคง เดินเข้มแข็ง ล้วนมั่นคงทุกย่างก้าวยิ่งนัก
“เอาม้าตัวนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งเจรจากับเจ้าของม้า ไม่นานก็จูงม้ากลับมา
จิ่วซานปั้นพึงพอใจกับม้าตัวนี้เช่นกัน ดูขาทั้งสี่ของมันตรงดิ่งราวกับภูเขา สีขนทั่วตัวออกดำกลายๆ จึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘ขุนเวหา’
“คิดไม่ถึงว่านายกองกรมสอบสวนจะเลือกม้าเก่งเพียงนี้”
โอวเสี่ยวเอ๋อกะพริบตาปริบๆ กล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกแปลกใดๆ ต่อคำเรียกตำแหน่งที่นางใช้เรียกตน อย่างไรเสียตนสวมชุดเครื่องแบบทางการนี้ก็เพื่อให้ผู้อื่นเห็น ยิ่งกว่านั้นคนอื่นที่ว่าเป็น ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว จะต้องทราบดีเป็นแน่
“ข้าเริ่มจากคนรับใช้ทำงานหนักมาก่อน ตอนนั้นให้อาหารเลี้ยงม้าทุกวัน แน่นอนว่าได้เรียนรู้จากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่น้อย”
หลิวรุ่ยอิ่งมอบสายบังเหียนม้าให้จิ่วซานปั้นแล้วพูด
เดิมทีโอวเสี่ยวเอ๋อนึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นเป็นนายกองกรมสอบสวนตั้งแต่วัยเยาว์เช่นนี้ ต้องมาจากตระกูลขุนนางเป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าจะเริ่มต้นจากการเป็นคนรับใช้ต่ำต้อยถ่อมตน ยามนี้จึงเปลี่ยนมุมมองต่อเขาใหม่เล็กน้อย
“ข้าเป็นเด็กกำพร้า หลังจากบิดามารดาสละชีพเพื่อกรมสอบสวนก็เติบโตมากับกรมสืบสวน ช่วยงานจิปาถะสารพัดตั้งแต่ยังเด็ก จนเข้าสู่วัยเรียนก็เข้าชั้นเรียนและฝึกอบรมร่วมกับผู้แทนการตรวจสอบเหล่านั้นแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านร่องรอยความซับซ้อนในดวงตาของโอวเสี่ยวเอ๋อจึงกล่าวอธิบาย
เขาไม่เคยรู้สึกว่าชะตากรรมของตนต้องการความเห็นอกเห็นใจใดๆ แม้ว่าคำจำกัดความของเด็กกำพร้าในใต้หล้าจะไม่สวยงามเท่าใดนัก แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกใดๆ กับสิ่งนี้ หากไม่เคยได้รับไยต้องเอ่ยถึงความสูญเสีย ในเมื่อเขาไม่เคยได้รับสิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างบิดามารดร เช่นนั้นจึงไม่มีทางเข้าใจว่าความสุขที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่คือสิ่งใด
ทั้งสามขึ้นขี่ม้า สบตายิ้มให้กันที่ทางออกตลาดม้าแล้วควบม้าผ่านตลาด
………………………………………………….