ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 504 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-11
บทที่ 504 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-11
…………….
ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิเปี่ยมสีสันให้กลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาววัยแรกแย้ม
ทิวทัศน์ฤดูร้อนเป็นอิสระเหมือนไฟร้อนสีแดง ความรู้สึกนั้นต้องเป็นความสดใสมีชีวิตชีวา
ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็นวังเวง เปรียบเหมือนผู้หญิงนิสัยอ่อนโยนมีคุณธรรม เป็นตัวเลือกภรรยาที่บุรุษเห็นว่าเหมาะสมที่สุด
แต่ส่วนใหญ่เหมือนไม่มีใครรู้สึกดีกับฤดูหนาว ผู้หญิงเย็นชาเฉยเมยมักให้ความรู้สึกห่างเหินยากเข้าใกล้ ชัดว่านางเป็นทิวทัศน์ที่งามที่สุด แต่กลับไม่อาจชื่นชม
คนมักชอบความมีชีวิตชีวา ชอบความใกล้ชิดเป็นกันเอง สำหรับทิวทัศน์งดงามจับใจที่ตนไม่อาจแตะต้อง ใจคนจะไม่ค่อยใฝ่หามากนัก
เมื่อก่อนนักเล่าเสียงพิฆาตก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครคิดถึงหิมะน้ำแข็งปกคลุมทั่วหล้า โดยเฉพาะตอนความหนาวเหน็บเพิ่งถอยถดและผืนแผ่นดินกลับสู่ใบไม้ผลิอันอบอุ่น
หน้าหนาวในแดนพายัพจำต้องเลือกจำศีล หากไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บมาพร้อมหิมะและทำให้หิมะกลายเป็นรากฐานของความสนุกสนาน ฤดูหนาวนี้คงยากทน!
ความจริงนักเล่าเสียงพิฆาตไม่ได้เกลียดสี่ฤดูอะไรนัก แต่อยู่มาถึงอายุปูนนี้ หลังจากผ่านหน้าร้อนหน้าหนาวติดกันมานานเขาก็เริ่มแยกระยะและความต่างอันน้อยนิดระหว่างสี่ฤดูกาลได้
ตอนเด็กเขามักบ่นมารดาที่ให้สวมชุดหนาหลายชั้นในฤดูหนาวจนตัวอ้วนพองเกินไป…เดินบนพื้นหิมะเหมือนหมีอ้วน ตอนเดินขาเท้าเสียแรงมากเพราะกางเกงหนา เป๋ไปเป๋มาเหมือนลูกเป็ดที่ออกเผชิญหน้าหนาว เย็นเยียบจนตีนเป็ดชาไร้ความรู้สึก
วัยนั้นยังไม่รู้จักความงามหรือความน่าเกลียด แค่รู้สึกเดินเหินไม่สะดวก ตอนออกไปด้วยความลิงโลดมักอยู่ตามหลังคนอื่นเพราะเคลื่อนไหวช้า
แต่ขอเพียงได้ออกจากบ้าน ความรู้สึกยากลำบากนี้ก็พลันหายไปไม่น้อย มองไกลๆ ล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ อาบย้อมรูม่านตามืดมัวให้เปล่งประกาย ฝังต้นหญ้าเหี่ยวเฉาสีเหลืองเทาไว้ภายใต้สีขาวบริสุทธิ์
นักเล่าเสียงพิฆาตย่ำเท้าลงไปแล้วเกิดเสียง ‘ฟู่ฟู่’ เหมือนเหยียบสิ่งอ่อนนุ่มจนกลายเป็นหนาแน่น ตอนนั้นเหมือนแรงกายไม่มีวันหมดสิ้น แค่นอนสองสามชั่วยามทุกวันก็พอแล้ว แต่ยังต้องนอนทรมานจนฟ้าสางถึงลุกได้ ไม่เช่นนั้นจะโดนพ่อแม่ตำหนิ
ส่วนตอนเขาชอบฤดูกาลอย่างแท้จริงเป็นตอนได้รับผ้าโปร่งบางสีดอกท้อผืนนี้ จริงอยู่ที่ลมหนาว หิมะและน้ำค้างแข็งโหดร้าย สุดท้ายพวกมันจะยึดครองฟ้าดินตลอดกาล
นักเล่าเสียงพิฆาตนั่งยองเงียบๆ อยู่บนพื้นอยู่นาน
ตอนแผลจากดาบหักสมานเลือดหยุดไหลแล้วเขาถึงได้สติ
คิดแล้วก็ไม่หยิบดาบหักนั้นขึ้นมาอีก
เขาพับผ้าผืนบางนั้นเป็นระเบียบแล้วใส่ในสาบเสื้อตรงหน้าอก
ยามนี้งอบบนศีรษะที่ห้อยไว้ด้านหลังตอนต่อสู้ถูกใส่กลับด้านอีกครั้ง จากนั้นหมุนกายเดินออกจากจวนนายท่านจิน
เสี่ยวจีหลิงหันมามองเงาหลังของนักเล่าเสียงพิฆาตแวบหนึ่ง ริมฝีปากแตะกันหลายครั้ง แต่ฝีเท้ายังคงก้าวไปโถงด้านหลังที่ดื่มสุราก่อนหน้านี้พร้อมหลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นโดยไม่หยุดยั้ง
………………………..
“เดินนานขนาดนี้ควรลงโทษกี่จอก”
นายท่านจินเห็นกลุ่มคนเดินกลับมา หัวเราะลั่นแล้วเอ่ยถาม
“นั่งนานแล้วหรือ”
เสี่ยวจีหลิงถาม
“ประมาณชั่วยามครึ่ง!”
นายท่านจินกล่าวพลางชี้นาฬิกาน้ำด้านหนึ่งในห้อง
“เดิมวันนี้อยากเอาทั้งชีวิตมาไว้บนโต๊ะสุรา ไม่นึกว่าสุดท้ายจะเหลือแค่ครู่เดียว…น่าเสียดายจริงๆ!”
เสี่ยวจีหลิงส่ายหน้าถอนใจพลางกล่าว
“ตราบใดที่ยังเต็มที่กับชั่วเวลานั้นก็ไม่นับว่าน่าเสียดาย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เต็มที่? ทำอะไรเต็มที่”
เสี่ยวจีหลิงถามด้วยความแปลกใจ
“แน่นอนว่าดื่มสุราเต็มที่!”
พูดจบเขาก็หยิบไหสุราขึ้นดื่ม ไม่สนสายตาประหลาดใจจากคนรอบข้างแม้แต่น้อย
นายท่านจินงุนงงกับการกระทำไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาอยู่บ้างเหมือนกัน แม้มีภาพจำว่าหลิวรุ่ยอิ่งอ่อนต่อโลกเล็กน้อย แต่เขาทำอะไรมีขอบเขตตลอด ถึงดื่มสุราก็ควบคุมตัวเอง ไม่เคยตั้งใจดื่มเมาเช่นนี้มาก่อน
เขาเลื่อนสายตามาทางเสี่ยวจีหลิง รู้สึกเป็นคนเก่งกาจจริงๆ!
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเจอเขาไม่กี่ครั้ง เวลาที่อยู่ด้วยกันรวมแล้วก็ไม่น่าเกินสามวัน แต่กลับได้รับอิทธิพลจากเขาจนบ้าบิ่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทั้งโต๊ะมีนักดื่มนั่งอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน มีแค่สองคนที่ไม่แสดงอารมณ์ใดกับการกระทำของหลิวรุ่ยอิ่ง กลับจะหัวเราะออกเสียง สองคนนั้นคือเสี่ยวจีหลิงกับหวาหนงศิษย์หลานของเขา
“ทำไมเจ้าต้องหัวเราะชอบใจเช่นนี้”
ชิงเสวี่ยชิงขยับเข้าไปถามหวาหนงเสียงเบา
พอถามแบบนี้กลับทำเอาหวาหนงหัวเราะหนักกว่าเดิม หน้าแดงก่ำไม่พอ ยังเริ่มไอขึ้นมาด้วย
“ก่อนจะจากมาอาจารย์ข้ากำชับไว้สองสามประโยคเป็นพิเศษ”
หวาหนงกล่าว
“เขาพูดว่าอะไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงถามด้วยความอยากรู้
แม้นางไม่รู้ว่าอาจารย์ของหวาหนงเป็นใคร แต่มักรู้สึกว่าต้องเป็นบุคคลเก่งกาจอย่างยิ่ง
“เขาบอกว่าหากครั้งนี้ข้าออกจากหอทรงปัญญาแล้วติดตามอาจารย์อากลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นจะต้องให้เขาพาข้าไปกินน้ำแกงโรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองหลวง ไม่ได้กินก็ต้องกิน บอกว่าอาจารย์อามีวิธีให้ข้าได้กินแน่นอน หากระหว่างทางเกิดเรื่องเสียเวลา เขาก็ให้ข้าหาโอกาสทำให้อาจารย์อาเมาหนักสองครั้งให้ได้! ห้ามขาดหรือเกินแม้แต่ครั้งเดียว ต้องสองครั้งพอดี!”
หวาหนงกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงฟังแล้วยิ่งฉงนกว่าเดิม…
อาจารย์ของหวาหนงคงเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของหลิวรุ่ยอิ่ง
ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องแล้วจะให้ผู้น้อยคนหนึ่งมามอมเหล้าอาจารย์อาเขาได้อย่างไร ยังบอกว่าต้องสองครั้งอะไรอีก ชิงเสวี่ยชิงใคร่ครวญแล้วคิดว่าอาจารย์ของหวาหนงแค่ล้อเล่นแน่นอน แต่เขากลับคิดเป็นจริง ถึงขั้นพูดออกมาอย่างจริงจัง
ตอนชิงเสวี่ยชิงเตรียมอ้าปากพูดต่อ หวาหนงยกไหสุราขึ้นมาตบผนึกโคลนออก สองมือโอบไว้แล้วชนกับไหสุราของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างแรงทีหนึ่ง จากนั้นเริ่มดื่มตาม
ไหสุราของหวาหนงเล็กกว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่น้อย กระทั่งเขาดื่มหมดจนนั่งลงแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งยังคงดื่มอย่างหนำใจไม่หยุด
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ครั้งที่สองเจ้าเตรียมทำตอนไหน”
ชิงเสวี่ยชิงยิ้มถาม
นางมองคำพูดเมื่อครู่ของหวาหนงเป็นเรื่องล้อเล่นไปแล้วจึงไม่จริงจังมากนัก แต่นี่เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง นางจึงถามต่อไป หากมีโอกาสและเป็นไปได้ ชิงเสวี่ยชิงก็อยากเห็นสภาพหลิวรุ่ยอิ่งดื่มเยอะทั้งสองครั้ง
ถึงอย่างไรการดูคนอื่นดื่มสุราก็เป็นเรื่องชวนตื่นเต้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนดื่มเก่งย่อมตื่นเต้นมากกว่าเดิม
“หากครั้งนี้เมาก็เป็นครั้งที่สองแล้ว!”
หวาหนงกินอาหารคำหนึ่ง ดื่มน้ำชาตามลงไปแล้วกล่าว
“ครั้งแรกคือที่ไหนเมื่อไร”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ที่หนึ่งที่ชื่อเมืองหยางเหวิน เจ้ารู้จักเมืองหยางเหวินหรือไม่”
หวาหนงกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงส่ายหน้า
สถานที่ไกลสุดที่นางเคยไป นอกจากทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดข้างจวนชิงในรัฐหงแล้วก็มีแค่ตรอกทรุดโทรมที่ขายสุราในหัวเมือง ไม่รู้จักสถานที่อื่นโดยสิ้นเชิง ถึงรู้จักก็แค่เคยได้ยิน ไม่เคยไปเอง
“เมืองหยางเหวินอยู่ในเขตรัฐหงเหมือนกัน…ตอนนั้นพวกเราไปที่นั่นเพราะเมืองหยางเหวินมีอาคารกรมสอบสวน ไม่นึกว่าวันไปถึงจะตรงกับที่หัวหน้าอาคารจัดงานเลี้ยงวันเกิดพอดี อาจารย์อาข้าก็เมาครั้งแรกคืนนั้น ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่ข้าเห็น แต่ยังเป็นครั้งแรกของคำสั่งอาจารย์ข้าด้วย”
หวาหนงกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงถาม
หวาหนงไม่ตอบ แต่ยื่นนิ้วหนึ่งออกมา
“หนึ่งขวด?”
ชิงเสวี่ยชิงเดา
แต่ครู่เดียวก็รู้สึกตนรีบร้อนเกินไป…คนที่กล้ายกไหสุราดื่มจะดื่มแค่ขวดเดียวได้อย่างไร
“หนึ่งไห?”
ชิงเสวี่ยชิงเดาอีกครั้ง
นึกไม่ถึงหวาหนงยังส่ายหน้า
“งั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว…ข้าดื่มจอกหนึ่งแล้วเจ้าบอกมาตามตรงดีหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
หวาหนงพยักหน้า
นางไม่รอช้า พอเห็นหวาหนงรับคำก็ยกจอกสุราตรงหน้า แล้วดื่มรวดเดียวหมดทันที
ดื่มหมดแล้วนางมองหวาหนงตาปริบๆ รอคำตอบที่กวนใจนางไม่หยุด
“ดื่มไปเรื่อยๆ!”
หวาหนงกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงได้ยินแล้วเบิ่งตากว้าง
นางไม่เคยคิดว่าคนคนหนึ่งจะดื่มสุราได้เรื่อยๆ
แต่ถ้าเป็นหวาหนงก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ…พอคิดอย่างละเอียดจะรู้จุดย้อนแย้งในนั้นได้อย่างรวดเร็ว
“คนที่ดื่มได้เรื่อยๆ จะเมาได้อย่างไร”
ชิงเสวี่ยชิงเบ้ปากถาม
“นี่ก็เป็นจุดที่ข้าสงสัยเหมือนกัน…”
หวาหนงกล่าว
ยื่นมือลูบคางตน ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าสงสัยอะไรอยู่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขาดื่มสุราหมดหนึ่งไหเต็มๆ
ตาไม่แดง ใจไม่เต้นรัว ลิ้นไม่สาก
นอกจากกลิ่นสุราหนาหนักปะทะใบหน้า ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนที่เพิ่งดื่มสุราหมดหนึ่งไห
“ทำไมคราวก่อนตอนอยู่เมืองหยางเหวินอาจารย์อาเมาพับหมดสติอยู่บนพื้นขอรับ”
หวาหนงถาม
ทั้งที่เห็นหลิวรุ่ยอิ่งยังปกติดี แค่ตื่นเต้นคึกคักไปหน่อย แต่พริบตาเดียวเขากลับล้มลงพื้นหลับไปเลย
“ข้าก็ไม่รู้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างจนใจ
นี่ไม่ใช่การตอบแบบขอไปที
ตอนตื่นมาวันรุ่งขึ้นเขาแค่รู้สึกกระหายมาก ข้างในร้อนผ่าวยากทนไหว กระทั่งเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นก็จำไม่ค่อยได้
“จิ้นเผิงนึกว่าท่านแกล้งเมา ยังก้มไปพูดข้างหูท่านให้ลุกขึ้นมาดื่มอีกจอก ดื่มหมดแล้วจะพาท่านไปนอนกับแม่นางที่งามที่สุดในเมืองหยางเหวิน”
หวาหนงหัวเราะกล่าว
“ยังดีข้าไม่ได้ยินประโยคนี้ ไม่เช่นนั้นถึงข้าไม่เมาก็จะแกล้งต่อไป ไม่ลืมตาเด็ดขาด”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงกะพริบตาโตมองทั้งสองคุยกัน ดูออกว่าใจนางยังสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่รู้เพราะเกรงใจหรือเหตุผลอื่น สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา
………………………..
“นี่เจ้าออกดาบครั้งที่เท่าไร”
นายท่านจินชนจอกกับเสี่ยวจีหลิงแล้วถาม
“เจ้าคิดว่าดูเหมือนครั้งที่เท่าไร”
เสี่ยวจีหลิงทำให้อยากรู้
สองประโยคนี้ดึงความสนใจของคนบนโต๊ะสุราไปทั้งหมด หลิวรุ่ยอิ่งก็เช่นกัน เพียงแต่เขาหยิบสุรามาอีกไหแล้วใช้ชามตักดื่มทีละชาม
“ไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน!”
นายท่านจินกล่าว
นี่ฉลาดเดากว่าชิงเสวี่ยชิงไม่น้อย
แทนที่จะพูดกี่ครั้งไปเรื่อยๆ สู้กล่าวคำเลอะเทอะที่แม่นยำไปเลยดีกว่า อีกเดี๋ยวเสี่ยวจีหลิงจะได้ไม่ต้องแต่งเรื่องโกหกหรือหาเหตุผลนั่นนี่มาบอกตนให้พอพ้นไป
………………………………………
…………….