ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 505 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-12
บทที่ 505 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-12
…………….
“คืนนั้นเมื่อสามสิบปีก่อน ข้าจำไม่ได้ว่าใครมอบดาบเล่มนี้ให้ คงเป็นพ่อหรือแม่ของข้า แต่ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ…ตอนนั้นข้าถือมันไว้ในมือเหมือนอุ้มทารกคนหนึ่ง เมื่อครู่ตอนข้าหยิบดาบของคุณชายท่านนั้น ข้าถึงตระหนักว่าครั้งแรกที่ข้าจับดาบผ่านมาสามสิบปีแล้ว”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ข้าไม่รู้ว่าห่างจากตอนเจ้าจับดาบครั้งแรกนานเท่าไร แต่สำหรับเจ้าทุกครั้งที่ได้หยิบดาบขึ้นมาคงมีความรู้สึกแปลกใหม่บ้างแน่นอน”
นายท่านจินกล่าว
“ข้าเป็นคนเล่าเรื่องดูความสนุกสนาน ไม่ได้มาพูดเรื่องในใจ!”
เสี่ยวจีหลิงดื่มสุราแล้วกล่าว
ความจริงเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใด แค่รู้สึกดาบเล่มนี้ค่อนข้างหนัก
แต่เสี่ยวจีหลิงคิดว่าคำพูดธรรมดาเช่นนั้นไม่มีค่าให้เอ่ยถึง นอกจากความคิดบ้าบิ่นที่คอยหนุนให้เขาท่องดูเรื่องสนุกทั่วหล้าเหล่านั้น การพยายามพูดทุกประโยคให้น่าสนใจและมีอารมณ์ขันก็เป็นเป้าหมายของเขา ในทำนองเดียวกันนี่จึงกลายเป็นสิ่งอวดโอ้ที่สำคัญพอๆ กับชื่อของเขา
นายท่านจินเห็นเช่นนี้แล้วไม่ดึงดันถามอีก ถึงอย่างไรเสี่ยวจีหลิงก็เป็นคนเก็บคำพูดไม่อยู่ ถ้าเขาอยากพูดเมื่อครู่คงพูดไปนานแล้ว หนำซ้ำคำที่ได้จากการฝืนถามก็ไร้ประโยชน์เหมือนแตงแข็งที่เด็ดจากต้น
หลิวรุ่ยอิ่งมองหวาหนงที่อยู่ด้านข้างแล้วรู้สึกอยากทำหน้าที่อาจารย์อาให้เต็มที่
เดิมเขาไม่ค่อยอยากสอนอะไรหวาหนง โดยเฉพาะเรื่องชีวิตกับวิถียุทธ์ เพราะอย่างไรตนก็ไม่ใช่อาจารย์ของเขา และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถจำกัด ไม่อยากชักนำหวาหนงมากเกินไป
ตอนเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นฉับพลัน ความรู้สึกนั้นก็ไม่ต่างกับชั่วขณะที่หยิบดาบกระบี่ นอกจากเต็มไปด้วยความลึกลับและความไม่รู้ก็ยังเปี่ยมด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจบอกต่อด้วยคำพูดได้ จำต้องเอาตัวลงไปสัมผัส
“อาจารย์เจ้าอยากให้เจ้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ด้วยตนเอง เจ้าคิดว่าตัวเองทำได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ความจริงแล้วเซียวจิ่นข่านไม่เคยบอกเลยว่าเขาเตรียมจะอบรมหวาหนงอย่างไร แต่คนเป็นอาจารย์ มีใครบ้างที่ไม่อยากให้ลูกศิษย์ตนประสบความสำเร็จ ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งพูดเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าผิดนัก
หวาหนงดื่มสุราและกล่าวอย่างเชื่องช้า
ปกติจังหวะการพูดของเขาเร็วเหมือนกระบี่ของเขา
ว่องไวเฉียบคม ไม่มีชักช้าอืดอาด
แต่ประโยคสั้นๆ เมื่อครู่ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งแทบหลับ…อาจเกี่ยวข้องกับที่เขาดื่มสุราเยอะด้วย แต่ว่ากันถึงแก่นก็ยังคงเป็นหวาหนงที่พูดช้าเกินไป
หลิวรุ่ยอิ่งลังเลว่าจะเล่าคำพูดที่ตนเคยได้ยินให้หวาหนงฟังดีหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจคำพูดนั้นทะลุปรุโปร่งนัก หากพูดออกมาเลยกลับจะทำให้เขาไม่มั่นใจเล็กน้อย…
ชายชราเลี้ยงม้าบอกว่าเขามีสหายคนหนึ่ง แม้หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยว่าสหายผู้นี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรืออาจเป็นตัวเขาเอง แต่ชายชราเลี้ยงม้าใช้ประโยคนี้เป็นคำเกริ่นนำจริงๆ
เขาบอกว่าสหายผู้นี้รักกระบี่เท่าชีวิต แต่ไม่เป็นเพลงกระบี่สักกระบวนท่า
ในความเข้าใจของสหายชายชราเลี้ยงม้า เขาคิดว่าทุกสิ่งในโลกล้วนอยู่ในกระบี่
เขาไม่ได้หมายถึงแค่ด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ คมกระบี่และปลายกระบี่ แต่รวมถึงฝักกระบี่ด้วย
เหมือนกระบี่ไร้ฝักของหวาหนง ที่จริงมันไม่นับเป็นกระบี่โดยสมบูรณ์ อย่างมากก็เป็นแค่อาวุธที่ฉวยหยิบมาเท่านั้น
“เขาใช้กระบี่ไม่เป็น แต่รักกระบี่เท่าชีวิต เหมือนเยี่ยกงชอบมังกร[1]ไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เขาสะสมกระบี่ห้าพันเล่ม ไม่น้อยไม่เกินสักเล่ม ทุกคืนล้วนต้องกวาดมองกระบี่ห้าพันเล่มนี้อย่างละเอียดรอบหนึ่งถึงจะดับตะเกียงนอน”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วพยักหน้า
หากทำเช่นนี้ได้จริง นับว่ารักกระบี่เท่าชีวิตโดยแท้
“แต่ใช้กระบี่ไม่เป็น มองด้วยตาอย่างเดียวจะเพลิดเพลินได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอีก
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“เจ้าเคยลูบกระบี่ตัวเองหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า
นอกจากไม่เคยลูบกระบี่ตัวเองแล้ว แม้แต่กระบี่ต้องลูบอย่างไรเขาก็ไม่รู้…
ชายชราเลี้ยงม้าไม่มีกระบี่ ได้เพียงใช้กล้องยาสูบของเขาทำเป็นตัวอย่างง่ายๆ หลิวรุ่ยอิ่งมองว่าท่ามือนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ต่างกับตอนเขาใช้ผ้าป่านเช็ดโต๊ะ
“ความรู้สึกเชื่อมโยงสูงสุดระหว่างคนกับดาบกระบี่คือไม่ต้องออกฝักก็สัมผัสได้”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดอยู่ในหัว แต่ปากพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
หวาหนงมองเขาด้วยสีหน้างุนงง ชัดว่าสับสนเพราะคำพูดไร้ที่มานั้นเล็กน้อย
“คนที่พูดประโยคนี้ต้องกินอิ่มกายอุ่นทุกวัน ไม่เคยมีความรู้สึกทนหิวทนหนาว และไม่เคยมีประสบการณ์ถูกหมากัดโดนหมาป่าไล่แน่นอน”
หวาหนงคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“ทำไมกล่าวเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“หากไม่ใช้กระบี่แล้วแค่ใส่ฝักไว้ชมเล่น เช่นนั้นมีเยอะเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่พูดถึงอย่างอื่น พูดแค่เส้นทางที่พวกเราออกจากหอทรงปัญญา หากไม่ชักกระบี่ก็คงตายคาที่ไปแล้ว!”
หวาหนงกล่าว
“แต่กระบี่เจ้าไม่มีฝัก ไม่มีแม้แต่ขั้นตอนชักกระบี่!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวหัวเราะลั่น เขาดื่มสุราไหข้างกายหมดไปอีกครึ่งหนึ่งแล้ว
……………………..
นอกโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เนี้ย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหย่อนก้นนั่งลงพื้น เงยหน้ามองเกาเหรินที่อยู่ตรงหน้า
บทสนทนากับเกาเหรินก่อนหน้านี้กระทบจิตใจเขาไม่น้อยกว่าการต่อสู้ดุเดือดหรือสงครามครั้งหนึ่ง
เขามองว่าเป้าหมายสูงสุดของเกาเหรินคือการเริ่มต้นการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั่วทั้งใต้หล้า และการปฏิรูปของเขาก็ไม่ใช่คำพูดวางแผนเลื่อนลอยบนกระดาษ แต่มีขั้นตอนที่ล้ำลึกและจับต้องได้แล้ว
“ดูออกว่าเจ้าคาดหวังกับตัวเองไม่น้อย!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“หากคิดจะเปิดฉากปฏิรูป สิ่งที่ควรทำแรกสุดคืออะไร”
เกาเหรินย้อนถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาส่ายหน้าสื่อว่าไม่รู้
แม้เขาก็เคยเป็นนักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่ ในฐานะเจิ้นเป่ยอ๋อง เขาโค่นล้มระบบราชวงศ์ของผู้เฒ่ากระบี่ดาราพร้อมกับสี่อ๋องที่เหลือ แต่ความคิดของเกาเหรินล้ำหน้าและสุดโต่งกว่าเขามาก ถึงขั้นทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเล็กน้อย…
“สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือปฏิรูปตนเองพ่ะย่ะค่ะ ต้องฝึกฝนตนเองด้วยประสบการณ์ชีวิตอันมีจำกัดอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นบรรทัดฐานของผู้ปฏิรูป อย่างน้อยท่านต้องมีปณิธานแน่วแน่ สามารถควบคุมความต้องการของตนเอง ทั้งยังต้องมีสายตาที่ยาวไกล หัวใจที่กว้างขวาง รวมถึงเข้าใจในความขัดแย้งเหล่านี้ทั้งหมด ความสงสารต่อคนตกทุกข์จากใจ ความเห็นใจต่อโศกนาฏกรรมเคราะห์ร้ายและความรักต่อผู้คนที่กำลังประสบภัยเหล่านี้”
เกาเหรินกล่าว
“ดังนั้นการปฏิรูปของเจ้าเริ่มจากตัวเจ้าเอง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เขาล้มตัวไปข้างหลังและใช้มือประคองหลังไว้ เช่นนี้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงเงยหน้ามองเกาเหริน เป็นท่าที่สบายที่สุดในตอนนี้…
“ไม่เริ่มจากตัวเองแล้วจะขับเคลื่อนผู้อื่นได้อย่างไร”
เกาเหรินย้อนถาม
“ในสายตาเจ้าพวกเราห้าอ๋องเป็นอสูรดุร้ายใช่หรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“พวกท่านยังมีจุดที่พอรับได้ อย่างไรการโค่นล้มราชวงศ์ก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ พวกท่านมีคุณูปการแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่พวกท่านจะอยู่เหนือคนอื่นและทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ การปฏิรูปของกระหม่อมเป็นระบบใหม่ ไม่เกี่ยวกับฟ้าดิน ไม่เกี่ยวกับต้นไม้ใบหญ้า เกี่ยวกับผู้คนเท่านั้น นี่จะเป็นหนทางที่ดีพร้อม ไม่มีข้อจำกัดและใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ”
เกาเหรินกล่าว
“เจ้าเริ่มดำเนินความคิดของเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าจะสำเร็จหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“ตอนแรกพวกท่านห้าคนคิดว่าตัวเองจะสำเร็จหรือไม่”
เกาเหรินย้อนถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถูกถามจนพูดไม่ออก
เขาในตอนนั้นไม่อาจคาดเดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังได้เลยจริงๆ
ล้วนเป็นการคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ เดินหนึ่งก้าวดูหนึ่งก้าวเท่านั้น
แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขามองว่าความคิดเกาเหรินเป็นอุดมคติเกินไปน้อยลง แม้เขาพูดถึงคน แต่ไม่ได้คิดใคร่ครวญเลยว่าคนมีชีวิตอยู่ด้วยอะไร ชัดว่าเกาเหรินมองการปลุกเร้าทางจิตใจเป็นตัวกระตุ้นได้มากกว่าวัตถุมากนัก
กระทั่งเบี้ยหวัดกองทัพชายแดนค้างชำระไม่จ่ายตามเวลาเดือนหนึ่ง ในกองทัพก็จะเกิดการก่อกบฏ นับประสาอะไรกับชาวบ้านที่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิต รู้แค่เงินเอาใช้ซื้อข้าวซื้อบะหมี่ได้เหล่านั้น
“เจ้าไม่ใช่นักปฏิรูป เจ้าเป็นแค่เด็กที่รักการผจญภัย”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ในที่สุดเขาก็มีคำนิยามที่ชัดเจนให้เกาเหริน
พลันถอนหายใจยาว ความกลัดกลุ้มและขุ่นมัวในใจเบาลงไม่น้อย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
เกาเหรินกล่าวอย่างสุภาพ
“ข้าไม่รู้ว่ามีตรงไหนให้ต้องขอบคุณ…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เพราะแม้แต่อาจารย์กระหม่อมยังบอกว่ากระหม่อมเป็นคนเสียสติ แต่ท่านกลับบอกว่าเป็นเด็กรักการผจญภัย กระหม่อมชอบคำเรียกนี้ อย่างไรคำว่ารักการผจญภัยก็ฟังดูมีชีวิตชีวาหลายส่วน เทียบกับคำความหมายแง่ลบอย่างคนเสียสติแล้วดีกว่ามากนัก…”
เกาเหรินกล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มเล็กน้อย ไม่ว่าตอนนี้เบี้ยหวัดหลายล้านตำลึงนั้นอยู่ที่ไหน แต่เขาเข้าใจเกาเหรินแล้วว่าเหตุใดต้องเสี่ยงทำความผิดใหญ่หลวงลอบสมคบกับผู้นำหน่วยของราชสำนักทุ่งหญ้ามาปล้นชิง
เขาอวดโอ้ว่าตนเป็นนักปฏิรูป จึงต้องการที่ที่เอาจริงเอาจังมาประกาศและเปิดฉากการปฏิรูปของเขา เบี้ยหวัดถูกปล้น ก่อกวนจนดูเหมือนสถานการณ์วุ่นวายทั่วทิศ แต่สำหรับเกาเหรินนี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขาคำนวณได้หรือไม่ว่าตนจะมาเหมืองแร่นี้ด้วยตัวเอง หากคำนวณได้เขาก็ไม่น่าจะมา แต่พอนึกถึงบทสนทนากับเกาเหรินเมื่อครู่ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคิดว่านี่ไม่เหมือนบทที่เตรียมไว้เมื่อเรื่องถึงตัว แต่เป็นความคิดที่ใคร่ครวญตริตรองมาจนสุกงอมและฝังลึกในหัวแล้ว
“ข้าตั้งใจฟังทุกสิ่งที่เจ้าพูด…”
“แต่ท่านยังคงเตรียมสังหารกระหม่อม”
เกาเหรินกล่าวแทรกคำเขา
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็ไม่สนใจ ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นบนก้นเล็กน้อย จากนั้นหันมองหญิงสองชายหนึ่งที่ยังต่อสู้ดุเดือดในโรงเตี๊ยม
“ครั้งนี้ลำบากซุนเต๋ออวี่แล้วจริงๆ…เดี๋ยวกลับไปข้าต้องเลี้ยงสุราอาหารเขา!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวพึมพำ
ดวงอาทิตย์เหนือเหมืองแร่เริ่มเอนไปทางตะวันตก
พายุทรายจะน้อยที่สุดในเวลานี้ของทุกวัน
“ที่จริงตายตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เกาเหรินกล่าวกะทันหัน
“หมายความว่าอย่างไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“พายุทรายไม่แรง ไม่ต้องห่วงว่าเลือดสดที่กระเด็นออกมาจะทำเสื้อผ้าสกปรก หลังจากคนที่ต้องสังหารล้มลงไป ดวงอาทิตย์คงใกล้ลับภูเขาแล้ว แต่หาดทรายโกบีที่ตากแดดมาทั้งวันคงเหลือความอุ่นในพื้นไว้มาก ยังพอให้อุ่นร่างที่นอนอยู่บนพื้นนี้ได้ คนไร้มิตรสหายเดินร่อนเร่เป็นเวลาหนึ่งวันมาตายอยู่ที่นี่เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างมากแล้ว โชคดีความอุ่นที่เหลือบนพื้นยังปลอบใจเขาได้เล็กน้อย”
เกาเหรินกล่าว
“ไม่ใช่แค่นั้น…ความอุ่นที่เหลือจะไม่ทำให้ร่างเจ้าแข็งทื่อเร็วเกินไป ดังนั้นหลังจากเจ้าตายบาดแผลจะยังเลือดไหลอยู่นานไม่ขาดสาย เลือดสดของเจ้าซึมลงใต้โกบีว่างเปล่าผืนนี้ ไม่แน่ปีถัดมาอาจกลายเป็นของบำรุงชั้นยอด เกิดเป็นดอกไม้ใบหญ้า หรือถึงขั้นโตเป็นต้นไม้เลยก็ได้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
……………………………………..
[1] เยี่ยกงชอบมังกร หมายถึง ปากบอกชอบ แต่ไม่ได้ชอบสิ่งนั้นจริง
…………….