ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 501 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-8
บทที่ 501 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-8
…………….
ยามนี้สองนัยน์ตาเขามองตรงไปข้างหน้าเหมือนอินทรี มองจิ้นเผิง ‘เหยื่อ’ ของเขา
จิ้นเผิงเดินไม่ช้าไม่เร็ว แต่จิ้งเหยาก้าวฝีเท้ายาวนัก
ไม่ถึงครู่ เขาพยายามลดความเร็วตอนใกล้จะชิดแผ่นหลังจิ้นเผิง
ในลานด้านหลังมีต้นไม้ต้นหนึ่ง
ดูแค่ใบยากวิเคราะห์ว่าเป็นต้นอะไร
แม้เป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ทุกสิ่งในเหมืองแร่ล้วนถูกพายุทรายย้อมด้วยดินเหลืองชั้นหนึ่ง
ไม่เว้นกระทั่งใบไม้ที่ผลิใหม่บนต้นนี้
เป็นสีดินเหลืองตามปกติ ดูไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย…
หากไม่ตั้งใจมองจะคิดว่าต้นไม้นี้ตายมาหลายปีแล้ว
จิ้นเผิงเดินถึงใจกลางลานด้านหลังแล้วถึงหยุดฝีเท้า
เขาหันไปมองเถ้าแก่เนี้ยกับหลี่จวิ้นชางที่ยืนอยู่ตรงสุดทางเดินแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าให้ถือเป็นการทักทาย
“คนผู้นี้สง่านัก!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เสแสร้งทั้งนั้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเหยียดหยัน
“เรื่องอย่างความสง่า เหตุใดต้องเสแสร้ง”
หลี่จวิ้นชางถาม
“ทุกคนล้วนมีเปลือกนอกและหน้ากากที่ตนปั้นออกมา ใช้เวลาชั่วชีวิตพยายามมุดเข้าในนั้น เปลือกนอกของเขาคงเป็นความสง่ากระมัง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางถาม
“ไม่มีเรื่องอย่างการเข้าไม่ได้หรอก…ตราบใดที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เข้าไปได้ ต่อให้ตัดแขนตัดขาก็จะเข้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จิ้นเผิงยืนมั่นแล้วถือกระบี่ขวางหน้าอก
แต่สายตาเขาไม่เคยห่างมือของจิ้งเหยา
ไม่เพียงมือที่ถือดาบ สายตาจิ้นเผิงยังเคลื่อนอยู่ระหว่างสองมือของเขาด้วย
ใช่ว่าจิ้นเผิงรู้สึกสองมือนี้น่ากลัว เขาแค่คิดว่าการรังสรรค์ของฟ้าดินช่างประหลาดนัก
สองมือนี้อาจถือนมร้อนชามหนึ่งมาช่วยชีวิตเขา
แต่ก็สามารถชักดาบโค้งเล่มหนึ่งมาเอาชีวิตเขาได้เหมือนกัน
เป็นตายไม่เที่ยง ไหนเลยจะมีบรรทัดฐานหรือเกราะกำบังให้เอ่ยถึง
จิ้งเหยาถึงกลางลานแล้วเหมือนพลันเปลี่ยนเป็นอีกคน
แม้ผม ไหล่และแขนของเขาเปื้อนเศษฝุ่นในทางคับแคบนั้นเล็กน้อย แต่สายตาเขากลับเป็นประกายกว่าตอนอยู่ในโถงใหญ่เสียอีก
จิ้นเผิงมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้อะไรทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้
“เจ้าชอบที่นี่มากหรือ”
จิ้นเผิงถาม
“โถงใหญ่นั้นแคบไปหน่อย”
จิ้งเหยากล่าว
“เจ้าชอบพื้นที่โล่งกว้าง…”
จิ้นเผิงกล่าว แต่ไม่ได้ถาม
“ชาวทุ่งหญ้าต้องชอบพื้นที่โล่งกว้างอยู่แล้ว!”
จิ้งเหยากล่าวทะนงยิ่ง
ชนเผ่าหนึ่งถือกำเนิดในพื้นที่ฝูงหมาป่าเผ่นผ่าน
ชนเผ่าหนึ่งมีฝูงหมาป่านับไม่ถ้วน
จากสีหน้าเขา จิ้นเผิงเห็นความภาคภูมิที่เป็นของผู้ไม่ยอมจำนนเท่านั้น
ความภูมิใจเช่นนี้ล้นออกจากสีดำบนหลังหมาป่า เติมเต็มลำน้ำและทุ่งหญ้าทั่วทั้งผืน
แต่ตอนนี้ความภูมิใจกลับสะท้อนอยู่ในลานด้านหลังและทางสายเล็กอันคับแคบ
เบื้องหลังความภูมิใจคือความเปล่าเปลี่ยว
หาใช่ความเปล่าเปลี่ยวของจิ้งเหยาคนเดียว
แต่เป็นความเปล่าเปลี่ยวที่ชาวทุ่งหญ้าทุกคนมีร่วมกับชนเผ่านี้
ตอนจิ้นเผิงกลับจากทุ่งหญ้า เขาเห็นหมาป่าตัวหนึ่งเดินออกจากช่องต้นไป๋ฮว่า (ต้นไวท์เบิร์ช) สองต้นช้าๆ โดยมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างบน
เนินเขานั้นมีไป๋ฮว่าแค่สองต้น มันเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
ถังเหล็กใบหนึ่งผูกแกว่งอยู่หลังเท้า
หมาป่าไม่เหมือนม้า พวกมันจะไม่เดินบนเส้นระดับผิวน้ำ มักเดินย่ำพุ่มดอกไม้ตามใจตน
ไม่ถึงครู่จิ้นเผิงก็เริ่มหงุดหงิด…
เพราะเขาไม่อาจกวาดสายตาข้ามไป ทั้งไม่อาจหยุดมองประกายสีขาวเงินเหล่านั้นได้
ความสุขใจที่ได้เห็นเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ก็ไม่อาจกดมันให้จมลง
ฉับพลันจิ้นเผิงอิจฉาเด็กหนุ่มทุ่งหญ้าไม่น้อย อยากลองฝันสิ่งที่เขาฝัน อยากไปที่ที่เขาจะไป
แต่ความฝันของเด็กหนุ่มที่หมาป่าบรรทุกเดินไปอย่างช้าๆ คงตกไปหลังเนินหญ้านานแล้ว
ด้านหลังมีน้ำตกแห่งหนึ่ง เสียงน้ำไหลทอดมาบางเบา
จิ้นเผิงตามไปดู สายน้ำไหลลงบนก้อนหินที่ออกดอกได้ก้อนหนึ่งพอดี
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของเด็กหนุ่ม
หันมาเห็นพื้นที่สีเขียว หลังจากพื้นที่สีเขียวยังเป็นพื้นที่สีเขียว มากสุดมีแค่หมาขนหยิกตัวหนึ่งเห่าใส่เขาไม่หยุด
ฤดูกาลนี้ฝูงแกะขาวสะอาดที่สุด
ภาพจำสุดท้ายที่เขาได้จากทุ่งหญ้าคือแม่นางในชุดกระโปรงคล้ายเปลวเพลิง
จิ้นเผิงจับคู่แม่นางกับเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ในใจโดยไม่รู้ตัว
ชุดกระโปรงคล้ายเปลวเพลิงขับเน้นน้ำค้างอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยว
ดอกไม้ป่าสองดอกห้อยอยู่ตรงมุมปากหญิงสาว เป็นอิสระเหมือนไปทุกแห่งในใต้หล้าได้โดยไม่ต้องบอกมารดา
จี้ห้อยคอเฉพาะของทุ่งหญ้ากระทบลำคอนางเสียงใส
ยามโพล้เพล้ในทุ่งหญ้ามักมีกลุ่มควันลอยฟุ้งอยู่บนแนวหมอกกึ่งกลางสันเขาอย่างเชื่องช้า
ทุกสิ่งจึงเงียบสงบและงดงาม
ยามนี้เหลือแค่หมาขนหยิกตัวนั้นส่งเสียงเอะอะ
แม่นางยิ้มจับใจนัก
แต่จิ้นเผิงรู้ว่ายิ้มนี้ไม่ใช่ของเขา
ฝนตกฉับพลัน ได้ยินมานานว่าเมื่อฝนตกบนทุ่งหญ้าก็ต้องอยู่มากกว่าเจ็ดวัน
จิ้นเผิงมองดูสันเขาและท้องฟ้าแบ่งรอยแยกสีฟ้าสด
เสียงดนตรีเครื่องสายจำเจดังขึ้นในกระโจมที่ไกลออกไป
ผู้คนในทุ่งหญ้าพลันตัวสั่นไหวล้อมพรมสีแดงฉาน
คล้ายการดิ้นรนของสัตว์จนตรอก คล้ายฝูงสัตว์ดุร้ายลุกฮือแตกตื่น
จิตวิญญาณของชนเผ่าก่อเกิดและถ่ายทอดจากไหล่ สะโพกและสันหลังขนาดใหญ่ที่กำลังสั่นไหว
แต่แววตาซื่อตรงเหล่านั้นกลับเปี่ยมด้วยความอบอุ่นมากกว่าเดิม
จิ้นเผิงอยากค้นหาเงาของเด็กหนุ่มในตอนนั้นจากตัวจิ้งเหยา
เงาร่างสองเงาก็เหมือนเส้นขนานสองเส้น ไม่มีวันทับซ้อนกันได้
…………………….
ตอนดาบจิ้งเหยาออกจากฝักอีกครั้ง พายุทรายรุนแรงขึ้นฉับพลัน
โหมพัดซัดสาดข้ามกำแพงมาถึงลานด้านหลังจากทุกสารทิศ
ยังมาพร้อมเสียงหวีดแหลมเป็นระยะ
จิ้นเผิงออกกระบี่รับพายุ มุ่งตรงเข้าลำคอของจิ้งเหยาพร้อมแสงวาบสายหนึ่ง
กระบี่ยังไม่ถึง
กลับแหวกพายุทรายออกแล้ว
ความกดดันจากปราณกระบี่เข้ามาแทนพายุทราย สะเทือนจนใบอ่อนบนต้นไม้กลางลานร่วงพรูลงมา
ยังไม่เป็นรูปร่างกลับต้องร่วงโรย
นี่เป็นฉากสุดแสนรันทดแบบใด
จิ้งเหยาตั้งดาบอยู่ตรงหน้า ฝ่ามือหนึ่งจับตัวดาบไว้มั่น
แม้เป็นเช่นนี้ เท้ายังไถลไปข้างหลังกว่าหนึ่งจั้ง
ใช่ว่าแรงปะทะคลายลงในระยะหนึ่งจั้งแล้วทำให้เขายืนมั่นคง แต่หลังของจิ้งเหยาแนบติดบนกำแพงแล้ว ไม่มีทางให้ถอยอีก
ทว่ากระบี่ของจิ้นเผิงจะไม่หยุดเท่านี้
ตอนจิ้งเหยาถีบสองเท้ากระโดดสูงขึ้นจากพื้น กระบี่จิ้นเผิงก็ปาดขึ้นและแทงตรงตามการพลิกแพลงของเขา
สองคน หนึ่งบนหนึ่งล่าง หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่
จิ้นเผิงหรี่ตาเล็กน้อย
ยิ่งกระบี่และกายของเขาเข้าใกล้จิ้งเหยาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังปราณมหาศาลที่กำลังสาดซัดอยู่รอบตัวเขา
พลังปราณกลุ่มนี้บีบอัดกว่าพายุทราย
เหมือนมีดล่องหนขนาดเล็กอันแหลมคมฟันผิวหนังที่เปลือยอยู่ข้างนอกและสองนัยน์ตาของเขาทีละเล่มอย่างต่อเนื่อง
ร่างจิ้งเหยาเกินกำลังหลบขึ้นและเริ่มตกลงมา
จิ้นเผิงอยากหลับตาหลายครั้ง แต่ยังฝืนยืนหยัดไว้
เขาหลับตาไม่ได้
แม้ไม่เห็นอะไรก็ไม่อาจหลับตา
จวบจนถึงขั้นยากทนไหวก็ทำไม่ได้
แต่เขายังรับรู้การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจิ้งเหยาได้อย่างว่องไว
จิ้นเผิงหัวเราะลั่นแล้วลอยตัวพุ่งขึ้นฟ้า
แขนขวายกสูงยื่นตรง
บนแขนขวาคือมือขวา บนมือขวาคือกระบี่ยาว
ยามนี้ขาเท้า ร่างกาย แขนขวา มือและกระบี่ยาวของจิ้นเผิงรวมเป็นหนึ่ง แทงเข้าหาจิ้งเหยาที่ยังคงร่วงลงมาเหมือนสายรุ้งออกจากเหวลึก
‘แกรก…’
เกิดเสียงหักดังลั่นกลางลาน
จิ้งเหยากับจิ้นเผิงย่อมไม่มีเวลาสนใจ
แต่เถ้าแก่เนี้ยกับหลี่จวิ้นชางเห็นชัดเต็มตา
กิ่งแห้งที่หนาที่สุดบนไม้แก่ต้นนั้นทนรับความเสียหายจากแรงคมดาบปราณกระบี่ทั้งสองไม่ไหวจนหักลงในที่สุด
กิ่งไม้ตกพื้น ใบไม้ด้านบนก็พากันร่วงลงเหมือนเม็ดฝน
จากนั้นถูกพลังปราณรุนแรงที่สาดซัดป่วนปั่นเป็นชิ้นแหลกละเอียด
ดูแล้วเหมือนฝนใบไม้ร่วง มีความเป็นศิลปะอย่างยิ่ง
“หากไม่ใช่สองคนนี้ยังเคลื่อนไหว ข้ากลับคิดว่าสองคนนี้เป็นภาพวาดจริงๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยมองฉากกลางลานแล้วกล่าวตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“เจ้าชอบฉากนี้?”
หลี่จวิ้นชางถาม
“เจ้าไม่คิดว่าสวยมากหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“ข้าแค่รู้สึกหดหู่เล็กน้อย…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“สิ่งดีงามมักกลายเป็นหดหู่ ดังนั้นเผชิญหน้ากับความหดหู่เหล่านี้ยังดีกว่า เจ้าไม่ต้องใส่ฐานะเขาสองคนกับเรื่องใดๆ เข้ามา แค่คิดว่านี่เป็นผู้กล้าแห่งยุทธภพสองคนที่ดึงดาบชักกระบี่ใส่กันอย่างไม่ทราบสาเหตุท่ามกลางพายุทรายปนใบไม้แหลกหรือยังต้องผสมเลือดกับสุรา อยู่ข้างต้นไม้แก่ใกล้ตายกลางลานหลังร้านเล็กๆ ที่ทรุดโทรมในเหมืองแร่เงียบเหงาบนเขตแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง…นี่คือความรันทดขั้นสุดอย่างแท้จริง!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เจ้าชอบ ข้าก็จะวาดให้เจ้า”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ไม่ต้องหรอก…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ทำไมล่ะ มันชื่นชมได้ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ”
หลี่จวิ้นชางถามด้วยความฉงน
“ดอกไม้บานมองทุกวันล้วนมีความแปลกใหม่ แต่ดอกไม้ร่วงมองครั้งเดียวก็พอ”
เถ้าแก่เนี้ยส่ายหน้ากล่าว
“พวกเขาสองคนก็ร่วงได้?”
หลี่จวิ้นชางถาม
ตอนแรกเขาหยิบกระดาษพู่กันออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ใส่กลับไปอีก
ไม่ควรดูถูกมือคนจริงๆ ไม่ว่าของใครก็ตาม
ทั้งยังวาดได้ไม่เลวโดยแท้จริง!
“คงต้องร่วงสักคนแหละ…ไม่เช่นนั้นจะผิดกฎ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางพยักหน้าเห็นด้วย
ในลานบ้านอาจมีดอกไม้และต้นไม้นับไม่ถ้วน
บางดอกย่อมบานก่อนแต่ร่วงโรยเร็ว บางต้นแตกยอดช้าแต่โรยราหลัง
แม้ผลสุดท้ายเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง แต่แก่นของการแพ้ชนะก็แข่งกันที่ก่อนหลังไม่ใช่หรือ
พลาดหนึ่งขณะ พริบตาก็อยู่หลัง
ช่วงชิงหนึ่งขณะ ครู่เดียวก็นำหน้า!
จิ้งเหยาเห็นคมกระบี่จิ้นเผิงบุกเข้ามา ร่างกลางอากาศพลันเคลื่อนไหวคิดหลบออกด้านข้าง
แต่สามฉื่อรอบกายเขาถูกปราณกระบี่ของจิ้นเผิงครอบคลุมทั้งหมด
ปลายกระบี่สั่นไหวต่อเนื่อง ปิดตายทางหนีของเขาทุกทาง
เขาไม่มีทางเลือกใดแล้ว
‘แกร๊ง!’
ดาบกระบี่ตัดกัน
หลี่จวิ้นชางคุ้มกันอยู่ข้างหน้าเถ้าแก่เนี้ย
เตรียมป้องกันอานุภาพหลงเหลือที่กำลังโจมตีเข้ามา
เสียง ‘ตึงตึง’ ดังขึ้นต่ำๆ
คล้ายว่าทั้งสองถึงพื้นแล้ว
แต่สายตาของหลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยกลับถูกบดบังด้วยฝุ่นฟุ้งและเศษใบไม้ เห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
หลี่จวิ้นชางฟันดาบไปข้างหน้าติดกันหลายครั้ง ทำให้เห็นทุกสิ่งชัดเจน
แต่ในลานว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่แล้ว
หากกิ่งไม้นั่นไม่หักลงพื้น ด้านข้างไม่มีเลือดสดแดงฉานหลายหยดคอยเตือนพวกเขาสองคนว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เป็นใครก็คิดว่านี่เหมือนฝันตื่นหนึ่ง
“ไปไหนแล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“ไม่รู้”
หลี่จวิ้นชางเก็บดาบกล่าว
“ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอุทานโดยพลัน
“ยอดเยี่ยมจริงแท้…โดยเฉพาะจิ้นเผิง!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“แต่เขาทำเช่นนี้นับว่าทรยศหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถามด้วยฉงนเล็กน้อย
“หากเขาไม่ทำเช่นนี้ก็เป็นการทรยศตัวเอง แต่ถ้าตอนนี้เจ้าบอกว่าเขาทรยศกรมสอบสวนกลางก็หาใช่ความผิดให้ต้องติเตียนมากนัก”
หลี่จวิ้นชางยักไหล่กล่าว
“หากซ้ายขวาล้วนเป็นการทรยศ ข้าก็จะเลือกเช่นนี้”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นปมในใจนี้คงแก้ไม่ได้ทั้งชาติ”
หลี่จวิ้นชางถอนหายใจพลางกล่าวเชื่องช้า
ในการปะทะเมื่อครู่จิ้นเผิงมีโอกาสเอาชีวิตจิ้งเหยาได้ถึงสามครั้ง แต่เขาก็ทิ้งไป
ครั้งแรกเป็นตอนที่ดาบของจิ้งเหยาออกจากฝักอย่างช้าๆ
เดิมจิ้นเผิงสามารถเสร็จงานโดยเร็วด้วยการโจมตีตอนอีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน
กระบี่ยาวอ่อนตัวยืดหยุ่นกว่าดาบโค้ง บวกกับขั้นฝึกยุทธ์ของเขาสูงกว่าจิ้งเหยาเป็นทุนเดิม หากยืมกำลังจากท่าร่างอีก จิ้งเหยายากรับมือเป็นแน่
ถึงไม่ตายระหว่างต่อสู้ก็ต้องทิ้งดาบคุกเข่ายอมโดนจับกุม
แต่จิ้นเผิงไม่ทำเช่นนั้น กลับจะเป็นผู้ดีลอยชายรอให้พลังรอบกายจิ้งเหยาถึงขีดสุดแล้วค่อยออกกระบี่
………………………………………
…………….