ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 506 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-13
บทที่ 506 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-13
…………….
เกาเหรินฟังคำพูดของเจิ้นเป่ยอ๋องแล้วหัวเราะร่า
นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นความเบิกบานอย่างแท้จริง
ตอนคนคนหนึ่งมีความสุขจากใจอย่างไรก็ปิดไม่มิด
รอยย่นเล็กๆ บนหน้าผากเขาแบนราบ ปลายจมูกขยับเล็กน้อยสองสามครั้งเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ จากนั้นสองนัยน์ตาก็เผยลำแสง
ลำแสงนี้บาดตากว่าดวงอาทิตย์ที่เอนไปทางตะวันตกมากนัก แม้เป็นแสงอาทิตย์เที่ยงวันก็ยังไม่มีพลังทะลุทะลวงเท่าลำแสงในดวงตาเกาเหรินตอนนี้
ลำแสงสองสายปรากฏจากสองนัยน์ตาเกาเหริน ยิงตรงเข้ากลางใจเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ฉับพลันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
ความสุขมักติดต่อคนอื่นง่ายกว่าความเศร้า แม้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่รู้ว่าเกาเหรินสุขใจเรื่องอะไร แต่เขายังคงรู้สึกแบบเดียวกัน ถึงขั้นเริ่มยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว
“ตอนยังเด็กมากกระหม่อมก็คิดว่าต้นไม้ดีกว่าคน”
เกาเหรินกล่าว
“ดังนั้นหากกระหม่อมตายแล้วเกิดเป็นต้นไม้ได้ กระหม่อมกลับจะยินดีไปตาย”
เกาเหรินเว้นช่วงและกล่าวต่อ
“ชีวิตของตัวเองแย่กว่าต้นไม้ที่พูดไม่ได้เคลื่อนที่ไม่ได้เชียวหรือ เป็นหนูตัวหนึ่งดีกว่าต้นไม้เยอะเลยไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ยังไปมาได้อิสระ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามด้วยความฉงน
“เพราะโดยทั่วไปต้นไม้ล้วนเติบโตสูงใหญ่นัก แม้ขาดน้ำขาดปุ๋ยเท่าไรก็จะโตจนสูงใหญ่ทีเดียว”
เกาเหรินกล่าว
จากนั้นทำท่าประกอบเหนือศีรษะของตน
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาตลกกับการกระทำนี้อย่างยิ่ง
สิ่งที่คนแคระใส่ใจที่สุดคงเป็นส่วนสูงของตัวเอง
แต่คนตัวเตี้ยมากมายจะมีใครทิ้งโอกาสการเป็นคนแล้วยอมเป็นต้นไม้เพื่อให้สูงขึ้น คงจะมีน้อยนัก…
ทว่าตอนนี้จำนวนน้อยที่หาได้ยากยืนอยู่ตรงหน้าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา ถึงขั้นทำให้ใจเขาเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา
ของมีค่าด้วยหายาก ไม่ว่าเป็นการมีอยู่แบบใด ขอเพียงหายากก็ล้ำค่าและคู่ควรให้รักษา
คนพิเศษเช่นเกาเหริน นอกจากมีความคิดและความเชื่อแล้วยังมีอารมณ์ขันที่นานทีจะเจอสักหน เป็นการมีอยู่ที่หาได้ยากยิ่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจึงลังเลว่าตนควรลงมือหรือไม่
“คนแบบกระหม่อมยังมีอีกมากพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินกล่าว
เหมือนเขาทายความคิดของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาออก
“แต่พวกนั้นไม่อาจอ่านใจข้าได้เหมือนเจ้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ถูกคนอ่านออกในแวบแรกเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจยิ่งไม่ใช่หรือ หากมีคนคิดนำกระหม่อมได้หลายครั้ง กระหม่อมคงไม่เจอคนผู้นั้นอีกเป็นแน่…เพราะเพียงเจอเขา กระหม่อมก็เหมือนเปลือยกายเปลือยก้น”
เกาเหรินเบ้ปากกล่าว ไม่เข้าใจคำพูดของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาสักนิด
“ข้าตรงข้ามกับเจ้า…ข้าเป็นคนเกียจคร้านมาก กระทั่งอ้าปากพูดยังรู้สึกลำบาก…หากมีคนเข้าใจความคิดของข้าได้โดยไม่ต้องพูด เช่นนั้นชีวิตจะง่ายขึ้นเพียงใด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านคิดว่าการกินข้าวลำบากหรือไม่”
เกาเหรินถาม
“แน่นอน! หากไม่ใช่ว่าไม่กินแล้วจะหิวตาย ข้าคงไม่กินข้าวแน่นอน…ที่จริงข้าเคยลองนอนไม่กินไม่ดื่มอยู่บนเตียงห้าวันเต็มๆ…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว แต่พูดครึ่งเดียวแล้วหยุดกะทันหัน
“อยากลองว่าตัวเองจะหิวตายหรือไม่?”
เกาเหรินกล่าวต่อบท
“เปล่า อยากดูว่าตัวเองจะอยู่โดยไม่กินข้าวได้กี่วัน…ลดจำนวนครั้งกินข้าวก็ลดความลำบากไปได้มากไม่ใช่หรือ การล้างมือแล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นนั่งหน้าโต๊ะอาหาร มือขวายกตะเกียบ มือซ้ายยกชามข้าว ตามองอาหารเกือบยี่สิบจาน คอยคิดว่าควรกินอย่างไหนก่อนก็ยุ่งยากเกินไปจริงๆ…กินข้าวเสร็จยังต้องกินน้ำแกง กินน้ำแกงเสร็จยังต้องบ้วนปาก…เจ้าดู แค่พูดก็เป็นคำเยิ่นเย้อน่าเบื่อหน่ายมากแล้ว คิดดูก็รู้ว่าพอทำจริงแล้วจะทำให้คนยากรับไหวเพียงใด!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวไม่พอใจ
“…ผู้คนต่างบอกกระหม่อมเป็นคนเสียสติ ท่านสิของจริง!”
เกาเหรินฟังแล้วครุ่นคิดอยู่นาน กล่าวเสียงค่อย
“ปกติหมายถึงธรรมดา เจ้ากับข้าไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นความผิดปกติคือสิ่งจำเป็น! ส่วนเสียสติหรือไม่…คนทำเรื่องยิ่งใหญ่สำเร็จ ตอนมีแค่ความคิดแรกเริ่มล้วนเป็นความบ้าบิ่น เช่นนั้นใต้หล้าก็มีคนเสียสตินับไม่ถ้วนไม่ใช่หรือ และใต้หล้ายังถูกคนเสียสติเหล่านี้คอยชักนำด้วย”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“กระหม่อมยังไม่เคยคิดในแง่มุมที่ท่านบอก…แต่ฟังแล้วดูเข้ากับความชอบของกระหม่อมไม่น้อย หากผ่านวันนี้ไปแล้วกระหม่อมยังมีโอกาสใช้สมองจะต้องใคร่ครวญอย่างตั้งใจสักหนพ่ะย่ะค่ะ!”
เกาเหรินกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพยักหน้า
ทั้งสองกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง…
ขอเพียงดวงอาทิตย์บนหาดทรายโกบีเอนทางตะวันตก เช่นนั้นก็จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ด้วยความเร็วเท่าที่ตาเนื้อมองเห็น
ขั้นตอนลื่นไหลดุจก้อนเมฆสายน้ำ กระทั่งนายท่านจินที่ติดดื่มเร็วยังไม่ต่อเนื่องเท่าดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวตกดิน
ทั้งที่เขาสองคนคุยกันแค่ชั่วครู่ แต่ดวงอาทิตย์ก็ตกอยู่หลังศีรษะเกาเหรินแล้ว ใบหน้า หน้าอกและหัวไหล่ของเขาล้วนปกคลุมด้วยเปลือกสีดำชั้นหนึ่ง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซซี่เหยาก้มมอง เงาร่างของเกาเหรินถูกลากจนยาวมากแล้ว
ส่วนคอของเขาถูกตนเหยียบอยู่ใต้เท้าพอดี
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยปากกะทันหัน
เกาเหรินก็เห็นแล้วว่าเงาของตนถูกเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเหยียบอยู่ใต้เท้าพอดี แต่เงาของเขากลับลากยาวอยู่ข้างหลัง
พายุทรายพัดผ่านครู่หนึ่ง เงาสั่นไหวบิดเบี้ยวสองสามหน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเกิดขึ้นที่อื่นโดยสิ้นเชิง
“ดีร้ายย่อมมีลิขิตสวรรค์ ทายออกแล้วจะอย่างไร ทายไม่ออกแล้วจะอย่างไร”
เกาเหรินกล่าว
ใช้วิธีพูดอย่างคนปลิ้นปล้อนในยุทธภพเหล่านั้น
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ตอบ
เงาของเกาเหรินยังคงยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ตามเงาเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่เคยทัน
ส่วนสูงทั้งสองห่างกันประมาณสามฉื่อ แม้เป็นเงาที่ถูกลากยาวก็ไม่อาจชดเชยความห่างนี้
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองเมฆแดงตรงขอบฟ้าแวบหนึ่ง
เมฆแดงค่ำนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา แม้ยังเป็นสีแดงเข้ม แต่ขอบก้อนเมฆไม่เต็มอิ่ม กลับเป็นแผ่นริ้วเหมือนใยแมงมุม สีแดงสดดุจนัยน์ตาที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่อยู่เต็มกำลังมองทุกสิ่งบนผืนดินจากข้างบนอย่างเย็นชา รวมถึงเกาเหรินและเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
“ทำไมยังไม่ลงมืออีกพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายกมือขวา วางนิ้วชี้ตรงริมฝีปาก ทำท่าห้ามส่งเสียง จากนั้นชี้เมฆแดงบนขอบฟ้าสื่อให้เกาเหรินหันไปมองด้วย
ตอนเผชิญหน้ากับศัตรู การหันหลังเผยจุดอ่อนให้อีกฝ่ายเห็นโดยไม่ป้องกันใดๆ เป็นข้อห้ามอันดับหนึ่ง เกาเหรินย่อมเข้าใจจุดนี้ แต่หลังจากเห็นสัญญาณมือของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา เขากลับหันไปดูพร้อมอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
“เมฆนี้ประหลาดกว่าเงาเสียอีก…”
เกาเหรินกล่าว
“เมฆไม่ได้เปลี่ยนไป ดวงอาทิตย์ก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่สภาพจิตใจขณะเจ้าดูเมฆตอนนี้อาจไม่เคยมีมาก่อน ถึงได้รู้สึกอย่างยิ่งว่าทุกสิ่งประหลาด ไม่เช่นนั้นเจ้าลองก้มดูหินก้อนเล็กสักก้อน ต้องรู้สึกว่ามันพิเศษแน่นอน!”
ครั้งนี้เกาเหรินไม่ได้ทำตาม แต่ก็ไม่ได้พูดชี้แจงว่าทำไมตนถึงบอกว่าเมฆนั้นผิดปกติ
ใจเขารู้ดี แม้เป็นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่ฤดูกาลนี้ก็ไม่น่ามีเมฆแดงหน้าตาเช่นนี้ ตอนนี้ยังห่างจากกลางฤดูร้อนช่วงหนึ่งทีเดียว
นี่ถือเป็นปรากฏการณ์ประหลาดหรือไม่
เกาเหรินไม่รู้
ชั่วขณะหนึ่งเขาเกิดแรงกระตุ้นอยากทำนายอยู่ตรงหน้าเมฆกลุ่มนี้ แต่ไม่นานแรงกระตุ้นก็หายไป…
หากทำนายได้ดี เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่นนั้นคงทำให้เขาสบายใจขึ้นแน่นอน หากไม่ดีแล้วเป็นภาระอย่างหนัก ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปโดยไม่รู้อะไรเลยดีกว่า
อย่างไรการทำนายก็ดีร้ายแค่ชั่วขณะนั้น
การกระทำคำพูดใดๆ หลังจากนั้นล้วนสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์หรืออาจถึงขั้นพลิกสถานการณ์
แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรต่อคนอย่างเขากับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
โดยเฉพาะคู่ต่อสู้ของเขา หนึ่งในคนที่ได้เป็นห้าอ๋องต้องมีโชคดีอยู่ข้างตัว ไม่อย่างนั้นคงไม่โดดเด่นท่ามกลางจากคนนับพันนับหมื่นจนกลายเป็นอ๋องแห่งหนึ่งอาณาจักร
คำว่าไว้แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ย่อมมีโชคชะตากำหนด ไม่อาจฝืนรั้นได้
แต่ใจเกาเหรินมีลางสังหรณ์รุนแรงบางอย่าง นั่นคือวันนี้เขาจะไม่ตาย
ไม่ตายแน่นอน
แม้เขารู้ว่าตัวเองอายุสั้น แต่ชีวิตไม่มีทางจบลงตอนนี้ และยิ่งไม่ใช่บนเหมืองแร่โกบีแห่งนี้
คิดเช่นนี้แล้วเขามั่นใจทันที
ดูเมฆอย่างผ่อนคลายครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาอีกครั้ง
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเลื่อนสายตากลับมามองเกาเหรินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ในมือและช่วงเอวของเขาไม่มีดาบหรือกระบี่
เกาเหรินเห็นแล้วแคลงใจเล็กน้อย…
เขาจะใช้ก้อนหินบนหาดทรายโกบีเป็นอาวุธหรือไร
“ปกติข้าพกกระบี่ ใช่ว่ากระบี่ข้าใช้ดีหรือข้าชอบใช้กระบี่ แต่เป็นเพราะขัดกระบี่ยาวไว้ตรงเอวแล้วทำให้ข้าดูหล่อเหลามากเท่านั้น!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เกาเหรินหัวเราะ
ตนกับอีกฝ่ายล้วนเป็นคนมีอารมณ์ขันหรอกหรือ นี่ทำให้การต่อสู้ชี้ชะตาอันโหดร้ายเป็นทุนเดิมขบขันขึ้นหลายส่วน
เพิ่มคำว่า ‘อารมณ์ขัน’ เข้าไป เดิมนี่เป็นคำพูดติดปากของเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเกาเหริน
เขาชอบคนมีอารมณ์ขันที่สุดมาตลอด ตอนแรกนี่ก็เป็นมาตรฐานการรับศิษย์ที่สำคัญยิ่งข้อหนึ่งของเขา
ตอนนั้นเกาเหรินกับเซียวจิ่นข่านล้วนมีอารมณ์ขันมาก
แม้เซียวจิ่นข่านเป็นคนตาบอด แต่เขาไม่ได้เป็นใบ้
ปากก็กล่าวคำพูดหยอกเย้าได้เป็นกองๆ
แต่เกาเหรินเป็นคนแคระ แค่ยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นก็มีเรื่องให้ขำเต็มไปหมด
ความแตกต่างเดียวของเขาสองคนคืออารมณ์ขันของเซียวจิ่นข่านต้องเป็นฝ่ายเริ่ม เขาใช้ปากพูดออกมา
แต่เกาเหรินไม่ใช่
อารมณ์ขันของเขาแผ่ออกมาจากข้อบกพร่องทางกายตั้งแต่กำเนิด
ทั้งสองมีความต่างโดยเนื้อแท้
การที่สุดท้ายเกาเหรินไม่ได้สืบทอดตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋จากเยี่ยเหว่ยอาจมีอีกเหตุผลที่สำคัญยิ่ง นั่นคือเขาไม่ตลกเท่าเซียวจิ่นข่าน
ความบกพร่องทางส่วนสูงเป็นหนามตำใจเกาเหรินมาตลอด
เขาไม่ชอบความตลกนี้เลยสักนิด ถึงขั้นเกลียดชังด้วยซ้ำ เขาจึงแสร้งทำเป็นมีภูมิตลอดเวลา
ตอนเขายังไม่มีภูมิขนาดนั้น ความพยายามเช่นนี้จะน่าขันเป็นพิเศษ
น่าขันไม่ใช่อารมณ์ขัน
เยี่ยเหว่ยชอบอารมณ์ขัน แต่เขาไม่สนใจความน่าขันแม้แต่น้อย
“ท่านเป็นอ๋อง ต่อให้สองมือว่างเปล่าก็ยังสง่างามนัก!”
เกาเหรินกล่าว
“ขอบใจ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายกสองมือของตนขึ้นมาชมแล้วกล่าวถ่อมตน
ฝ่ามือเขาชูขึ้นฟ้า แสงสีเงินสายหนึ่งพลันฉายวาบ
เกาเหรินจ้องมอง พบว่าในฝ่ามือขวาของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามีมีดเล่มเล็กตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
มีดเล่มเล็กนี้เป็นสีขาวเงินตลอด แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องบนนั้นแล้วไม่ทำให้มันเป็นสีแดง กลับจะหมุนวนเป็นเกลียวสีหยกเลือนราง
………………………………………
…………….