ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 62 หมึกสุราบทกวีเมามาย-1
บทที่ 62 หมึกสุราบทกวีเมามาย-1
ทันใดนั้น เงาสีขาวตกถึงพื้น จิ่วซานปั้นยืนองอาจอยู่ระหว่างโอวเสี่ยวเอ๋อกับนักฆ่า
“ฉวยโอกาสตอนคนลำบาก รังแกสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง นับเป็นวีรบุรุษเช่นไรกัน”
จิ่วซานปั้นพูดเสียงดัง
หน้ากากเหล็กไม่ตอบ คล้ายกำลังพิจารณาคนตรงหน้าอย่างละเอียด
“สตรีอ่อนแอมารดามันสิ?”
โอวเสี่ยวเอ๋อลุกขึ้นกล่าวผสมคำด่า ขณะเดียวกันมือขวาออกแรงดึงชุดคลุมอาบน้ำที่สั้นเล็กรัดรูปลง
“หลบไป! นี่เป็นเรื่องของข้า!”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดกับจิ่วซานปั้น
จิ่วซานปั้นไม่สนใจ เพียงยืนสบตาหน้ากากเหล็กอยู่ที่เดิมเงียบๆ
“เจ้าไม่เลว…เจ้าไม่เลวเลย!”
หน้ากากเหล็กออกปากพูด
เพิ่งสิ้นเสียงคำว่า ‘เลว’ ร่างเขาขยับทันใด ระหว่างกระโดดนั้นถือหอกขึ้นและบุกสังหารอีกครั้ง
หน้ากากเหล็กเหยียดหอกแทงตรง
ลมหอกเย็นเยือก พลังหอกดุจทะเล
จิ่วซานปั้นยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า ร่างกายผอมบางเหมือนตั๊กแตนขวางรถ ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างยิ่ง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่ไหลเวียนอยู่ในกายจิ่วซานปั้น เหมือนไฟนรกแผดเผาทุ่งหญ้า ดาวกาลกิณีแตกกระจาย แม้พลังกลุ่มนี้เหมือนหิ่งห้อยในคลื่นยักษ์รุนแรงที่หอกยาวของหน้ากากเหล็กม้วนขึ้น แต่ประกายไฟนิดเดียวยังแผดเผาทุ่งหญ้าได้ แล้วใครบอกได้ว่าดาวตกกาลกิณีกับไฟนรกลุกโพลงนี้ไม่อาจต้านทานคลื่นลมพัดกระพือ?
“คลื่นสกัดเรือเร็วพันหมื่นชั้น!”
หน้ากากเหล็กหมุนคันหอกพร้อมพลิกปลายหอก พายุกระหน่ำโหมขึ้นในโรงเตี๊ยมพูนโชค แม้แต่ราวบันไดยังถูกดึงทึ้งจนหักออก พลังกลายเป็นฝน คล้ายนุ่มนวลและเบาบาง แท้จริงแล้วดั่งเข็มเหล็กกลายเป็นกระบี่เล็กด้ามแล้วด้ามเล่า แทงราวบันไดที่หักอยู่กลายเป็นรูตะแกรง มองไกลๆ เหมือนถูกกัดกร่อน…
“หยุด!”
เจ้าของร้านตะโกนลั่นขึ้นมาจากชั้นล่าง
สองมือเขาประสานแน่น ไม่รู้กำลังเตรียมกระบวนท่าทรงพลังแบบใด
จนถึงตอนนี้ จิ่วซานปั้นยังยืนนิ่งประหนึ่งลมเย็นปะทะใบหน้า
คล้ายตัวเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ เนื่องว่าเป็นคนนอกอยู่แล้ว
“ระ…”
โอวเสี่ยวเอ๋อที่ด้านข้างก็ตกใจกับกระบวนท่าทรงพลังนี้ไม่น้อยเช่นกัน…รู้ว่าเมื่อหอกนี้ลงมาตนต้านไม่ไหวเป็นแน่ อดห่วงความปลอดภัยของจิ่วซานปั้นไม่ได้ ใครจะคิด นางโพล่งคำว่าระวังออกมาตามสัญชาตญาณได้แค่ครึ่งเดียวก็ติดอยู่ในลำคอ…กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จิ่วซานปั้นเห็นคลื่นหอกใกล้เข้ามาทุกที จึงค่อยๆ จับกระบี่ที่เขาทำขึ้นเอง
เจ้าของร้านยืมแรงบนราวจับกลางบันไดพลันกระโดด พุ่งตรงมาจุดที่ทั้งสองต่อสู้กันด้านบน สองมือแยกออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเส้นสายพลังแข็งแกร่งยากยับยั้งดุจพายุฝน
“เจ้าบ้านี่! ไปฆ่าคนอีกแล้วงั้นรึ!”
ทันใดนั้น เสียงสตรีเลือดลมเต็มสิบส่วนสายหนึ่งดังมาจากกลางโถงใหญ่ชั้นล่าง ประหนึ่งสิงโตคำรามอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ชนหลังคาโรงเตี๊ยมพูนโชคแล้วหมุนย้อนกลับสะท้อนไปมาอยู่ในโรงเตี๊ยมทีละชั้น
เสียงสายนี้ไม่ได้ใช้พลังใดๆ อาศัยแค่ลำคออย่างเดียวก็ทำได้แล้ว แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็จิตใจไม่สงบเพราะหนวกหูเสียงดังนี้
ส่วนเจ้าของร้านกายสั่นคลอนอยู่กลางอากาศ เห็นว่ายังห่างจากจิ่วซานปั้นกับหน้ากากเหล็กอีกชั้นหนึ่ง จึงต้องลงมาอยู่ด้านข้างและเตรียมยืมแรงครั้งที่สอง
‘แกร๊ง’
ชั่วขณะก่อนจิ่วซานปั้นจะชักกระบี่ออกมา หน้ากากเหล็กโยนหอกลงบนพื้น
“น้องหญิง…ข้า ข้าเปล่า!”
น้องหญิงคำนี้
ทำเอาเจ้าของร้านแทบกลิ้งลงมาจากจุดที่เขาหยุดยืน…
นี่มันเรื่องอะไร
ในใต้หล้ามีนักฆ่าพาภรรยาของตนมาสังหารคนด้วยได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งดูออก สิ่งที่หน้ากากเหล็กใช้เมื่อครู่คือท่าสังหารของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย กระบวนท่าเสร็จสิ้นแล้ว รอแค่การโจมตีสุดท้าย การถอนตัวปลดกระบวนท่าง่ายๆ เช่นนี้ทำให้เขาได้รับความเสียหายไม่น้อยเช่นกัน…ไม่แน่อาจต้องใช้เวลาพักรักษาตัวหลายวันถึงครึ่งเดือน ไม่อย่างนั้นต้องช้ำในแน่นอน
“ท่านเปล่า? ไอ้คนโหดเหี้ยมไร้หัวใจ ยังกล้าพูดว่าเปล่าอีกหรือ ลองนึกถึงตอนแรกท่านรับปากข้าไว้ว่าอย่างไร!”
เสียงสายนั้นดังขึ้นจากด้านล่างอีกครั้ง ตามด้วยเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“น้องหญิง ข้าเปล่าจริงๆ นะ…”
จิ่วซานปั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ถอยหลังสองก้าว เขามองหอกที่หน้ากากเหล็กโยนลงบนพื้น จากนั้นตนก็ปล่อยด้ามกระบี่เช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นร่างกลมดิกเดินขึ้นมาจากด้านล่างอย่างเกียจคร้าน
บันไดของโรงเตี๊ยมพูนโชคกว้างมาก ด้วยรูปร่างของเขากับจิ่วซานปั้นต่อให้ยืนเรียงกันสองคนด้านซ้ายขวาก็ยังมีพื้นที่เหลือ แต่ยามนี้ บันไดทั้งอันถูกคนผู้นี้ครอบครองจนเต็ม
“ท่านรู้จักโกหกข้าแล้วด้วย! ไอ้คนใจร้ายหน้าไม่อาย กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หมาไร้ประโยชน์!”
แม้หญิงคนนี้รูปร่างอ้วนท้วม แต่หน้าตานับว่าสวยพอตัว เสียงยิ่งดังสนั่น พูดคำเดียวสะเทือนนกกว่าพันเขา สองประโยคโลกคร่ำครวญโดยแท้
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ นางตบหน้ากากเหล็กที่สวมบนหน้านักฆ่าร่วงลงในคราวเดียว เผยใบหน้าออกมากลับเป็นหน้าตาชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
“ท่านเอาสิ่งนี้มาแล้วยังบอกไม่ได้ฆ่าคน? ท่านเคยรับปากข้าว่าทุบมันละเอียดเผาทิ้งไปแล้วไม่ใช่หรือ”
หญิงอ้วนทุบตีนักฆ่าวัยกลางคนร้องไห้ไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง พลันน้ำมูกน้ำตาไหลพร้อมกัน โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นแล้วคลื่นไส้สะอิดสะเอียน…
แต่ชายวัยกลางคนไม่เหลือท่าทางกับรังสีที่แผ่ออกมาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ยามนี้กลับเหมือนเสาไม้ต้นหนึ่ง ตีไม่ตอบโต้ ด่าไม่ยอกย้อน ปล่อยให้หญิงอ้วนคนนี้ระบายอารมณ์ใส่ตน
“ขอถามท่านลูกค้า เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรหรือ”
เจ้าของร้านก็เดินขึ้นมาแล้ว เขาเห็นหลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่ด้านข้างยังปกติดี จึงเอ่ยถาม
“ขออภัยจริงๆ…ข้าน้อยก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งลองคิด พบว่าที่จริงแล้วตนไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่ตอบเจ้าของร้านประโยคหนึ่งอย่างจนปัญญา
“ท่านไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่”
หญิงอ้วนซุกอยู่ตรงหน้าอกนักฆ่าวัยกลางคนและเอ่ยถาม
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าน้องหญิง อย่าคิดมากสิ!”
นักฆ่าวัยกลางคนรีบอธิบาย ดูท่าทางเป็นกังวลนั้น คล้ายไม่สนใจสายตาผู้คนด้านข้างโดยสิ้นเชิง
“แล้วเหตุใดท่านต้องโกหกข้า?! รับปากข้าว่าจะไม่ฆ่าคนอีกแล้วแท้ๆ…”
หญิงอ้วนไม่เลิกไม่รา ไม่สนอะไรทั้งนั้น จ้องถามแต่คำถามนี้วนไปวนมา
“พอได้แล้ว! ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าสองคนรักกันจนตายแล้วฟื้นหรือฟื้นแล้วตายก็ไม่เกี่ยวกับข้า แต่ถ้าเจ้าอยากสังหารข้า เช่นนั้นก็มาลองดูสักตั้ง!”
โอวเสี่ยวเอ๋อฉวยจังหวะช่องว่างนี้ ไม่รู้หาเสื้อคลุมจากไหนมาสวมปิดรูปร่างงามงอนเย้ายวนนั้นของตน
จากนั้นชักกระบี่ชงโคออกมาชี้สองคนพลางกล่าว
หญิงอ้วนมองกระบี่คมในมือโอวเสี่ยวเอ๋อแวบหนึ่ง หยุดร้องไห้โวยวายแล้วหลบอยู่ข้างกายนักฆ่าวัยกลางคนด้วยหวาดกลัวยิ่ง
“แม่นางอย่าลงมือ…เสี่ยวเหมยไม่มีการฝึกตนใด นางไม่ทำร้ายเจ้าหรอก!”
นักฆ่าวัยกลางคนปกป้องเสี่ยวเหมยหญิงอ้วนผู้นั้น กล่าวกับโอวเสี่ยวเอ๋อ
“เฮอะๆ ข้าจะสนใจนางทำไม! วันนี้ต้องสู้จนเจ้าตายข้ารอดให้ได้!”
ด้วยนิสัยของโอวเสี่ยวเอ๋อ ไหนเลยจะถูกประโยคนี้โน้มน้าวได้
ระหว่างพูด ไอหมอกกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นบนกระบี่ชงโคแล้ว
“แม่นางหยุดมือก่อน! ข้าน้อยผิดเองแต่แรก แต่ตอนนี้ข้าโยนหอกจบศึกแล้ว แต่ถ้าเจ้าทำให้เสี่ยวเหมยบาดเจ็บ วันนี้ข้าต้องสังหารท่าน!”
นักฆ่าวัยกลางคนกล่าวชัดถ้อยชัดคำ
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นหญิงอ้วนที่หลบอยู่ข้างหลังเขาท่าทางขวัญหนีดีฝ่อก็ใจอ่อนเล็กน้อย นางถอนหายใจ เก็บกระบี่เข้าฝัก
‘สองคนนี้ดูมีความลับยากอธิบายบางอย่างนะ…’
อย่าคิดว่าจิ่วซานปั้นไม่เก่งเรื่องทางโลก แต่เขาคอยสังเกตลักษณะต่างๆ ของสรรพสิ่งอยู่กลางธรรมชาติมาทั้งปี จึงไวต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็นพิเศษ
…………………
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค เมืองติ้งซีอ๋อง
ทั้งชั้นที่สามคนพักอยู่ในตอนแรกถูกทำลายเละไม่เหลือชิ้นดี
โอวเสี่ยวเอ๋อชดใช้ค่าซ่อมแซมให้เจ้าของร้านแล้วย้ายมาพักอยู่ห้องด้านล่างห้องเดิม
แต่ยามนี้ นางกับจิ่วซานปั้น รวมถึงนักฆ่าวัยกลางคนและเสี่ยวเหมยล้วนอัดอยู่ในห้องหลิวรุ่ยอิ่ง
“อ่า…”
นักฆ่าวัยกลางคนเทเหล้าในน้ำเต้าของจิ่วซานปั้นดื่มอึกหนึ่ง
เหล้าแรงเข้าคอ ดื่มด่ำสำราญใจยิ่ง
“เฮอะ…”
โอวเสี่ยวเอ๋อชำเลืองตาถลึงใส่นักฆ่าวัยกลางคนกับจิ่วซานปั้นหนหนึ่ง กายเคลื่อนไปข้างหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่รู้ตัว
หลิวรุ่ยอิ่งได้กลิ่นหอมเบาบางหลังเพิ่งอาบน้ำที่ส่งมาจากตัวโอวเสี่ยวเอ๋อ พลันใจลอยชั่วขณะ…
“ข้าชื่อฟั่นกู่ซาน เสี่ยวเหมยเป็นภรรยาข้า”
นักฆ่าวัยกลางคนกล่าว
จิ่วซานปั้นชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด เมื่อครู่เขาพยายามใช้เหตุผลไร้สาระที่ว่าไม่ทะเลาะไม่รู้จักกัน พูดทำนองว่าทุกคนต้องรวมตัวอยู่คุยกันต่อ แต่แท้จริงแล้วอยากลองฟังว่าสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถึงแปลกเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องนับถือความกล้าของจิ่วซานปั้น…เมื่อครู่ยังเตรียมสู้กับฟั่นกู่ซานชนิดเจ้าตายข้ารอด ครู่เดียวกลับนั่งดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันอีก เป็นเพราะออกสู่สังคมครั้งแรกแล้วไม่กลัวอะไร? หรือถือดีว่ามีความสามารถ มีคนหนุนหลังเลยไม่กลัวเกรง หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่แน่ใจ…
“เหตุใดท่านต้องบุกสังหารโอวเสี่ยวเอ๋อ ไล่ตามชื่อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปากถาม เจตนาสอบสวนในคำพูดชัดเจนโดยไม่ต้องบอก
“ข้าน้อยเป็นคนในหมู่บ้านจอมยุทธ์พเนจร…”
ฟั่นกู่ซานก็ตรงไปตรงมา ถามหนึ่งประโยคตอบหนึ่งประโยค
“ใครส่งเจ้ามาสังหารข้า”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
ฟั่นกู่ซานกลับส่ายหน้าและกล่าว “ใช่ว่าข้าไม่บอก แต่ข้าไม่รู้จริงๆ”
“คิดว่าทุกคนคงรู้กฎของหมู่บ้านจอมยุทธ์พเนจรอยู่แล้ว หลายปีก่อนข้าร่อนเร่อยู่ข้างนอกมาตลอด แม้เจออุปสรรคแต่ก็มีโชคมากกว่าภัย พยายามต่อสู้ไม่กี่หนก็ถือว่ามีทรัพย์สินอยู่บ้าง ตอนข้ากำลังเตรียมไปเที่ยวเมืองหลวงพร้อมกับคนในหมู่บ้านสักครั้ง ท่านลุงเจ็ดในหมู่บ้านกลับมาหาข้า บอกว่าเสี่ยวเหมยป่วยให้ข้ารีบกลับไป…หลายปีมานี้ต้องขายทรัพย์สินในบ้าน ตามหาหมอทั่วสารทิศเพื่ออาการป่วยของภรรยาข้า แต่สุดท้ายไม่มีทางรักษา
ต่อมาข้าได้ยินว่ามีหมอชื่อดังคนหนึ่งสามารถรักษาโรคประหลาดได้ทุกชนิด เรียกได้ว่าเป็นมือมาร แต่จนปัญญาค่ารักษาของเขาสูงจนน่าตกใจ…ข้าไม่มีกำลังแบกรับ นึกถึงข้าฟั่นกู่ซานสาวเท้าก้าวเดินแสดงฝีมือในยุทธภพอยู่ข้างนอกมานานปีเช่นนี้ แม้ไม่ถือว่าทำเพื่อแคว้นเพื่อประชาชน คุณธรรมน้ำมิตรทั่วฟ้า แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องโหดเหี้ยมทารุณ ข้าเลยทำการค้าขายไร้ต้นทุนเช่นนี้…เพราะจำใจต้องทำ”
ฟั่นกู่ซานกล่าวเชื่องช้า
สีหน้าเขาสับสน การปะทะภายในใจดุเดือดยิ่งกว่า
“แปดข้อห้ามจอมยุทธ์พเนจรนี้ ข้ากลับทำลายมันมากโข…คิดว่าคงกลับไปหมู่บ้านไม่ได้แล้ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ กลับไม่มีที่ซุกหัวนอนของพวกเราสองสามีภรรยา…”
ฟั่นกู่ซานกล่าวถึงจุดสะเทือนใจ น้ำตาพรั่งพรูจากขอบตา เสียงพูดสะอื้น
โอวเสี่ยวเอ๋อก็หันหน้าหนี
นางไม่อยากให้คนเห็นนางเผยความรู้สึกใด ที่จริงในใจกลับปล่อยวางเรื่องลอบสังหารเมื่อครู่แล้ว
คิดว่าวิชาหอกฟั่นกู่ซานยอดเยี่ยมเลิศล้ำ หากมีใจรับภารกิจสร้างชื่อเสียงผลงานสักครั้ง คงนามระบือทั่วหล้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับใช้ยุทธ์ฝ่าฝืนข้อห้ามเพื่อคนรักของตน ต่อให้ถูกไล่ออกจากหมู่บ้านก็ไม่ลังเลสักนิด ก่อนหน้านี้เจอกระบี่คมของโอวเสี่ยวเอ๋อข่มขู่ก็ปกป้องเสี่ยวเหมยไว้ข้างกายแนบแน่น
คนดีมีน้ำใจไมตรีซื่อสัตย์เปิดเผยเช่นนี้ ใครจะไม่ให้อภัยบ้างล่ะ
ลูกผู้ชายมีชีวิตอยู่ใช่ว่าต้องทำแต่เรื่องกอบกู้แผ่นดิน มีชื่อเสียงเลื่องลือไปสามพันปีทั้งหมด เหมือนฟั่นกู่ซานเช่นนี้ ทุ่มเทพลังทั้งกายแต่ก็ยังไม่ทิ้งการเลือกตอนแรกสุด ต่อให้เขาถือหอกปกป้องไว้ได้แค่รัศมีสามฉื่อ นั่นก็เพียงพอให้เสี่ยวเหมยนอนหลับสบาย สงบสุขตลอดชีวิตแล้ว
ชื่อเสียงคงอยู่ตลอดกาลก็ใช่ว่าจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ตรอกคับแคบในชนบทกลับมีลูกผู้ชายตัวจริง
“สำหรับแม่นางท่านนี้ ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาร้ายใด…แค่ทำเพื่อเงินรางวัลนั่นเท่านั้น เรื่องถึงตรงนี้ ก็ไม่มีปัญญาใช้คืน แต่ข้าฟั่นกู่ซานยินดีตั้งปฏิญาณโลหิต ณ ที่นี้ พอเสี่ยวเหมยหายดีแล้ว ข้าจะมายื่นคอให้สังหารตรงหน้าแม่นาง เพื่อชดใช้ความแค้นในวันนี้”
ฟั่นกู่ซานพูดจบแล้วกลับเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อหันหลังให้เขา นางส่ายหน้าเบาๆ
“ทำไมหรือ แม่นางไม่เชื่อ? คนหมู่บ้านจอมยุทธ์พเนจรข้าพูดจามีน้ำหนักมาตลอด!”
………………………………………..