ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 503 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-10
บทที่ 503 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-10
…………….
ในจวนนายท่านจิน
เสี่ยวจีหลิงยืนประจันหน้ากับนักเล่าเสียงพิฆาต
บนหน้าเสี่ยวจีหลิงยังคงมีรอยยิ้มราบเรียบ
รอยยิ้มเช่นนี้มองไม่เห็น เพราะเขาไม่ได้ยกมุมปากและหางตาไม่โค้ง แต่ขอเพียงเผชิญหน้ากับเขาก็จะรู้สึกถึงรอยยิ้มของเขาได้
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ข้างหลังเขา เสี่ยวจีหลิงหันหลังให้ก็ย่อมไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้มบางๆ
แม้ไม่เห็นใบหน้าเสี่ยวจีหลิง แต่เพียงไล่มองตามร่างกายเขามาจนถึงมือขวา ก็จะเห็นว่าดาบในมือเสี่ยวจีหลิงยังคงเปล่งแสงเย็นและไม่บุบสลาย
ย้อนมองนักเล่าเสียงพิฆาต ดาบในมือเขาหักออกแล้ว ร่วงอยู่บนที่ว่างระหว่างทั้งสองครึ่งหนึ่งเต็มๆ
กระทั่งหมวกงอบที่ใส่ไว้ข้างหลังก็เสียหายเล็กน้อย
“ข้าแพ้แล้ว”
นักเล่าเสียงพิฆาตกล่าว
โยนดาบในมือไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ยืนมือไพล่หลังหรี่ตามองเสี่ยวจีหลิง
เขากำลังรอเสี่ยวจีหลิงออกดาบอีกครั้งเพื่อจบชีวิตของตน
“ไม่ ข้าแพ้แล้ว”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
ต่างกับความสง่าผ่าเผยของนักเล่าเสียงพิฆาต
เมื่อเสี่ยวจีหลิงพูดประโยคนี้จบแล้ว ความเฉยเมยที่เคยมีก็หายสิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนกลับเป็นความจนใจอย่างหนัก
นักเล่าเสียงพิฆาตกับหลิวรุ่ยอิ่งมองเขา ต่างขมวดคิ้วรอประโยคถัดไปของเสี่ยวจีหลิงด้วยความฉงน
ควรต้องมีคำพูดอีก
ตอนเห็นผลแพ้ชนะชัดเจน ทั้งสองฝ่ายกลับพูดว่าตัวเองแพ้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องโง่เง่าน่าขันยิ่งหรอกหรือ
เสี่ยวจีหลิงเก็บดาบช้าๆ
มือเขาสั่นรุนแรงนัก
คนคนหนึ่งมือสั่น ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวก็เป็นเพราะอ่อนแรง
แต่เสี่ยวจีหลิงรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ ย่อมไม่มีเหตุผลใดต้องไปกลัว หนำซ้ำเขายังยืนตัวตรงยิ่ง ไม่มีสั่นไหว ดูไม่เหมือนเหนื่อยล้าเพราะการต่อสู้เมื่อครู่เลยสักนิด
สายตาหลิวรุ่ยอิ่งหยุดอยู่บนมือเขา เขาเองก็คิดไม่ตกว่าเสี่ยวจีหลิงเป็นอะไร
เหมือนกลายเป็นคนละคน ไม่ว่าจะพลังงานรอบกายหรือจังหวะการพูดล้วนผิดไปจากเดิม คล้ายเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจเรื่องราวในโลกประสบเหตุร้ายและความล้มเหลวรุนแรงบางประการจนเติบโตขึ้นฉับพลัน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่คุ้นกับเสี่ยวจีหลิงในตอนนี้เลย
ตอนเสี่ยวจีหลิงเก็บดาบเข้าฝักแล้วหันกายเดินมาหาเขา หลิวรุ่ยอิ่งขดตัวอย่างห้ามไม่อยู่
ขณะสบตากันเขายังยิ้มให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย
แต่รอยยิ้มนี้ดูฝืนทีเดียว
เหมือนเขาใช้พลังหมดทั้งกายถึงทำให้มุมปากเขากระตุกเล็กน้อยสองครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาอยากยิ้มให้ตนเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจแย้มยิ้มออกมาได้เต็มที่
เสี่ยวจีหลิงเดินผ่านหลิวรุ่ยอิ่งมาถึงตรงหน้าเหวินฉีเหวิน สองมือยื่นดาบให้เขาและกล่าวขอบคุณ
คำว่า ‘ขอบคุณ’ เข้าหูหลิวรุ่ยอิ่งแล้วกระแทกอยู่ในใจ ทำให้เขายิ่งตกตะลึงเกินบรรยาย!
ก่อนหน้านี้แค่ตัวขดเล็กน้อย แต่ตอนนี้กลับตัวสั่นรุนแรง
เสี่ยวจีหลิงไม่ใช่คนสุภาพเช่นนี้แน่นอน ต้องมีสาเหตุที่ทำให้เขาสุภาพขึ้นมากะทันหัน
“ดาบของเจ้าหัก แต่ข้าไม่มีดาบตั้งแต่แรก”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวกับนักเล่าเสียงพิฆาต
“นี่คือเหตุผลที่เจ้าบอกว่าตัวเองแพ้?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่…ดาบของคุณชายผู้นี้ที่ข้าใช้เมื่อครู่อาจดีกว่าดาบของเจ้า แต่ถ้าคอกแกะพังแล้วก็ไม่อาจเอาแต่โทษว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์เกินไป”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
นักเล่าเสียงพิฆาตมองดาบสั้นในมือ ก้มหน้านิ่งเงียบ
“อันที่จริงมีเพื่อนสนิทสองสามคนเคยถามข้าหลายครั้งว่า ทำไมข้าถึงเลือกหนีทุกครั้งแทนที่จะถือดาบกระบี่มาต่อสู้ ไม่คิดว่าจะขายหน้าเกินไปหน่อยหรือ ตอนนั้นข้าบอกพวกเขาว่าการหนีไม่มีอะไรน่าอับอาย มันไม่มีมลทินใดด้วยซ้ำ พวกเจ้าคิดว่าการหนีเป็นเรื่องขายหน้าเพราะพวกเจ้าคิดว่าเรื่องสุดแสนธรรมดาอย่างการถือดาบกระบี่มาฆ่าฟันเป็นความยิ่งใหญ่เกินไป”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“คนส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นคำพูดที่ข้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแน่ๆ ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ข้าพูดให้คนอื่นฟัง ทุกคนก็จะเงียบลงทันที…ต้องรู้ว่าส่วนมากข้าอ้าปากพูดบนโต๊ะสุรา และโต๊ะสุราควรเป็นที่ที่เสียงดังเอะอะ คนกำเริบเสิบสานเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่พอข้าพูดออกมาก็ยังทำให้พวกเขานิ่งเงียบ เพราะคำพูดนี้ฟังแวบแรกยังมีเหตุผลนัก แต่ข้าไม่เคยเตรียมการใดเลยจริงๆ คำตอบนี้ออกมาจากข้างในและพูดออกมาโดยไม่คิดตอนมีคนถามคำถามทำนองนั้นกับข้าครั้งแรก”
เสี่ยวจีหลิงควานหยิบกาสุราใบเล็กที่ใส่จุกไม้ไว้ตลอดจากเอว เติมสุราใส่ปากเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยถึงความจริงแท้ในคำพูดที่เขากล่าวเมื่อครู่ แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องสงสัย
นั่นคือไม่มีสุรา เสี่ยวจีหลิงก็จะพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
บางคนไม่มีสุรากินข้าวไม่ลง บางคนไม่มีสุราเขียนกลอนไม่ออก เช่นนั้นย่อมมีบางคนไม่มีสุราแล้วพูดไม่ออก ต่างก็เป็นปัญหาเดียวกัน เพียงแต่คนแบบเสี่ยวจีหลิงมีน้อยเหลือเกิน ทุกคนจึงรู้สึกแปลกใหม่
ทว่าคนหลบหนีเห็นแก่ตัวเสมอ นี่แทบจะกลายเป็นความเข้าใจร่วมกันของทุกคน ไม่ว่าอย่างไรคนที่เอาแต่ก้มหน้าหนีและอยากมีชีวิตปลอดภัยในช่วงเวลาอันตราย ก็ไม่เป็นที่ต้อนรับเท่าเหล่าวีรบุรุษที่เอาตัวเข้าแลก เพื่อสหายและคิดถึงผู้อื่นก่อนตัวเองอยู่แล้ว
เสี่ยวจีหลิงไม่เคยโต้เถียงข้อนี้ และคำอ้างที่เขาพูดเรื่องตัวเองเอาแต่หนีและเชี่ยวชาญในการหนีก็ไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองดูดีหรือปิดบังอะไร
ตอนเขากินข้าวครั้งสุดท้ายกับครอบครัว พูดให้ถูกคือตอนกินข้าวกับพ่อแม่ของเขา เขาเคยพูดถึงเรื่องบ้าบิ่นที่ทุ่มทำในภายหลังและกำลังทำอยู่เหล่านี้ เสี่ยวจีหลิงในตอนนี้กำลังมุมานะทำด้วยตนเอง แต่ตอนนั้นกลับเป็นแค่ความคิดไม่รู้จักโต
เขาพูดจบแล้วหันไปถามพ่อแม่ของตน
พ่อแม่ของเสี่ยวจีหลิงก็เป็นคนเปิดกว้างที่หาได้ยาก ทั้งไม่สั่งสอนปลอบใจและไม่ทุบตีด่าทอลูกชาย กลับตบไหล่เขาอย่างตามใจ กำชับเขาว่าไม่ว่าจะคิดอะไรหรือทำอย่างไร ขอแค่อยู่ดีมีสุขก็พอ
คำว่า ‘อยู่ดีมีสุข’ ก็สืบทอดมาเป็นเป้าหมายข้อหนึ่งของเขาในปัจจุบันและยังคงสืบทอดต่อไป
แต่ต่อมาเสี่ยวจีหลิงแบ่งสี่คำนี้ออกเป็นสองคำ อยู่ดี มีสุข
เดิมชีวิตคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่มีเพียงชีวิตที่มีคุณค่าแท้จริงเท่านั้นถึงจะควรค่าให้ใช้ และทำให้ทุกคนที่มีชีวิตอยู่สัมผัสได้ถึงความสุข สำหรับเสี่ยวจีหลิง คุณค่าแท้จริงของชีวิตอยู่ในความคิดบ้าบิ่นของเขาเหล่านั้น
ตอนอยู่กรมสอบสวนกลางหลิวรุ่ยอิ่งก็เคยมีความคิดทำนองนั้น และเคยทรมานด้วยความสับสนไร้ที่มามากมายจนนอนไม่หลับ
ชายชราเลี้ยงม้าย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิวรุ่ยอิ่ง เดิมเขารู้สึกดีกับเด็กที่มาเอาใจเขาเพื่อขี่ม้า แต่รวมๆ แล้วยังนับว่าไร้เดียงสาและขันแข็งผู้นี้อยู่บ้าง เขาพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งว่าถ้าอยากอยู่ดีมีสุขชั่วชีวิตก็ต้องเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร รวมถึงควรหรือไม่ควรทำอะไรในชั่วชีวิตของตน
หลิวรุ่ยอิ่งเถียงว่าชั่วชีวิตของเขาถูกจำกัดไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่เกิดมาแล้ว ยังจะมีทางเลือกใดอีก ส่วนเรื่องควรหรือไม่ควร เขาใคร่ครวญไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ชายชราเลี้ยงม้ารอเขาระบายจนจบอย่างใจเย็นแล้วไล่เขาให้รีบกลับไปพักผ่อน แต่การระบายรวดเดียวเช่นนี้ก็ทำให้หลิงรุ่ยอิ่งสบายใจขึ้นมากจริงๆ กลับถึงห้องเพิ่งถอดรองเท้าหนังก็รู้สึกง่วง ยังไม่ทันถอดเสื้อผ้าก็ล้มลงนอนแล้ว
มาถึงตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจคำพูดของชายชราเลี้ยงม้าบ้างแล้ว คนโง่เขลาเหล่านั้นจุดธูปบูชาเทพ ความจริงแค่อยากให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นหน่อยเท่านั้น นี่ต่างหากความเชื่อที่แท้จริง
ทุกสิ่งมีดีมีแย่เสมอ สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะเข้าใจกฎของมันอย่างไร ขอแค่เข้าใจกฎเหล่านี้ชัดเจน ชีวิตอาจจะดีขึ้นก็ได้ แน่นอนว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น แต่อย่างน้อยก็เป็นแนวทางของการใฝ่ฝัน
หลายวันต่อมาเขาไปถามชายชราเลี้ยงม้าว่าสิ่งที่ควรทำที่สุดคืออะไร ชายชราเลี้ยงม้ากลับให้หลิวรุ่ยอิ่งลองไปรักใครสักคน
หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนั้นย่อมมองว่านี่เป็นเรื่องไกลตัวและถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ การรักคนคนหนึ่งไม่ต้องไปทำและไม่ต้องไปดู แค่ลองคิดก็รู้ว่าเป็นเรื่องยากลำบาก แต่พอหันกลับมาลองคิด ตอนเขายังทำเรื่องใดไม่เป็น ทุกเรื่องล้วนยากลำบากสำหรับเขา รวมถึงเรื่องเล็กๆ ที่ตอนนี้ดูธรรมดาอย่างการยกตะเกียบถือพู่กัน ตอนแรกก็เรียนรู้ฝึกฝนเป็นร้อยพันครั้งเหมือนกัน
เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ยาก ที่ยากคือการเจอคนที่ตัวเองรัก
เขาอาจเจอคนที่ตัวเองอยากจะรัก แต่กลับไม่แน่ใจว่าคนนั้นรักเขาหรือไม่ นี่จึงก่อร่างเป็นความคิดว่างเปล่าไร้แก่นสาร แม้ในหัวอยู่กับคนรักจนแก่เฒ่า แต่ความจริงยังหลบเลี่ยงตอนเห็นสายตาที่ต่างจากคนอื่น นั่นเป็นเพราะใจไม่รู้สึกคุ้นเคยและความห่างเหินในปฏิสัมพันธ์
เมื่อใดที่คนสองคนพบหน้าแล้วพูดคุยสนุกสนาน ดื่มสุราตามใจอยาก แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวและผู้คนได้ตลอดเวลา ในบทสนทนาไม่เคยมีแผนเรื่องอนาคตของสองคน เพราะต่างฝ่ายรู้อยู่ในใจแล้ว
แบบนั้นถึงจะนับว่าเขารักคนอื่น และคนอื่นก็รักเขากระมัง
แต่สถานการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะสำเร็จได้ในวันสองวัน
กลับจะเป็นขั้นตอนที่ต้องเข้าหาและปรับตัว
หลิวรุ่ยอิ่งดูออกว่าเสี่ยวจีหลิงเป็นคนรักชีวิตและซื่อสัตย์ต่อความคิดบ้าบิ่นของตน แต่ไม่ว่าทำการใดล้วนต้องทุ่มเทความพยายามให้สอดคล้องกัน
เรื่องการตามหาคนที่สมบูรณ์แบบเพื่อรักเป็นความฝันของทุกคน ทว่าแทบไม่มีใครทำสำเร็จ ดังนั้นความพยายามเช่นนี้ก็เป็นการเสียแรงเปล่าอย่างหนึ่ง
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งกลับเข้าใจว่าเป้าหมายของตนไม่ได้อยู่ที่การตามหาความสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่การเดินหน้าเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ
“เสี่ยวจีหลิง พวกเรากลับไปดื่มสุรากันดีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามเขา
“ดี!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เหลือเพียงนักเล่าเสียงพิฆาตยืนอยู่ในลานบ้านที่ว่างเปล่า
เขาก้มล้วงหยิบผืนผ้าบางสีดอกท้อ คิดจะใช้มันห่อตัวดาบครึ่งหนึ่งที่หักร่วงบนพื้น แต่ไม่นึกว่ามือเขาจะถูกดาบหักของตนบาดเข้า…
เลือดสดไหลลงบนผ้าบางสีดอกท้อหยดแล้วหยดเล่า เติมความสวยสดและความเย็นเยือกให้ดอกท้ออันนิ่มนวลหลายส่วน…ทำให้เขารังเกียจผ้าผืนบางที่เขาทะนุถนอมมาไม่รู้กี่ปีในพริบตา
ดอกท้อบานในฤดูใบไม้ผลิ แต่ยามนี้นักเล่าเสียงพิฆาตกลับเริ่มโหยหาฤดูหนาว
ว่าไว้ ‘เที่ยวชมวสันต์’ ‘หลีกลี้คิมหันต์’ ‘สารทเศร้าสลด’
แต่คนคิดคำเหมาะๆ มาบรรยายฤดูหนาวไม่ออก อีกสามฤดูล้วนมีทิวทัศน์เฉพาะตัวและบรรยากาศที่ทำให้คนเฝ้าฝัน บอกว่ามันเป็นทิวทัศน์ยังไม่สู้บอกว่าเป็นหญิงสาวนิสัยต่างกันที่ยังไม่ออกเรือน
…………………………………………
…………….